บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] หน้าต่างที่ ๓ / ๘. ข้อความเบื้องต้น บุตรบำรุงบิดาเพราะอยากได้สมบัติ พวกเขาบำรุงพราหมณ์เฒ่านั้นอยู่ด้วยปัจจัยมีอาหารเครื่องนุ่งห่มเป็นต้นอันประณีต ทำกิจมีการนวดฟั้นมือและเท้าเป็นต้นอยู่ ครั้นบำรุงแล้ว วันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์เฒ่านั้นนอนหลับกลางวันแล้วลุกขึ้นแล้ว จึงนวดฟั้นมือและเท้าพลางพูดถึงโทษใน พราหมณ์ให้ทรัพย์แก่บุตรอีกคนละแสน แบ่งเครื่องอุปโภคทั้งหมดให้เป็น ๔ ส่วนมอบให้ เหลือไว้เพียงผ้านุ่งห่มของตน. บุตรคนหัวปีทะนุบำรุงพราหมณ์นั้น ๒-๓ วัน. พราหมณ์เที่ยวขอทานเขากิน แม้เขาคุกคามนางว่า "อีหญิงถ่อย มึงจงฉิบหาย" โกรธแล้วได้ไปยังเรือนของบุตรคนอื่น, โดยกาลล่วงไป ๒-๓ วัน เขาถูกลูกสะใภ้อื่นให้เตลิดไปจากเรือนแม้นั้น ด้วยอุบายนี้เหมือนกันแล (ได้ไปยังเรือนของบุตรคนอื่น) เมื่อไม่ได้การเข้าไปแม้ จึงบวชเป็นชีปะขาว เที่ยวภิกษาอยู่ โดยกาลล่วงไป ทรุดโทรมลงเพราะชรา มีสรีระเศร้าหมองเพราะโภชนะไม่ดีนอนลำบาก เที่ยวภิกษาอยู่ (กลับ) มาทอดหลังลงนอน ก้าวลงสู่ความหลับแล้ว ลุกขึ้นนั่งมองดูตน ซึ่งมีความกระวนกระวายระงับแล้ว ไม่เห็นที่พึ่งของตนในบุตรทั้งหลาย จึงคิดว่า "ได้ยินว่า พระสมณโคดมไม่สยิ้วพระพักตร์ มีพระพักตร์เบิกบาน๑- ตรัสถ้อยคำไพเราะ ทรงฉลาดในการต้อนรับ เราอาจเข้าไปหาพระสมณโคดมแล้ว ได้รับการต้อนรับ." เขาจัดแจงผ้านุ่งผ้าห่มเรียบร้อยแล้ว หยิบภาชนะภิกษา ถือไม้เท้า ได้ไปยังสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า. ____________________________ ๑- อุตฺตานมุโข มีพระพักตร์หงาย. สมจริง แม้พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย ก็กล่าวคำนี้ไว้ว่า "ครั้งนั้นแล พราหมณ์มหาศาลคนใดคนหนึ่ง ผู้เศร้าหมอง มีผ้าห่มอันเศร้าหมอง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยสถานที่พระองค์ประทับอยู่." พระศาสดาทรงทำปฏิสันถารกับเขาผู้นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ตรัสคำนี้ว่า "พราหมณ์ เพราะอะไรหนอแล ท่านจึงเป็นผู้เศร้าหมอง มีผ้าห่มอันเศร้าหมอง?" พราหมณ์ทูลว่า "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์มีบุตรอยู่ ๔ คนในโลกนี้ บุตรเหล่านั้นถูกภรรยายุยง จึงขับข้าพระองค์ออกเสียจากเรือน." พระศาสดาให้พราหมณ์เรียนคาถา ข้าพเจ้าจักเพลิดเพลินด้วยบุตรที่เกิดแล้วเหล่าใด, และปรารถนาความเจริญแก่บุตรเหล่าใด, บุตรเหล่านั้น ถูกภรรยายุยง๑- ย่อมรุกรานข้าพเจ้าเหมือนสุนัขรุกราน สุกรฉะนั้น. ได้ยินว่า บุตรเหล่านั้นเป็นอสัตบุรุษ เลวทราม เรียก ข้าพเจ้าว่า "พ่อ พ่อ" พวกเขาคือรากษส (มาแล้ว) โดยรูป เพียงดังบุตร ย่อมทอดทิ้งข้าพเจ้าผู้ถึงความเสื่อม (แก่) บิดา แม้ของเหล่าพาลชน เป็นคนแก่ ต้องเที่ยวขอ ทานที่เรือนของชนเหล่าอื่น เหมือนม้าที่แก่ใช้การงานไม่ ได้ ถูกเขาพรากไปจากอาหารฉะนั้น. นัยว่า ไม้เท้าของข้าพเจ้าแล ยังประเสริฐกว่า, บุตร ทั้งหลายไม่เชื่อฟังจะประเสริฐอะไร (เพราะ) ไม้เท้ากันโค ดุก็ได้, อนึ่ง กันสุนัขก็ได้ มีไว้ (ยัน) ข้างหน้าเวลามืดก็ได้ (ใช้) หยั่งลงไปในที่ลึกก็ได้ เพราะอานุภาพแห่งไม้เท้า คนแก่เช่นข้าพเจ้าพลาดแล้ว ก็กลับยืนขึ้น (อีกได้). ____________________________ ๑- บุตรเหล่านั้นคบคิดกับภรรยา ก็ว่า. พราหมณ์ได้อุบายดี ตกลงใจว่า "กาลนี้เป็นกาลของเราแล้ว" เข้าไปสู่ท่ามกลางสภา ชู เมื่อพราหมณ์เหล่านั้นกล่าวว่า "กล่าวเถิดๆ พราหมณ์ พวกเราจักฟัง" ได้ยืนกล่าวเทียว. ก็โดยสมัยนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีวัตรอยู่อย่างนี้ว่า "บุตรใดใช้สอยทรัพย์ที่เป็นของมารดาบิดา (แต่) ไม่เลี้ยงมารดาบิดา บุตรนั้นต้องถูกฆ่า." เพราะฉะนั้น บุตรของพราหมณ์เหล่านั้นจึงฟุบลงแทบเท้าของบิดา วิงวอนว่า "คุณพ่อขอรับ ขอคุณพ่อโปรดให้ชีวิตแก่พวกกระผมเถิด." เพราะความที่หทัยของบิดาเป็นธรรมชาติอ่อนโยน เขาจึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าให้บุตรน้อยทั้งหลายของข้าพเจ้าพินาศเสียเลย พวกเขาจักเลี้ยงดูข้าพเจ้า." ทันใดนั้น มนุษย์ทั้งหลายจึงกล่าวกะพวกบุตรของเขาว่า "ท่านผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้ไป หากพวกท่านจักไม่ประคับประคองบิดาให้ดีไซร้ พวกเราจักฆ่าพวกท่านเสีย." บุตรเหล่านั้นกลัวแล้ว เชิญบิดาให้นั่งบนตั่ง ยกขึ้นนำไปสู่เรือนด้วยตนเอง ทาสรีระด้วยน้ำมัน ขัดสี (ให้สะอาด) ใช้วัตถุมีกลิ่นหอมเป็นต้นชโลมแล้ว ให้เรียกพราหมณีทั้งหลายมาแล้วสั่งว่า "ตั้งแต่วันนี้ไป เธอทั้งหลายจงประคับประคองบิดาของพวกฉันให้ดี ถ้าเธอทั้งหลายจักถึงความประมาทแล้วไซร้ พวกฉันจักติเตียนเธอทั้งหลาย" แล้วให้บริโภคโภชนะอันประณีต. พราหมณ์คิดถึงอุปการคุณของพระศาสดา กราบทูลว่า "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ชื่อว่าเป็นพราหมณ์ ย่อมแสวงหาทรัพย์เป็นส่วนแห่งอาจารย์ เพื่ออาจารย์, ขอพระโคดมผู้เจริญ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของข้าพระองค์ โปรดรับทรัพย์เป็นส่วนอาจารย์." พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับผ้าคู่นั้นเพื่ออนุเคราะห์เขาแล้ว ทรงแสดงธรรม. ในกาลจบเทศนา พราหมณ์ดำรงอยู่ในสรณะแล้ว จึงกราบทูลอย่างนี้ว่า "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ถวายธุวภัต ๒ ที่จากธุวภัต ๔ ที่ซึ่งบุตรทั้งหลายให้แก่ข้าพระ ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสว่า "งามละ พราหมณ์ แต่เราจักไปสู่สถานที่ชอบใจเท่านั้น" แล้วทรงส่งเขาไป. พราหมณ์ไปถึงเรือนแล้ว บอกพวกบุตรว่า "พ่อทั้งหลาย พระสมณโคดมเป็นสหายของพ่อ พ่อถวายธุวภัต ๒ ที่แก่พระองค์, เจ้าทั้งหลายอย่าละเลยในเมื่อพระองค์เสด็จมาถึงนะ" บุตรทั้งหลายรับว่า "ดีละ คุณพ่อ." พระศาสดาโปรดบุตรพราหมณ์ พระศาสดาได้เสด็จไปสู่เรือนของบุตรพราหมณ์ทั้งสิ้นตามลำดับ คือวันรุ่งขึ้น ของบุตรนอกนี้, วันรุ่งขึ้นของบุตรนอกนี้. พวกเขาทุกคนได้ทำสักการะอย่างนั้นเหมือนกัน. ต่อมาวันหนึ่ง บุตรคนหัวปี เมื่อการมงคลปรากฏเฉพาะแล้วจึงพูดกะบิดาว่า "คุณพ่อขอรับ พวกกระผมจะให้มงคลแก่ใคร?" พราหมณ์. พ่อไม่รู้จักคนอื่น พระสมณโคดมเป็นสหายของพ่อมิใช่หรือ? บุตรคนหัวปี. ถ้ากระนั้น คุณพ่อโปรดนิมนต์พระองค์พร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป เพื่อฉันในวันพรุ่งนี้. พราหมณ์ได้ทำอย่างนั้น. วันรุ่งขึ้น พระศาสดาพร้อมด้วยบริวารได้เสด็จไปยังบ้านของเขา. เขานิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ให้นั่งในเรือนซึ่งฉาบทาด้วยโคมัยสด ประดับด้วยสรรพาลังการแล้ว อังคาสด้วยมธุปายาสข้น และด้วยขาทนียะอันประณีต. ก็ในระหว่างแห่งภัตนั่นแหละ บุตร ๔ คนของพราหมณ์นั่งในสำนักพระศาสดา กราบทูลว่า "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายประคับประคองบิดาของพวกข้าพระองค์ ไม่ประมาท โปรดทอด การบำรุงมารดาบิดาเป็นมงคล แล้วตรัสมาตุโปสกนาคชาดก๑- ในเอกาทสก แล้วได้ทรงภาษิตพระคาถานี้ว่า :-
๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๔๙๓; อรรถกถา ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๔๙๓ ๒- สุมรติ เป็นอีกรูปหนึ่งของสรติ. นาควนสฺส แปลกันว่า ซึ่งป่าแห่งไม้กากะทิง เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ.. แก้อรรถ บทว่า กฏุกปฺปเภทโน ความว่า ตกมันจัด. อันที่จริง ในกาลเป็นที่ตกมันของช้างทั้งหลาย หมวกหูทั้ง ๒ ย่อมแตกเยิ้ม แม้ตามปกติ ในกาลนั้น ช้างทั้งหลายย่อมไม่นำพาซึ่งขอ ปฏัก หรือโตมร ย่อมเป็นสัตว์ดุร้าย แต่ช้างธนปาลกะนั้นดุร้ายนักทีเดียว เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า กฏุกปฺปเภทโน ทุนฺนิวารโย. บาทพระคาถาว่า พทฺโธ กพลํ น ภุญฺชติ ความว่า ช้างธนปาลกะนั้นมิได้ถูกตกปลอกไว้, แต่ถูกเขานำไปสู่โรงช้าง ให้แวดวงด้วยม่านอันวิจิตรแล้ว พักไว้บนพื้นที่ซึ่งทำการประพรมด้วยของหอม มีเพดานวิจิตรดาดไว้ ณ เบื้องบน แม้อันพระราชาให้บำรุงด้วยโภชนะมีรสเลิศต่างๆ ควรแก่พระราชา ก็มิไยดีจะบริโภคอะไรๆ. อันคำว่า "พทฺโธ กพลํ น ภุญฺชติ" (นี้) พระศาสดาตรัสหมายถึงอาการเพียงช้างถูกส่งเข้าไปสู่โรงช้าง. สองบทว่า สุมรติ นาควนสฺส ความว่า ช้างธนปาลกะนั้นระลึกถึงนาควัน ซึ่งเป็นที่อยู่อันน่ารื่นรมย์แท้หามิได้, ก็มารดาของช้างนั้นได้เป็นสัตว์ถึงทุกข์ เพราะพรากจากบุตรในป่า ช้างนั้นบำเพ็ญมาตาปิตุอุปัฏฐานธรรมนั่นแล ดำริว่า "ประโยชน์อะไรของเราด้วยโภชนะนี้" ระลึกถึงมาตาปิตุอุปัฏฐานธรรม ซึ่งประกอบด้วยธรรมเท่านั้น ก็ช้างนั้นอยู่ในนาควันนั้นนั่นแล อาจบำเพ็ญมาตาปิตุอุปัฏฐานธรรมนั้นได้ เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า "สุมรติ นาควนสฺส กุญฺชโร" เมื่อพระศาสดา ครั้นทรงนำบุรพจริยาของพระองค์นี้มาตรัสอยู่นั่นแล บุตรของพราหมณ์แม้ทั้งหมดยังอัสสุธารให้ไหลแล้ว มีหทัยอ่อน เงี่ยโสตลงสดับแล้ว. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบถึงธรรมเป็นที่สบายของพวกเขาแล้ว จึงทรงแสดงธรรมประกาศสัจจะทั้งหลาย. ในกาลจบเทศนา พราหมณ์พร้อมกับบุตรและลูกสะใภ้ทั้งหลายดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว ดังนี้แล. เรื่องบุตรของพราหมณ์เฒ่า จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท นาควรรคที่ ๒๓ |