บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
#- บาลีเป็น อชิตปัญหา. ก็ในปัญหานั้น บทว่า นิวุโต หุ้มห่อ คือปกปิดไว้. บทว่า กิสฺสาภิเลปนํ พฺรูสิ คือ อชิตมาณพทูลถามว่า พระองค์ตรัสว่าอะไรเป็นเครื่องฉาบทาโลกนั้นไว้. บทว่า เววิจฺฉา ปมาทา นปฺปกาสติ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า โลกไม่แจ่มแจ้งเพราะความตระหนี่และเพราะความประมาทเป็นเหตุ จริงอยู่ ความตระหนี่ไม่ให้เพื่อประกาศคุณมีทานเป็นต้นของเขา และความประมาทไม่ให้เพื่อประกาศคุณมีศีลเป็นต้น. บทว่า ชปฺปาภิเลปนํ ตัณหาเป็นเครื่องฉาบทา คือตัณหาเป็นเครื่องฉาบทาโลกนั้นไว้ดุจตังดักลิง ฉาบทาลิงไว้ฉะนั้น. บทว่า ทุกฺขํ ได้แก่ ทุกข์มีชาติเป็นต้น. บทว่า สวนฺติ สพฺพธิ โสตา กระแสทั้งหลายย่อมแล่นไปในอารมณ์ทั้งปวง คือกระแสมีตัณหาเป็นต้นย่อมแล่นไปในอายตนะทั้งหลายมีรูปายตนะเป็นต้นทั้งปวง. บทว่า กินฺนิวารณํ อะไรเป็นเครื่องกั้นกระแส คืออะไรเป็นเครื่องกั้น อะไรเป็นเครื่องคุ้มครองรักษากระแสเหล่านั้น. บทว่า สํวรํ พฺรูหิ คือ ขอพระองค์ทรงตรัสบอกเครื่องกั้นกระแสอันได้แก่การห้ามกระแสเหล่านั้น. ด้วยบทนี้ อชิตมาณพทูลถามถึงการละกระแสที่เหลือ. บทว่า เกน โสตา ปิถิยฺยเร คือ กระแสทั้งหลายเหล่านั้นอันบัณฑิตย่อมปิดกั้น คือตัดขาดได้ด้วยธรรมอะไร. ด้วยบทนี้ อชิตมาณพทูลถามถึงการละกระแสโดยไม่มีเหลือ. บทว่า สติ เตสํ นิวารณํ สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น คือสติอันมีอยู่ด้วยความสงบประกอบแล้วด้วยวิปัสสนาเป็นทางดำเนินของธรรมอันเป็นกุศลทั้งหลายเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น. บทว่า โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ เรากล่าวสติว่าเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เรากล่าวว่าสตินั้นแลเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย. บทว่า ปญฺญาเยเต ปิถิยฺยเร กระแสเหล่านั้นอันบัณฑิตปิดกั้นได้ด้วยปัญญา คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า กระแสเหล่านั้นอันบัณฑิตย่อมปิดกั้นได้ด้วยมรรคปัญญาอันสำเร็จด้วยการแทงตลอด ถึงความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นในธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้นโดยประการทั้งปวง. บทว่า ปญฺญา เจว พึงทราบความสังเขปอย่างนี้ว่า ปัญญา สติและนามรูปที่เหลือนั้นอันใด ที่ท่านกล่าวไว้ในคาถาของปัญหาทั้งหมดนั้นย่อมดับไป ณ ที่ไหน พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามปัญหา ขอจงตรัสบอกปัญหาข้อนี้แก่ข้า พึงทราบความในคาถาแก้ปัญหาของอชิตมาณพต่อไป เพราะปัญญาและสติสงเคราะห์ (รวม) กันโดยนามนั่นเอง ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมิได้ตรัสปัญญาและสติไว้ต่างออกไป. นี้เป็นความสังเขปในบทนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอชิตะ ท่านได้ถามปัญหานี้ว่า นามและรูปย่อมดับไป ณ ที่ไหน เราจะบอกปัญหาที่ท่านได้ถามแก่ท่านว่า นามและรูปย่อมดับไปไม่มี ส่วนเหลือ ณ ที่ใด สติและปัญญานี้ย่อมดับไปพร้อมกันไม่ก่อนไม่หลัง ณ ที่นั้น เพราะความดับแห่งวิญญาณนั้นๆ ในเพราะความดับแห่งวิญญาณนี้แล นามและรูปจึงดับไป ท่านอธิบายว่า การดับนามและรูปนั้นไม่ล่วงพ้นการดับแห่งวิญญาณนั้นไปได้เลย. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันประกาศถึงทุกขสัจจะด้วยบทนี้ว่า ทุกฺขมสฺส มหพฺ อชิตมาณพได้ฟังสัจจะทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว ยังไม่บรรลุอริยภูมิ เมื่อจะทูลถามปฏิปทาของพระเสกขะและอเสกขะต่อไป จึงทูลว่า เย จ สงฺขาตธมฺมาเส ชนเหล่าใดผู้มีธรรมอันพิจารณาเห็นแล้ว ดังนี้เป็นต้น. ในบทเหล่านั้นบทว่า สงฺขาตธมฺมา ได้แก่ ธรรมที่พิจารณาเห็นแล้วโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. บทนี้เป็นชื่อของพระอรหัต. บทว่า เสกฺขา ได้แก่ พระอริย บทว่า ปุถู มาก ได้แก่ ชน ๗ จำพวก. บทว่า เตสํ เม นิปโก อิริย ปุฏฺโฐ ปพฺรูหิ ความว่า พระองค์ผู้มีปัญญารักษาตนอันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกข้อปฏิบัติของชนเหล่านั้นผู้เป็นเสกขะและอเสกขะ แก่ข้าพระองค์เถิด. เพราะพระเสกขะควรละกิเลสทั้งหมด ตั้งต้นแต่กามฉันทนิวรณ์ทีเดียว ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงเสกขปฏิปทาแก่อชิตมาณพนั้นด้วยกึ่งคาถาว่า กาเมสุ ในกามทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น. บทนั้นมีความดังต่อไปนี้ ภิกษุไม่พึงกำหนัดยินดีในวัตถุกามทั้งหลายด้วยความใคร่กิเลส ละธรรมทั้งหลายอันทำความขุ่นมัวแก่ใจมีกายทุจริตเป็นต้น พึงเป็นผู้มีใจไม่ขุ่นมัว. ก็เพราะพระอเสกขะเป็นผู้ฉลาด เพราะเป็นผู้พิจารณาสังขารทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น เป็นผู้มีสติด้วยการมีสติตามเห็นซึ่งกายเป็นต้นในธรรมทั้งปวง และถึงความเป็นภิกษุ เพราะทำลายสักกายทิฏฐิเป็นต้นเสียได้ ย่อมเว้นรอบในทุกอิริยาบถ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงอเสกขปฏิปทา ด้วยกึ่งคาถาว่า กุสโล เป็นผู้ฉลาด ดังนี้เป็นต้น. บทที่เหลือในบททั้งหมดชัดดีแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจบเทศนาด้วยธรรมเป็นยอดคือพระอรหัตด้วยประการฉะนี้. เมื่อจบเทศนา อชิตมาณพได้บรรลุพระอรหัตพร้อมกับอันเตวาสิก ๑,๐๐๐ ชนอีก ๑,๐๐๐ เหล่าอื่นได้เกิดดวงตาเห็นธรรม. หนังเสือเหลือง ชฎาและผ้าป่านเป็นต้นของท่านอชิตะพร้อมด้วยอันเตวาสิกได้หายไปพร้อมกับการบรรลุพระอรหัต. ท่านทั้งหมดทรงบาตรและจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์ มีผมสององคุลีเป็นเอหิภิกขุ นั่งประนมมือนมัสการพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้แล. จบอรรถกถาอชิตสูตรที่ ๑ แห่งอรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถโชติกา ------------------------------------------------ .. อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต ปารายนวรรค อชิตปัญหาที่ ๑ จบ. |