![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | ||||||||||||||||||||||||||||||
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() บทว่า พาหิโย เป็นชื่อของท่าน. บทว่า ทารุจีริโย ได้แก่ ผ้าคากรองที่ทำด้วยไม้. บทว่า สุปฺปารเก ได้แก่ อยู่ที่ท่าชื่ออย่างนั้น. ก็พาหิยะนี้คือใคร. และอย่างไรจึงเป็นผู้ทรงผ้าคากรองทำด้วยไม้, อย่างไรจึงอยู่อาศัยที่ท่าสุปปารกะ? ในข้อนั้น มีอนุปุพพิกถาดังต่อไปนี้ ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ ในที่สุด คิดว่า ไฉนหนอ ในอนาคต เราจักบวชในพระศาสนาของพระ ท่านอยู่ในเทวโลกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ถือปฏิสนธิในเรือนมีสกุลในพาหิยรัฐ ชนทั้งหลายจำเขาได้ว่า พาหิยะ เพราะเกิดในพาหิยรัฐ. เขาเจริญวัยแล้วอยู่ครองเรือน เอาเรือบรรทุกสินค้ามากมาย แล่นไปยังสมุทรกลับไปกลับมา สำเร็จความประสงค์ ๗ ครั้งจึงกลับนครของตน ครั้นครั้งที่ ๘ คิดจะไปสุวรรณภูมิ จึงขนสินค้าแล่นเรือไป. เรือแล่นเข้ามหาสมุทรยังไม่ทันถึงถิ่นที่ปรารถนา ก็อับปางในท่ามกลางสมุทร. มหาชนพากันเป็นภักษาของปลาและเต่า ส่วนท่านพาหิยะเกาะกระดานแผ่นหนึ่ง กำลังข้ามอยู่ถูกกำลังคลื่นซัดไปทีละน้อยๆ ในวันที่ ๗ ก็ถึงฝั่งใกล้ท่าสุปปารกะ. ท่านนอนที่ฝั่งสมุทร โดยรูปกายเหมือนตอนเกิด เพราะผ้าพลัดตกไปในสมุทร บรรเทาความกระวน ท่านปรากฏว่า ทารุจีริยะ เพราะทรงผ้าคากรองทำด้วยไม้ และว่า พาหิยะ ตามชื่อเดิมแม้โดยประการทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้. ท่านถือกระเบื้องอันหนึ่ง เที่ยวขอก้อนข้าวที่ท่าสุปปารกะ โดยทำนองดังกล่าวแล้ว พวกมนุษย์เห็นเข้าจึงคิดว่า ถ้าชื่อว่าพระอรหันต์ยังมีในโลกไซร้ ท่านพึงเป็นอย่างนี้ พระผู้เป็นเจ้าองค์นี้ จะถือเอาผ้าที่เขาให้ หรือไม่ถือเอาเพราะความมักน้อย ดังนี้ เมื่อจะทดลอง จึงน้อมนำผ้าจากที่ต่างๆ เข้าไป. เขาคิดว่า ถ้าเราจักไม่มาโดยทำนองนี้ไซร้ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเหล่านี้พึงไม่เลื่อมใสเรา ไฉนหนอ เราพึงห้ามผ้าเหล่านี้เสีย อยู่โดยทำนองนี้แหละ เมื่อเป็นเช่นนี้ ลาภสักการะก็จักเกิดขึ้นแก่เรา. เขาคิดอย่างนี้แล้ว จึงตั้งอยู่ในฐานะเป็นผู้หลอกลวงไม่รับผ้า. พวกมนุษย์คิดว่า น่าอัศจรรย์ พระผู้เป็นเจ้านี้มักน้อยแท้ จึงมีจิตเลื่อมใสโดยประมาณยิ่ง กระทำสักการะและสัมมานะเป็นอันมาก. ฝ่ายท่านรับประทานอาหารแล้ว ได้ไปยังเทวสถานแห่งหนึ่งในที่ไม่ไกล. มหาชนก็ไปกับท่านเหมือนกัน ได้ซ่อมแซมเทวสถานนั้นให้. ท่านคิดว่า คนเหล่านี้เลื่อมใสในฐานะเพียงที่เราทรงผ้าคากรอง จึงพากันทำสักการะและสัมมานะอย่างนี้ เราควรจะมีความประพฤติอย่างสูงสำหรับคนเหล่านี้ จึงเป็นผู้มีบริขารเบาๆ เป็นผู้มักน้อยอยู่. ฝ่ายท่าน เมื่อถูกคนเหล่านั้นยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์ ก็สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ อนึ่ง การทำสักการะและทำความเคารพ ก็เจริญยิ่งๆ ขึ้น และท่านก็ได้มีปัจจัยมากมาย. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ก็สมัยนั้นแล ท่านพาหิยะ ทารุจีริยะ อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะใกล้ฝั่งสมุทร เป็นผู้อันมหาชนสักการะเคารพ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สกฺกโต ความว่า เป็นผู้อันมหาชนสักการะโดยการบำรุงด้วยความเคารพ คือเอื้อเฟื้อ. บทว่า ครุกโต ความว่า ผู้อันมหาชนกระทำให้หนัก ด้วยการกระทำให้หนักดุจฉัตรหิน โดยความประสงค์ว่า เป็นผู้ประกอบด้วยคุณวิเศษ. บทว่า มานิโต ความว่า ผู้อันมหาชนนับถือด้วยการยกย่องด้วยน้ำใจ. บทว่า ปูชิโต ความว่า ผู้อันมหาชนบูชาแล้วด้วยการบูชา ด้วยการสักการะ มีดอกไม้และของหอมเป็นต้น. บทว่า อปจิโต ได้แก่ ผู้อันมหาชนยำเกรงแล้วด้วยการให้หนทาง และการนำอาสนะมาเป็นต้น ด้วยจิตเลื่อมใสอย่างยิ่ง. บทว่า ลาภี จีวร ฯ เป ฯ ปริกฺขารานํ ความว่า เป็นผู้ได้ด้วยการได้ปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น อันแสนจะประณีตที่มหาชนนำเข้าไปยิ่งๆ. อีกนัยหนึ่ง บทว่า สกฺกโต ได้แก่ ได้รับสักการะ. บทว่า ครุกโต ได้แก่ ได้รับความเคารพ. บทว่า มานิโต ได้แก่ อันมหาชนนับถือมาก และมีใจรักมาก. บทว่า ปูชิโต ได้แก่ อันมหาชนบูชาแล้วด้วยการบูชาอย่างยิ่ง ด้วยปัจจัย ๔. บทว่า อปจิโต ได้แก่ ได้รับความอ่อนน้อมถ่อมตน. จริงอยู่ ชนทั้งหลายย่อมสักการะด้วยปัจจัย ๔ ตกแต่งอย่างดี ทำให้แสนจะประณีตมอบให้ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่า อันเขาสักการะ. คนทั้งหลายทำความเคารพให้ปรากฏแล้วมอบให้ในผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าอันเขากระทำเคารพ, ชนทั้งหลายย่อมมีใจ ประพฤติรักใคร่ และนับถือมากซึ่งผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าอันเขานับถือ, คนทั้งหลายทำสิ่งนั้นทั้งหมดด้วยการบูชาแก่ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าอันเขาบูชา, ชนทั้งหลายย่อมกระทำการนบนอบอย่างยิ่งด้วยการอภิวาท การต้อนรับและอัญชลีกรรมเป็นต้นแก่ผู้ใด ผู้นั้นชื่อว่าอันเขายำเกรง. ก็คนเหล่านั้น ได้กระทำสิ่งนั้นทุกอย่างแก่พาหิยะ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ท่านพาหิยทารุจีริยะ อันเขาสักการะแล้ว อาศัยอยู่ที่ท่าสุปปารกะ. ก็ในที่นี้ท่านพาหิยทารุจีริยะ แม้เมื่อไม่รับจีวร เขาก็กล่าวว่า เป็นผู้ได้แม้จีวรเหมือนกัน ด้วยการน้อมเข้าไปว่า มาเถิดขอรับ จงรับผ้านี้. บทว่า รโหคตสฺส ได้แก่ อยู่ในที่ลับ. บทว่า ปฏิสลฺลีนสฺส ได้แก่ เป็นผู้อยู่โดดเดี่ยว. เมื่อถูกพวกมนุษย์เป็นอันมากกล่าวว่า ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านก็เกิดความปริวิตกแห่งใจ คือเกิดความดำริผิดแห่งจิต โดยอาการที่กล่าวอยู่ในบัดนี้. เกิดความปริวิตกอย่างไร? เกิดความปริวิตกขึ้นว่า คนเหล่าใดเหล่าหนึ่งจะเป็นพระอรหันต์ หรือท่านผู้ ความข้อนั้นมีอธิบายดังนี้ ชนเหล่าใด ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะกำจัดข้าศึกคือกิเลสในสัตว์โลกนี้ และเพราะเป็นผู้ควรแก่บูชาและสักการะเป็นต้น หรือคนเหล่าใด ชื่อว่าบรรลุพระอรหัตมรรค เพราะฆ่าข้าศึกคือกิเลสเหล่านั้น บรรดาคนเหล่านั้น เราเป็นคนหนึ่ง. บทว่า โปราณสาโลหิตา ได้แก่ เทวดาผู้บำเพ็ญสมณธรรมร่วมกัน เสมือนพวกพ้องร่วมสายโลหิตกันในภพก่อน. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า บทว่า ปุราณสาโลหิตา ได้แก่ เทวดาองค์หนึ่งผู้เป็นมารดาร่วมสายโลหิตในกาลก่อน คือในภพอื่น. ในอรรถกถาท่านปฏิเสธคำนั้น ได้ถือเอาความหมายแรกเท่านั้น. ได้ยินว่า เมื่อก่อนศาสนาของพระกัสสปทศพลจะเสื่อม ภิกษุ ๗ รูป บรรดาภิกษุเหล่านั้น พระสังฆเถระบรรลุพระอรหัตโดยล่วงไปราตรีเดียวเท่านั้น. ท่านนำบิณฑบาตมาจากอุตตรกุรุทวีปแล้วกล่าวกะภิกษุเหล่านั้นว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย โปรดฉันบิณฑบาตจากที่นี้เถิด. ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ท่าน ตั้งแต่วันที่สองไป พระเถระที่ ๒ ก็บรรลุอนาคามิผล. แม้ท่านก็ถือเอา บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุผู้บรรลุพระอรหัตก็ปรินิพพานไป. พระอนาคามีก็ไปบังเกิดในชั้นสุทธาวาส. ส่วนพระ ๕ รูปนอกนี้ แม้เพียรพยายามอยู่ก็ไม่อาจทำ ก็บรรดาคนเหล่านั้น คนหนึ่งได้เป็นพระราชาพระนามว่า ปุกกุสะ, คนหนึ่งเป็น กุมารกัสสปะ, คนหนึ่งเป็น ทัพพมัลลบุตร, คนหนึ่งเป็น สภิยปริพาชก, คนหนึ่งเป็น พาหิยะ ทารุจีริยะ. บรรดาคนเหล่านั้น พระอนาคามีผู้ที่บังเกิดในพรหมโลก ซึ่งท่านหมายเอากล่าวคำนี้ไว้ว่า ปุราณสาโลหิตา เทวตา เทวดาผู้ร่วมสาโลหิต ดังนี้. จริงอยู่ แม้เทวบุตรก็เรียกว่า เทวดา เพราะอธิบายว่า เทวดาก็คือเทพ เหมือนเทพธิดา ดุจในประโยคมีอาทิว่า อถ โข อญฺญตรา เทวตา ครั้งนั้นแล เทวดาองค์หนึ่ง. แต่ในที่นี้ พรหม ท่านประสงค์เอาว่า เทวดา. ก็เมื่อพรหมนั้นตรวจดูพรหมสมบัติแล้วนึกถึงสถานที่ตนมา ในลำดับที่เกิดในพรหมโลกนั้นทีเดียว การที่พวกชนทั้ง ๗ คนขึ้นภูเขากระทำสมณธรรมก็ดี ความที่ตนบรรลุอนาคามิผล แล้วบังเกิดในพรหมโลกก็ดี ปรากฏแล้ว. พรหมนั้นรำพึงว่า ฝ่ายชนทั้ง ๕ บังเกิดที่ไหนหนอ รู้ว่าชนเหล่านั้นบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร ครั้นต่อมาตามเวลาอันสมควร ได้ตรวจดูประวัติของชนเหล่านั้นว่า กระทำอะไรกันหนอ. แต่ในเวลานี้ เมื่อรำพึงว่า พวกเหล่านั้นอยู่ที่ไหนหนอ จึงได้เห็นพาหิยะอาศัยท่าสุปปารกะ นุ่งผ้าคากรองทำด้วยเปลือกไม้ เลี้ยงชีพด้วยการหลอกลวง คิดว่า เมื่อก่อน ผู้นี้พร้อมกับเราผูกบันไดขึ้นภูเขากระทำสมณธรรม ไม่อาลัยในชีวิต เพราะประพฤติกวดขันอย่างยิ่ง แม้พระอรหันต์จะนำบิณฑบาตมาให้ก็ไม่ฉัน บัดนี้ ประสงค์แต่จะให้เขายกย่อง ไม่เป็นพระอรหันต์เลย ก็ยังเที่ยวปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ มีความปรารถนาลาภ สักการะและชื่อเสียง ทั้งไม่รู้ว่าพระทศพลอุบัติขึ้นแล้ว เอาเถอะ เราจักทำเขาให้สลดใจแล้วให้รู้ว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว. ทันใดนั้นเอง จึงลงจากพรหมโลก ปรากฏตรงหน้าท่านทารุจีริยะ ที่ท่าสุปปารกะ ตอนกลางคืน. ท่านพาหิยะเห็นแสงสว่างโชติช่วงในที่อยู่ของตน จึงคิดว่า นี้เหตุอะไรหนอ แล้วได้ออกไปข้างนอกตรวจดูอยู่ เห็นมหาพรหมอยู่ในอากาศ จึงประคองอัญชลีถามว่า ท่านเป็นใคร? ลำดับนั้น พรหมได้กล่าวแก่ท่านว่า เราเป็นสหายเก่าของท่าน คราวนั้นเราบรรลุอนาคามิผล บังเกิดในพรหมโลก แต่ท่านไม่สามารถจะทำคุณวิเศษอะไรให้บังเกิดได้ คราวนั้นท่านทำกาลกิริยาเยี่ยงปุถุชนท่องเที่ยวไป บัดนี้ ทรงเพศเยี่ยงเดียรถีย์ ไม่เป็นพระอรหันต์เลย ยังเที่ยวถือลัทธินี้ว่าเราเป็นพระอรหันต์ (เรา) รู้ดังนี้จึงได้มา ดูก่อนพาหิยะ ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย จงสละทิฏฐิอันลามกเช่นนั้นเสียเถิด ท่านอย่าได้เป็นไปเพื่อฉิบหาย เพื่อทุกข์ตลอดกาลนานเลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ จงเข้าไปเฝ้าพระองค์เถิด. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ครั้งนั้นแล เทวดาผู้เป็นสายโลหิตของพาหิยะ ทารุจีริยะ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนุกมฺปิกา ได้แก่ ผู้มีปกติอนุเคราะห์ คือผู้ยิ่งด้วยกรุณา. บทว่า อตฺถกามา ได้แก่ ผู้ปรารถนาประโยชน์ คือผู้ยิ่งด้วยเมตตา. ก็ในที่นี้ ด้วยบทแรก ท่านแสดงถึงความที่เทวดานั้นประสงค์จะบำบัดทุกข์ของพาหิยะ ด้วยบทหลัง แสดงถึงการนำประโยชน์เกื้อกูลเข้าไป. บทว่า เจตสา ได้แก่ ด้วยจิตของตน. ก็ในที่นี้ พึงทราบว่า ท่านถือเอาเจโตปริยญาณ โดยยกจิตขึ้นเป็นประธาน. บทว่า เจโตปริวิตกฺกํ ได้แก่ ความเป็นไปแห่งจิตของท่าน. บทว่า อญฺญาย แปลว่า รู้แล้ว. บทว่า เตนุปสงฺกมิ ความว่า บุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขนที่คู้เข้า หรือคู้แขนที่เหยียดออก ชื่อแม้ฉันใด พรหมอันตรธานจากพรหมโลกเข้าไปปรากฏตรงหน้าพาหิยะ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า เอตทโวจ ความว่า พรหมได้กล่าวคำนี้ คือคำที่จะกล่าวในบัดนี้ มีอาทิว่า พาหิยะ ท่านมิใช่พระอรหันต์เลย ดังนี้ ก็ท่านพาหิยะผู้มิจฉาปริวิตกที่เป็นไป มีอาทิว่า ผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นพระอรหันต์หรือ ดังนี้ เหมือนจับโจรพร้อมทั้งของกลาง. ด้วยบทว่า เนว โข ตฺวํ พาหิยะ อรหา นี้ พรหมปฏิเสธว่าท่านพาหิยะมิใช่พระอเสขะในกาลนั้น. ด้วยบทว่า นาปิ อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺโน นี้ แสดงว่าท่านพาหิยะยังเป็นเสขบุคคล. แม้ด้วยบททั้งสองนั้น แสดงว่า ท่านพาหิยะไม่ใช่พระอริยบุคคลเลย. ก็ด้วยคำว่า สาปิ เต ปฏิปทา นตฺถิ ยาย พาหิย ตฺวํ อรหา วา อสฺสสิ อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺโน นี้ พรหมปฏิเสธว่า ท่านพาหิยะเป็นเพียงกัลยาณปุถุชน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิปทา ได้แก่ วิสุทธิ ๖ (ข้างต้น) มีสีลวิสุทธิเป็นต้น. ที่ชื่อว่าปฏิปทา เพราะเป็นเครื่องดำเนินไปในอริยมรรค. บทว่า อสฺสสิ แปลว่า พึงเป็น. ถามว่า ก็ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์นี้ เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะอาศัยอะไร? ตอบว่า อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์เกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะท่านกำจัดกิเลสได้ด้วยตทังคปหาน เหตุได้สร้างบุญญาธิการไว้ตลอดกาลนาน โดยความที่ท่านเป็นผู้มักน้อย สันโดษและเป็นผู้ขัดเกลา. แต่อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ท่านพาหิยะได้ฌาน ๔ มีปฐมฌานเป็นต้น เพราะฉะนั้น ความสำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ จึงเกิดขึ้นแก่ท่าน เพราะกิเลสไม่ฟุ้งขึ้นด้วยวิกขัมภนปหาน. ทั้งสองอย่างนั้น เป็นเพียงมติของเกจิอาจารย์เท่านั้น เพราะมาในอรรถกถาว่า ท่านประสงค์แต่ความยกย่อง และว่า ท่านไม่ปรารถนาลาภสักการะและการสรรเสริญ. เพราะฉะนั้น พึงทราบความในข้อนี้ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ลำดับนั้น ท่านพาหิยะแลดูมหาพรหมผู้ยืนกล่าวอยู่ในอากาศ จึงคิดว่า โอ ข้อที่เราเข้าใจว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นกรรมหนักแท้ และพรหมนี้กล่าวว่า แม้ปฏิปทาเป็นเครื่องบรรลุพระอรหัตก็ไม่มีแก่ท่าน ใครๆ ผู้เป็นพระอรหันต์ในโลก มีอยู่หรือหนอ. ลำดับนั้น จึงถามมหาพรหมนั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ เก จรหิ เทวเต โลเก อรหนฺโต วา อรหตฺตมคฺคํ วา สมาปนฺนา. บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า อถ เป็นนิบาตใช้ในอรรถเริ่มคำถาม. บทว่า เก จรหิ แก้เป็น เก เอตรหิ. บทว่า โลเก ได้แก่ ในโอกาสโลก. ก็ในข้อนี้ มีอธิบายดังต่อไปนี้ ครั้งนั้น ในพื้นชมพูทวีปทั้งสิ้นอันเป็นโลกเป็นที่รองรับ บัดนี้ พระอรหันต์หรือผู้บรรลุอรหัตมรรค มีอยู่ที่ไหนอันเป็นที่ที่พวกเราเข้าไปหาท่านเหล่านั้น ตั้งอยู่ใน บทว่า อุตฺตเรสุ ท่านกล่าวหมายเอาด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จากท่า บทว่า อรหํ ได้แก่ ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ไกล (จากกิเลส). จริงอยู่ พระอรหันต์นั้น ชื่อว่าเป็นผู้ไกล คือตั้งอยู่ในที่ไกลแสนไกลจากสรรพกิเลส. (และ) ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะกำจัดกิเลสพร้อมทั้งวาสนาด้วยมรรค หรือฆ่ากิเลส จริงอยู่ ข้าศึกคือกิเลสทั้งหลาย อันพระผู้มีพระภาคเจ้าฆ่า คือถอนแล้วด้วยอรหัตมรรคโดยสิ้นเชิง. อนึ่ง ชื่อว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะกำจัดกำคือกิเลสเสียได้. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงยืนหยัดอยู่บนปฐพีคือศีล ด้วย อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะเป็นผู้ควร. ความจริง พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมควรแก่ปัจจัยมีจีวรเป็นต้นอันยิ่ง และบูชาพิเศษ เพราะพระองค์เป็นพระทักขิไณยบุคคลอันเลิศในโลกพร้อมทั้งเทวโลก. อนึ่ง ชื่อว่าพระอรหันต์ เพราะไม่มีความลับ (ในการทำบาป) จริงอยู่ พระตถาคต ท่านเรียกว่าพระอรหันต์ เพราะไม่มีความลับในการทำบาป โดยกิเลสลามกไม่มี เพราะพระองค์ถอนกิเลสมีราคะเป็นต้นได้โดยประการทั้งปวง. ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวงโดยชอบและด้วยพระองค์เอง. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรรู้ยิ่ง ซึ่งธรรมที่ควรกำหนดรู้ โดยเป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ ซึ่งธรรมที่ควรละโดยเป็นธรรมที่ควรละ ซึ่งธรรมที่ควรทำให้แจ้ง โดยเป็นธรรมที่ควรทำให้แจ้ง ซึ่งธรรมที่ควรเจริญโดยเป็นธรรมที่ควรเจริญ. สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า
ในข้อนี้มีความสังเขปดังนี้ว่า ชื่อว่าสัมมาสัมพุทธะ เพราะตรัสรู้ยิ่งซึ่งธรรมทั้งปวง โดยอาการทั้งปวง ด้วยสยัมภูญาณอันไม่วิปริตด้วยประการดังนี้. ส่วนความพิสดาร พึงทราบโดยนัยที่มาในวิสุทธิมรรคนั่นแล. บทว่า อรหตฺตตาย ได้แก่ เพื่อได้อรหัตผล. บทว่า ธมฺมํ เทเสติ ความว่า ย่อมอ้าง คือแสดงธรรมคือปฏิปทามีศีลเป็นต้น อันควรแก่คุณพิเศษมีไพเราะในเบื้องต้นเป็นต้น หรือธรรมคือสมถะและวิปัสสนาอันเหมาะแก่อัธยาศัยของเวไนยสัตว์นั่นแล. บทว่า สํเวชิโต ความว่า ให้ถึงความสลดใจว่า ผู้เจริญ น่าติเตียนจริง ความ อธิบายว่า มีใจสลดด้วยอาการตามที่กล่าวแล้ว ด้วยคำพูดของเทวดา. บทว่า ตาวเทว แปลว่า ในขณะนั้นนั่นเอง. บทว่า สุปฺปารกา ปกฺกามิ ความว่า ผู้มีหทัยอันปิติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ อันเกิดขึ้นเพราะได้ยินพระนามว่า พุทฺโธ และถูกความสังเวชตักเตือนอยู่ จึงได้จากท่าสุปปารกะหลีกไป มุ่งตรงกรุงสาวัตถี. บทว่า สพฺพตฺถ เอกรตฺติปริวาเสน ความว่า ได้ไปโดยอยู่พักแรมราตรีเดียวในหนทางทั้งปวง. จริงอยู่ เมืองสาวัตถีจากท่าสุปปารกะ มีระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ แต่ท่านพาหิยะนี้ ได้ไปยังกรุงสาวัตถีนั้นโดยพักแรมราตรีเดียว ตลอดระยะทางเท่านี้. ท่านถึงกรุงสาวัตถีในวันที่ออกจากท่าสุปปารกะนั่นเอง. ถามว่า ก็อย่างไร ท่านพาหิยะนี้จึงได้ไปอย่างนั้น? ตอบว่า เพราะอานุภาพของเทวดา. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพราะพุทธานุภาพก็มี. เป็นอันท่านแสดงอธิบายไว้ดังนี้ว่า ก็เพราะท่านกล่าวว่า โดยพักแรมราตรีเดียวในที่ทุกสถาน และเพราะหนทางมีระยะ ๑๒๐ โยชน์ ในระหว่างทาง ท่านไม่ให้อรุณที่ ๒ ตั้งขึ้นในที่ที่ตนอยู่ตอนกลางคืนในคามนิคมและราชธานี จึงไปถึงกรุงสาวัตถีโดยพักแรมราตรีเดียวในที่ทุกแห่ง. ข้อนี้ไม่พึงเห็นอย่างนี้ว่า ท่านอยู่ในหนทางนั้นทั้งสิ้นเพียงราตรีเดียว เพราะประสงค์เอาความนี้ว่า โดยพักแรมแห่งละราตรี ในหนทางทั้งหมด มีระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ ในวันสุดท้ายเวลาเย็น จึงถึงกรุงสาวัตถี. ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพาหิยะมาถึง ทรงพระดำริว่า ชั้นแรก อินทรีย์ของท่านพาหิยะยังไม่แก่กล้า แต่ในระหว่างชั่วครู่หนึ่งจักถึงความแก่กล้า ดังนี้แล้ว รอคอยให้ท่านมีอินทรีย์แก่กล้า จึงแวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จทรงบาตรยังกรุงสาวัตถีในขณะนั้น. และท่านพาหิยะนั้นก็เข้าไปยังพระเชตวัน เห็นภิกษุเป็นอันมากฉันภัตตาหารเช้าแล้ว จงกรมอยู่ในอัพโภกาสกลางแจ้ง เพื่อปลดเปลื้องความเกียจคร้านกาย จึงถามว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ไหน. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบาตรยังกรุงสาวัตถี แล้วถามว่า ก็ท่านเล่ามาแต่ไหน? ท่านตอบว่า มาจากท่าสุปปารกะ. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านมาไกล เชิญนั่งก่อน จงล้างเท้า ทาน้ำมัน แล้วพักสักหน่อยหนึ่งในเวลาพระองค์กลับมา ก็จักเห็นพระศาสดา. ท่านพาหิยะกล่าวว่า ท่านขอรับ กระผมไม่รู้อันตรายแห่งชีวิตของตน โดยวันเล็กน้อย กระผมไม่ยืนไม่นั่งนานแม้ในที่ไหนๆ มาสิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ พอเฝ้าพระศาสดาแล้วจึงจักพักผ่อน จึงรีบด่วนไปยังกรุงสาวัตถี เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รุ่งโรจน์ด้วยพุทธสิริหาที่เปรียบปานมิได้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก็สมัยนั้นแล ภิกษุเป็นอันมากจงกรมอยู่ในโอกาสกลางแจ้ง. ลำดับนั้นแล ท่านพาหิยะ ทารุจีริยะได้เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นถึงที่อยู่ ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กหํ เป็น กตฺถ แปลว่าที่ไหน. ศัพท์ว่า นุ ใช้ในอรรถว่าสงสัย. ศัพท์ว่า โข ใช้ในอรรถว่าทำบทให้เต็ม. อธิบายว่า ในประเทศไหนหนอแล. บทว่า ทสฺสนกามา แปลว่า เป็นผู้ใคร่จะเห็น. ท่านแสดงไว้ว่า ก็เราปรารถนาจะเฝ้าและเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เหมือนคนบอดปรารถนาจักษุประสาท เหมือนคนหนวกปรารถนาโสตประสาท เหมือนคนใบ้ปรารถนาการกล่าวให้รู้เรื่อง เหมือนคนมีมือเท้าวิกลปรารถนามือเท้า เหมือนคนขัดสนปรารถนาทรัพย์สมบัติ เหมือนคนเดินทางกันดารปรารถนาที่อันปลอดภัย เหมือนคนถูกโรคครอบงำปรารถนาความไม่มีโรค เหมือนคนถูกเรืออับปางในมหาสมุทรปรารถนาแพใหญ่ ฉะนั้น. บทว่า ตรมานรูโป ได้แก่ เป็นผู้มีอาการรีบด่วน หรือผู้มีการสงเคราะห์อันน่าสรรเสริญ. บทว่า ปาสาทิกํ ความว่า นำมาซึ่งความเลื่อมใสรอบด้านแก่ชนผู้ขวนขวายในการเห็นพระรูปกาย เพราะความสมบูรณ์ด้วยความงามแห่งสรีระของพระองค์ อันนำความเลื่อมใสมารอบด้าน อันประดับด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ อนุพยัญชนะ ๘๐ พระรัศมีด้านละวา และพระเกตุมาลารัศมีที่เปล่งเหนือพระเศียร. บทว่า ปสาทนียํ ความว่า เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส เหมาะที่จะควรเลื่อมใส หรือควรแก่ความเลื่อมใสของคนผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์ เพราะธรรมกายสมบัติอันประกอบด้วยจำนวนพระคุณหาประมาณมิได้ มีทศพลญาณ ๑๐ เวสารัชชญาณ ๔ อสาธารณญาณ ๖ อาเวณิยพุทธธรรม ๑๘ เป็นต้น. บทว่า สนฺตินฺทฺริยํ ได้แก่ อินทรีย์ ๕ ที่สงบระงับ เพราะปราศจากความหวั่นไหวในอินทรีย์ห้า มีจักขุนทรีย์เป็นต้น. บทว่า สนฺตมานสํ ได้แก่ มีใจสงบระงับ เพราะเข้าถึงภาวะที่มนินทรีย์ที่หกหมดพยศ. บทว่า อุตฺตมทมถสมถมนุปฺปตฺตํ ความว่า ถึงโดยลำดับ คือบรรลุความฝึกฝนและสงบอันสูงสุด กล่าวคือ ปัญญาวิมุตติและเจโตวิมุตติอันเป็นโลกุตระตั้งอยู่. บทว่า ทนฺตํ ความว่า ชื่อว่าฝึกกาย เพราะมีกายสมาจารบริสุทธิ์ดี และเพราะไม่มีการเล่น โดยไม่มีการคะนองมือคะนองเท้าเป็นต้น. บทว่า คุตฺตํ ความว่า ชื่อว่าคุ้มครองวาจา เพราะมีวจีสมาจารบริสุทธิ์ดี และเพราะไม่มีการเล่น โดยไม่มีวาจาไร้ประโยชน์เป็นต้น. บทว่า ยตินฺทฺริยํ ได้แก่ ชื่อว่ามีอินทรีย์สำรวมแล้ว ด้วยการประกอบฤทธิ์อันเป็นของพระอริยะ เพราะมีมโนสมาจารบริสุทธิ์ด้วยดี และด้วยอำนาจมนินทรีย์ เพราะมีความวางเฉยในการไม่ขวนขวายและการไม่พิจารณา. บทว่า นาคํ ความว่า ชื่อว่าผู้ประเสริฐ เพราะเหตุเหล่านี้ คือการไม่ลุอำนาจฉันทาคติเป็นต้น กิเลสมีราคะเป็นต้น ที่ละได้แล้วไม่กลับเกิดอีก คือไม่หวนกลับมา บาปแม้อะไรก็ไม่ทำแม้โดยประการทั้งปวง และไม่ไปสู่ภพใหม่. ก็ด้วยบทว่า ปาสาทิกํ นี้ ในอธิการนี้ ท่านแสดงถึงความสำคัญของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยรูปกาย. ด้วยบทว่า ปสาทนียํ นี้ แสดงถึงความสำคัญของพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยธรรมกาย. ด้วยบทมีอาทิว่า สนฺตินฺทฺริยํ นี้ แสดงถึงความสำคัญพระคุณที่เหลือ. เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่าท่านประกาศความสำคัญของพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่เหล่าสัตว์โดยสิ้นเชิง ในโลกสันนิวาสที่เชื่อถือประมาณ ๔ พวก. ก็ท่านพาหิยะได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นอย่างนั้นกำลังเสด็จไปในถนน ร่าเริงยินดีว่า นานจริงหนอ เราจึงได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้ามีสรีระอันปีติ ๕ ประการถูกต้องตลอดเวลา ดวงตาก็นิ่งเพราะปีติซาบซ่าน น้อมสรีระลงตั้งแต่ที่ๆ ได้เห็นแล้ว ก็หยั่งลงท่ามกลางรัศมีพระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า จมลงในพระรัศมีนั้น เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ นวดฟั้นพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า จุมพิตอยู่ พลางกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมแก่ข้าพระองค์เถิด. เพราะเหตุนั้น จึงกล่าวว่า ท่านหมอบลงแทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุคโต ความว่า ชื่อว่าสุคต เพราะเสด็จไปงาม คือเสด็จไปสู่ที่อันงาม เสด็จไปโดยชอบ มีพระวาจาชอบ. จริงอยู่ การไปท่านเรียกว่า คต. ก็การไปนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้างาม คือบริสุทธิ์ไม่มีโทษ. ถามว่า ก็การไปคืออะไร? ตอบว่า คือ อริยมรรค. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเสด็จไปสู่ทิศเกษมไม่ติดขัดด้วยการไปนั้น. แม้คนอื่นพระองค์ก็ให้ดำเนินไปด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าสุคต เพราะเสด็จไปงาม. ก็พระองค์เสด็จไปสู่ที่อันดี คือ สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสว่า ชื่อว่าสุคต เพราะไม่มาอีก ไม่กลับมา ไม่หวนกลับมาสู่กิเลสที่พระองค์ประหารได้ด้วยโสดาปัตติมรรค. ชื่อว่าสุคต เพราะไม่หวนกลับมาสู่กิเลสที่พระองค์ประหารได้ด้วยสกทาคามิมรรค ฯลฯ ด้วยอรหัตมรรค. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า สมฺมาคตตฺตา ความว่า เพราะเสด็จไป คือดำเนินไปด้วยดีด้วยสัมมาปฏิบัติ แม้ในการกำหนดทั้ง ๓ อย่าง. จริงอยู่ ชื่อว่าสุคต เพราะเสด็จไปโดยชอบแม้ด้วยอาการอย่างนี้ว่า พระ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ตรัสโดยชอบ คือตรัสพระวาจาเฉพาะที่ควร ในฐานะอันควร เพราะเหตุนั้น ชื่อว่า สุคต. สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสว่า เราตถาคตเป็นกาลวาที พูดตามกาล ภูตวาที พูดตามที่เป็นจริง อัตถ ตรัสไว้อีกอย่างมีอาทิว่า วาจาใด ไม่เป็นจริงไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รักไม่เป็นที่พอใจของชนเหล่าอื่น เราตถาคตไม่พูดวาจานั้น. ชื่อว่าสุคต แม้เพราะตรัสชอบด้วยประการฉะนี้. บทว่า ยํ มมสฺส ทีฆรตฺตํ หิตาย สุขาย ความว่า การแสดงอ้างถึงกรรมใดพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล บทว่า อกาโล โข ตาว ความว่า ดูก่อนพาหิยะ ไม่ใช่กาลเพื่อแสดงธรรมแก่ท่านก่อน. อธิบายว่า ก็เพราะเหตุอะไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่มีกาลในการปฏิบัติประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์เล่า เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกาลวาที. ก็ในคำว่า กาโล นี้ ประสงค์เอากาลที่เหล่าเวไนยสัตว์มีอินทรีย์แก่กล้า. ด้วยว่าเพราะเหตุที่ในขณะนั้น รู้ได้ยากว่า อินทรีย์ทั้งหลายของท่านพาหิยะแก่กล้าหรือไม่แก่กล้า ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสเทศนานั้น เมื่อทรงอ้างถึงเหตุแก่เขาว่า พระองค์ประทับยืนอยู่ระหว่างถนน จึงตรัสว่า อนฺตรฆรํ ปวิฏฺฐมฺหา ดังนี้. บทว่า ทุชฺชานํ แปลว่า พึงรู้ได้ยาก. ด้วยบทว่า ชีวิตนฺตรายานํ ท่านพาหิยะประสงค์จะ สมจริงดังที่ตรัสว่า
ก็ท่านถูกอุปนิสัยสมบัติตักเตือน จึงกล่าวอย่างนั้น เพราะเป็นผู้มีภพสุดท้าย. จริงอยู่ ท่านเหล่านั้นยังไม่บรรลุพระอรหัต จึงไม่สิ้นชีวิต. ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะทรงแสดงธรรมแก่ท่านนั่นแหละ จึงห้ามไว้ถึง ๒ ครั้ง? ได้ยินว่า พระองค์มีพระดำริอย่างนี้ว่า ตั้งแต่เวลาที่พาหิยะนี้เห็นเรา สรีระทั้งสิ้นอันปีติถูกต้องไม่ขาดระยะ กำลังปิติมีความรุนแรง แม้จักฟังธรรมแล้ว ก็ไม่สามารถแทงตลอดได้ จึงห้ามไว้ ตราบเท่าที่มัชฌัตตุเปกขาจะดำรงอยู่ก่อน แม้ความกระวน แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำอย่างนั้น เพื่อให้เกิดความเอื้อเฟื้อในการฟังธรรม. แต่พระองค์ถูกขอร้องถึงครั้งที่ ๓ ทรงเห็นมัชฌัตตุเปกขาเป็นเครื่องระงับความกระวน บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตสฺมา ความว่า เพราะท่านเป็นผู้เกิดความขวนขวายอ้อนวอนเราอย่างยิ่ง หรือเพราะท่านกล่าวว่าอันตรายชีวิตรู้ได้ยาก และอินทรีย์ของท่านแก่กล้าแล้ว. ศัพท์ว่า ติห เป็นเพียงนิบาต. บทว่า เต แปลว่า อันท่าน. ด้วยคำว่า เอวํ นี้ ตรัสถึงอาการที่จะกล่าวในบัดนี้. บทว่า สิกฺขิตพฺพํ ความว่า พึงทำการศึกษาโดยสิกขาแม้ทั้ง ๓ มีอธิศีลสิกขาเป็นต้น. แต่เมื่อพระองค์จะทรงแสดงอาการที่จะพึงศึกษา จึงตรัสคำมีอาทิว่า ทิฎฺเฐ ทิฏฺฐ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทิฎฺเฐ ทิฏฺฐมตฺตํ ได้แก่ สักว่าการเห็นรูปายตนะ ด้วยจักขุวิญญาณ. อธิบายว่า เธอพึงศึกษาว่า จักขุวิญญาณเห็นซึ่งรูปในรูปเท่านั้น หาเห็นสภาพลักษณะมีอนิจจลักษณะเป็นต้นไม่ ฉันใด รูปที่เหลือจักเป็นเพียงอันเราเห็นด้วยวิญญาณที่เป็นไปทางจักขุทวารนั้นเท่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า การรู้แจ้งซึ่งรูปในรูปด้วยจักขุวิญญาณ ชื่อว่าเห็นรูปในรูปที่เห็น. บทว่า มตฺตา แปลว่า ประมาณ. ประมาณแห่งรูปนี้ที่เห็นแล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐมัตตะ. อธิบายว่า จิตเป็นเพียงจักขุวิญญาณเป็นประมาณเท่านั้น. ท่านอธิบายไว้ว่า จักขุวิญญาณ ย่อมไม่กำหนัด ขัดเคือง หลงในรูปที่มาปรากฏฉันใด เราจักตั้งชวนจิตไว้โดยประมาณแห่งจักขุวิญญาณอย่างนี้ว่า ชวนจิตของเราจักเป็นเพียงจักขุวิญญาณเท่านั้นเพราะเว้นจากราคะเป็นต้น. อีกอย่างหนึ่ง รูปที่จักขุวิญญาณเห็น ชื่อว่าทิฏฐะ. จิต ๓ ดวงคือสัมปฏิจฉนจิต สันติรณจิตและโวฏฐัพพนจิต ที่เกิดขึ้นเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าทิฏฐมัตตะ. พึงทราบความในข้อนี้อย่างนี้ว่า จิต ๓ ดวงนี้ ย่อมไม่กำหนัด ขัดเคือง ลุ่มหลง ฉันใด เมื่อรูปมาปรากฏ เราก็จักให้ชวนจิตเกิดขึ้นโดยประมาณสัมปฏิจฉนจิตเป็นต้นนั้นนั่นแหละ เราจะไม่ให้ก้าวล่วงประมาณนั้นเกิดขึ้นด้วยความกำหนัดเป็นต้น ฉันนั้น. ในสุตะและมุตะก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็บทว่า มุตํ พึงทราบคันธายตนะ รสายตนะและโผฏฐัพพายตนะกับด้วยวิญญาณ ซึ่งมีคันธายตนะ รสายตนะ และโผฏฐัพพายตนะนั้นเป็นอารมณ์. ก็ในคำว่า วิญฺญาเต วิญฺญาณมตฺตํ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่าวิญญาตะ ได้แก่ อารมณ์ที่มโนทวาราวัชชนจิตแจ้งแล้ว เมื่อรู้แจ้งอารมณ์นั้นก็เป็นอันชื่อว่ามโนทวาราวัชชนจิตรู้แจ้งแล้ว เหตุนั้นจึงชื่อว่ามีอาวัชชนจิตเป็นประมาณ. ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า อาวัชชนจิตย่อมไม่กำหนัด ขัดเคือง ลุ่มหลง ฉันใด เราจักพักจิตโดยประมาณแห่งอาวัชชนจิตเท่านั้น ไม่ยอมให้เกิดขึ้นด้วยความกำหนัดเป็นต้น ฉันนั้น. บทว่า เอวญฺหิ เต พาหิย สิกฺขิตพฺพํ ความว่า พาหิยะ เธอพึงศึกษาโดยคล้อยตามสิกขาทั้ง ๓ ด้วยปฏิปทานี้อย่างนี้. ดังนี้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงจำแนกอารมณ์อันแตกต่างโดยประเภทอารมณ์ ๖ พร้อมวิญญาณกาย ๖ อย่างย่อและตามความพอใจของพาหิยะ ด้วยวิปัสสนา โดยโกฏฐาสะทั้ง ๔ มีรูปอันตนเห็นแล้วเป็นต้นแล้ว จึงทรงแสดงญาตปริญญาและตีรณปริญญาในข้อนั้นแก่เธอ. อย่างไร? เพราะว่า ในข้อนี้รูปารมณ์เป็นอันชื่อว่าทิฏฐะ เพราะอรรถว่าอันจักขุวิญญาณพึงเห็น. ส่วนจักขุวิญญาณพร้อมวิญญาณที่เป็นไปทางจักขุทวารนั้น ชื่อว่า ทิฏฐะ เพราะอรรถว่าเห็น. แม้ทั้งสองอย่างนั้น เป็นเพียงธรรมที่เป็นไปตามปัจจัยเท่านั้น. ในข้อนี้ ใครๆ จะทำเองหรือให้ผู้อื่นทำก็หาได้ไม่. จริงอยู่ ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า จักขุวิญญาณนั้นชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะมีแล้วกลับไม่มี ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะถูกความเกิดขึ้นและดับไปบีบคั้น ชื่อว่าเป็นอนัตตา เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ เหตุนั้น ในข้อนั้นจะจัดเป็นโอกาสของธรรมมีความกำหนัดเป็นต้นแห่งบัณฑิตได้ที่ไหน. พึงทราบวินิจฉัยแม้ในสุตะเป็นต้น บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงปหานปริญญาพร้อมมูลเหตุเบื้องสูง แก่บัณฑิตผู้ตั้งอยู่ในญาตปริญญาและตีรณปริญญา จึงเริ่มคำมีอาทิว่า ยโต โข เต พาหิย ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต ได้แก่ ในกาลใดหรือเพราะเหตุใด. บทว่า เต ได้แก่ ตว แก่เธอ. บทว่า ตโต ได้แก่ ในกาลนั้นหรือ เพราะเหตุนั้น. บทว่า เตน ความว่า ด้วยรูปอันเธอเห็นแล้วเป็นต้น หรือด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น อันเนื่องกับรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นต้น. ตรัสคำนี้ไว้ว่า พาหิยะ ในกาลใด หรือเพราะเหตุใด เพียงรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นต้น จักมีแก่เธอผู้ปฏิบัติตามวิธีที่เรากล่าวแล้วในรูปที่เห็นแล้วเป็นต้น ด้วยการหยั่งรู้สภาพที่ไม่วิปริต ในกาลนั้นหรือเพราะเหตุนั้น เธอจักไม่มีพร้อมด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้น ที่เนื่องด้วยรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นต้น เธอจักเป็นผู้ไม่กำหนัด ขัดเคือง หรือลุ่มหลง หรือจักไม่เป็นผู้เนื่องกับรูปที่เธอเห็นแล้วเป็นต้นนั้น เพราะละราคะเป็นต้นได้แล้ว. บทว่า ตโต ตฺวํ พาหิย น ตตฺถ ความว่า ในกาลใดหรือเพราะเหตุใด เธอจักเป็น ด้วยคำเพียงเท่านี้ พระองค์ทรงให้ปหานปริญญาถึงที่สุดแล้วแสดงขีณาสวภูมิ. บทว่า ตโต ตฺวํ พาหิย เนวิธ น หุรํ น อุภยมนฺตเรน ความว่า พาหิยะ ในกาลใด เธอจักไม่เป็นผู้เกี่ยวเนื่องในรูปที่เห็นแล้วเป็นต้นนั้น ด้วยกิเลสมีราคะเป็นต้นนั้น ในกาลนั้น เธอจักไม่มีในโลกนี้ ในโลกหน้าและในโลกทั้งสอง. บทว่า เอเสวนฺโต ทุกฺขสฺส ความว่า จริงอยู่ ในข้อนี้ มีอธิบายเพียงเท่านี้ ว่า ก็ที่สุด เขต กำหนด และความหมุนเวียนแห่งกิเลส ทุกข์และวัฏทุกข์เท่านี้. ก็อาจารย์เหล่าใดถือบทว่า อุภยมนฺตเรน แล้วจึงปรารถนาชื่อระหว่างภพ คำของอาจารย์เหล่านั้นผิด. จริงอยู่ ภาวะระหว่างภพ ท่านคัดค้านแล้วในพระอภิธรรมทีเดียว. ก็คำว่า อนฺตเรน เป็นการแสดงวิกัปอื่น. เพราะเหตุนั้น ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ว่า ก็วิกัปอื่น ไม่มีในโลกนี้โลกหน้าหรือทั้งสอง. อีกอย่างหนึ่ง คำว่า อนฺตเรน เป็นการแสดงความไม่มีวิกัปอื่น. คำนั้นมีอธิบายดังนี้ว่า ก็ที่ตั้งอื่นไม่มีในโลกนี้โลกหน้า ถึงระหว่างภพก็ไม่มี. อนึ่ง อาจารย์แม้เหล่าใด ถือเอาโดยไม่แยบคายซึ่งอรรถสุตตบทเหล่านี้ว่า อัน อธิบายว่า ชื่อว่า สัมภ อนึ่ง บรรดากำเนิด ๔ อัณฑชสัตว์และชลาพุชสัตว์ยังไม่ทำลายกระเปาะไข่ |