บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] หน้าต่างที่ ๙ / ๑๒. ข้อความเบื้องต้น พระอานนทเถระทูลถามปัญหา ครั้งนั้น ท่านได้มีความคิดนี้ว่า "ประโยชน์อะไรของเราด้วยปัญหาที่จะ เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า๑- ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น, เข้าไปเฝ้าโดยทิสาภาคที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่, ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "พระเจ้าข้า กลิ่นของคันธชาตเหล่าใด ฟุ้งไปตามลมอย่างเดียว ฟุ้งไปทวนลมไม่ได้, คันธชาตเหล่านี้มี ๓ อย่าง. คันธชาต ๓ อย่างเป็นไฉน? พระเจ้าข้า กลิ่นของคันธชาตเหล่าใด ฟุ้งไปตามลมอย่างเดียว ฟุ้งไปทวนลมไม่ได้, คันธชาต ๓ อย่างเหล่านี้แล คือ กลิ่นเกิดจากราก, กลิ่นเกิดจากแก่น, กลิ่นเกิดจากดอก. พระเจ้าข้า กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปตามลมก็ได้, กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปทวนลมก็ได้, กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปตามลมและทวนลมก็ได้, คันธชาตนั้นบางอย่าง มีอยู่หรือหนอแล?" ____________________________ ๑- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๑๙. พระศาสดาทรงเฉลยปัญหา พระอานนท์. พระเจ้าข้า ก็กลิ่นของคันธชาต พระศาสดาตรัสว่า "อานนท์ หญิงก็ตาม ชายก็ตาม ในบ้านหรือในนิคมใดในโลกนี้ เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง, เป็นผู้ถึงพระธรรมว่าเป็นที่พึ่ง, เป็นผู้ถึงพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง; เป็นผู้งดเว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง, เป็นผู้งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้, เป็นผู้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม, เป็นผู้งดเว้นจากการกล่าวเท็จ, เป็นผู้งดเว้นจากฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท คือการดื่มน้ำเมา ได้แก่สุราและเมรัย; เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม; มีใจมีความตระหนี่เป็นมลทินไปปราศแล้ว มีเครื่องบริจาคอันสละแล้ว มีฝ่ามืออันล้างแล้ว ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน ย่อมอยู่ครอบครองเรือน, สมณะและพราหมณ์ในทิศทั้งหลาย ย่อมกล่าว (สรรเสริญ) เกียรติคุณของหญิงและชายนั้นว่า หญิงหรือชายในนิคมชื่อโน้น เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง, ฯลฯ ยินดีในการจำแนกทาน. แม้เทวดาทั้งหลายย่อมกล่าว (สรรเสริญ) เกียรติคุณของหญิงและชายนั้นว่า หญิงหรือชายในบ้านหรือนิคมชื่อโน้น เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง, ฯลฯ ยินดีในการจำแนกทาน. อานนท์ นี้แลเป็นคันธชาตมีกลิ่นฟุ้งไปตามลมก็ได้, มีกลิ่นฟุ้งไปทวนลมก็ได้, มีกลิ่นฟุ้งไปตามลมและทวนลมก็ได้" ดังนี้แล้ว ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
แก้อรรถ บทว่า จนฺทนํ ได้แก่ กลิ่นจันทน์. ด้วยบทว่า ตครมลฺลิกา๑- วา นี้ ทรงพระประสงค์กลิ่นของคันธชาต แม้เหล่านี้เหมือนกัน. แท้จริง กลิ่นของจันทน์แดงก็ดี ของกฤษณาและกลัมพักก็ดี ซึ่งเป็นยอดแห่งกลิ่นที่เกิดจากแก่นทั้งหลาย ย่อมฟุ้งไปได้ตามลมเท่านั้น ฟุ้งไปทวนลมไม่ได้. สองบทว่า สตญฺจ คนฺโธ ความว่า ส่วนกลิ่นศีลของสัตบุรุษ คือของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ย่อมฟุ้งไปทวนลมได้. ____________________________ ๑- กลิ่นกฤษณาและดอกมะลิ. ถามว่า เพราะเหตุไร? แก้ว่า เพราะสัตบุรุษย่อมฟุ้งขจรไปตลอดทุกทิศ. อธิบายว่า เพราะสัตบุรุษย่อมฟุ้งปกคลุมไปตลอดทุกทิศด้วยกลิ่นศีล ฉะนั้น สัตบุรุษอันบัณฑิตควรกล่าวได้ว่า "กลิ่นของท่านฟุ้งไปทวนลมได้" เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ปฏิวาตเมติ." บทว่า วสฺสิกี ได้แก่ ดอกมะลิ. บทว่า เอเตสํ เป็นต้น ความว่า กลิ่นศีลของสัตบุรุษผู้มีศีลนั่นแล เป็นกลิ่นยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นแห่งคันธชาต มีจันทน์ (แดง) เป็นต้นเหล่านี้ คือหากลิ่นที่เหมือนไม่มี ได้แก่ไม่มีส่วนเปรียบเทียบได้. ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น, เทศนามีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล. เรื่องปัญหาของพระอานนทเถระ จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔ |