ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 

อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 13อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 14อ่านอรรถกถา 25 / 15อ่านอรรถกถา 25 / 440
อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔

หน้าต่างที่ ๙ / ๑๒.

               ๙. เรื่องปัญหาของพระอานนทเถระ [๔๑]               
               ข้อความเบื้องต้น               
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี เมื่อจะทรงแก้ปัญหาของพระอานนทเถระ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "น ปุปฺผคนฺโธ ปฏิวาตเมติ" เป็นต้น.

               พระอานนทเถระทูลถามปัญหา               
               ดังได้สดับมา พระเถระหลีกเร้นแล้วในเวลาเย็น คิดว่า "พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกลิ่นสูงสุดไว้ ๓ อย่าง คือ ‘กลิ่นเกิดจากราก กลิ่นเกิดจากแก่น กลิ่นเกิดจากดอก’, กลิ่นของคันธชาตเหล่านั้นฟุ้งไปได้ตามลมเท่านั้น ไปทวนลมไม่ได้, กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปได้แม้ทวนลม คันธชาตนั้น มีอยู่หรือหนอแล?"
               ครั้งนั้น ท่านได้มีความคิดนี้ว่า "ประโยชน์อะไรของเราด้วยปัญหาที่จะวินิจฉัยด้วยตนเอง, เราจักทูลถามพระศาสดานั่นแหละ (ดีกว่า)" ท่านเข้าไปเฝ้าพระศาสดาแล้วทูลถาม.
               เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า๑-
               ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น, เข้าไปเฝ้าโดยทิสาภาคที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่,
               ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
               "พระเจ้าข้า กลิ่นของคันธชาตเหล่าใด ฟุ้งไปตามลมอย่างเดียว ฟุ้งไปทวนลมไม่ได้, คันธชาตเหล่านี้มี ๓ อย่าง. คันธชาต ๓ อย่างเป็นไฉน?
               พระเจ้าข้า กลิ่นของคันธชาตเหล่าใด ฟุ้งไปตามลมอย่างเดียว ฟุ้งไปทวนลมไม่ได้, คันธชาต ๓ อย่างเหล่านี้แล คือ กลิ่นเกิดจากราก, กลิ่นเกิดจากแก่น, กลิ่นเกิดจากดอก.
               พระเจ้าข้า กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปตามลมก็ได้, กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปทวนลมก็ได้, กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปตามลมและทวนลมก็ได้,
               คันธชาตนั้นบางอย่าง มีอยู่หรือหนอแล?"
____________________________
๑- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๑๙.

               พระศาสดาทรงเฉลยปัญหา               
               ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงเฉลยปัญหาแก่ท่าน จึงตรัสว่า "อานนท์ กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปตามลมก็ได้, กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปทวนลมก็ได้, กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปตามลมและทวนลมก็ได้, คันธชาตนั้นมีอยู่."
               พระอานนท์. พระเจ้าข้า ก็กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปตามลมก็ได้, กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปทวนลมก็ได้, กลิ่นของคันธชาตใด ฟุ้งไปตามลมและทวนลมก็ได้, คันธชาตนั้นเป็นไฉน?
               พระศาสดาตรัสว่า
               "อานนท์ หญิงก็ตาม ชายก็ตาม ในบ้านหรือในนิคมใดในโลกนี้ เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง, เป็นผู้ถึงพระธรรมว่าเป็นที่พึ่ง, เป็นผู้ถึงพระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง; เป็นผู้งดเว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง, เป็นผู้งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้, เป็นผู้งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม, เป็นผู้งดเว้นจากการกล่าวเท็จ, เป็นผู้งดเว้นจากฐานะเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท คือการดื่มน้ำเมา ได้แก่สุราและเมรัย; เป็นผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม; มีใจมีความตระหนี่เป็นมลทินไปปราศแล้ว มีเครื่องบริจาคอันสละแล้ว มีฝ่ามืออันล้างแล้ว ยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน ย่อมอยู่ครอบครองเรือน,
               สมณะและพราหมณ์ในทิศทั้งหลาย ย่อมกล่าว (สรรเสริญ) เกียรติคุณของหญิงและชายนั้นว่า ‘หญิงหรือชายในนิคมชื่อโน้น เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง, ฯลฯ ยินดีในการจำแนกทาน.’
               แม้เทวดาทั้งหลายย่อมกล่าว (สรรเสริญ) เกียรติคุณของหญิงและชายนั้นว่า ‘หญิงหรือชายในบ้านหรือนิคมชื่อโน้น เป็นผู้ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่ง, ฯลฯ ยินดีในการจำแนกทาน.’
               อานนท์ นี้แลเป็นคันธชาตมีกลิ่นฟุ้งไปตามลมก็ได้, มีกลิ่นฟุ้งไปทวนลมก็ได้, มีกลิ่นฟุ้งไปตามลมและทวนลมก็ได้" ดังนี้แล้ว
               ได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
                         ๙.                น ปุปฺผคนฺโธ ปฏิวาตเมติ
                                        น จนฺทนํ ตครมลฺลิกา วา
                                        สตญฺจ คนฺโธ ปฏิวาตเมติ
                                        สพฺพา ทิสา สปฺปุริโส ปวายติ.
                         จนฺทนํ ตครํ วาปิ                อุปฺปลํ อถ อสฺสิกี
                         เอเตสํ คนฺธชาตานํ สีลคนฺโธ อนุตฺตโร.
                                        กลิ่นดอกไม้ฟุ้งไปทวนลมไม่ได้, กลิ่นจันทน์
                         หรือกลิ่นกฤษณาและกลัมพักก็ฟุ้งไปไม่ได้, แต่กลิ่นของ
                         สัตบุรุษฟุ้งไปทวนลมได้, (เพราะ) สัตบุรุษย่อมฟุ้งขจรไป
                         ตลอดทุกทิศ, กลิ่นจันทน์ก็ดี แม้กลิ่นกฤษณาก็ดี กลิ่น
                         อุบลก็ดี กลิ่นดอกมะลิก็ดี, กลิ่นศีลเป็นเยี่ยมกว่าคันธชาต
                         ทั้งหลายนั่น.

               แก้อรรถ               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ปุปฺผคนฺโธ ความว่า ต้นปาริฉัตรในภพชื่อดาวดึงส์ โดยด้านยาวและด้านกว้างมีประมาณ (ด้านละ) ๑๐๐ โยชน์, รัศมีดอกไม้ของต้นปาริฉัตรนั้นแผ่ออกไปตลอด ๕๐ โยชน์, กลิ่นฟุ้งไปได้ ๑๐๐ โยชน์, แม้กลิ่นนั้น ก็ฟุ้งไปได้ตามลมเท่านั้น, แต่หาสามารถฟุ้งไปทวนลมได้แม้ (เพียง) ครึ่งองคุลีไม่. กลิ่นดอกไม้แม้เห็นปานนี้ ฟุ้งไปทวนลมไม่ได้.
               บทว่า จนฺทนํ ได้แก่ กลิ่นจันทน์. ด้วยบทว่า ตครมลฺลิกา๑- วา นี้ ทรงพระประสงค์กลิ่นของคันธชาต แม้เหล่านี้เหมือนกัน. แท้จริง กลิ่นของจันทน์แดงก็ดี ของกฤษณาและกลัมพักก็ดี ซึ่งเป็นยอดแห่งกลิ่นที่เกิดจากแก่นทั้งหลาย ย่อมฟุ้งไปได้ตามลมเท่านั้น ฟุ้งไปทวนลมไม่ได้.
               สองบทว่า สตญฺจ คนฺโธ ความว่า ส่วนกลิ่นศีลของสัตบุรุษ คือของพระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลาย ย่อมฟุ้งไปทวนลมได้.
____________________________
๑- กลิ่นกฤษณาและดอกมะลิ.

               ถามว่า เพราะเหตุไร?
               แก้ว่า เพราะสัตบุรุษย่อมฟุ้งขจรไปตลอดทุกทิศ. อธิบายว่า เพราะสัตบุรุษย่อมฟุ้งปกคลุมไปตลอดทุกทิศด้วยกลิ่นศีล ฉะนั้น สัตบุรุษอันบัณฑิตควรกล่าวได้ว่า "กลิ่นของท่านฟุ้งไปทวนลมได้" เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ปฏิวาตเมติ."
               บทว่า วสฺสิกี ได้แก่ ดอกมะลิ.
               บทว่า เอเตสํ เป็นต้น ความว่า กลิ่นศีลของสัตบุรุษผู้มีศีลนั่นแล เป็นกลิ่นยอดเยี่ยมกว่ากลิ่นแห่งคันธชาต มีจันทน์ (แดง) เป็นต้นเหล่านี้ คือหากลิ่นที่เหมือนไม่มี ได้แก่ไม่มีส่วนเปรียบเทียบได้.
               ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น,
               เทศนามีประโยชน์แก่มหาชนแล้ว ดังนี้แล.

               เรื่องปัญหาของพระอานนทเถระ จบ.               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔
อ่านอรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒]
อ่านอรรถกถา 25 / 1อ่านอรรถกถา 25 / 13อรรถกถา เล่มที่ 25 ข้อ 14อ่านอรรถกถา 25 / 15อ่านอรรถกถา 25 / 440
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=395&Z=433
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=20&A=1
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=20&A=1
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๙  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :