![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |||||||||||||||||||
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หน้าต่างที่ ๖ / ๑๒. ข้อความเบื้องต้น ให้ทานเองและชวนคนอื่น ได้สมบัติ ๒ อย่าง "อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานด้วยตน (แต่) ไม่ชักชวนผู้อื่น, เขาย่อมได้โภคสมบัติ (แต่) ไม่ได้บริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้วๆ, บางคนไม่ให้ทานด้วยตน ชักชวนแต่คนอื่น, เขาย่อมได้บริวารสมบัติ (แต่) ไม่ได้โภคสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้วๆ; บางคนไม่ให้ทานด้วยตนด้วย ไม่ชักชวนคนอื่นด้วย, เขาย่อมไม่ได้โภคสมบัติไม่ได้บริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้วๆ; เป็นคนเที่ยวกินเดน บางคนให้ทานด้วยตนด้วย ชักชวนคนอื่นด้วย, เขาย่อมได้ทั้งโภคสมบัติและบริวารสมบัติ ในที่แห่งตนเกิดแล้วๆ." บัณฑิตเรี่ยไรของทำบุญ พระศาสดา. ก็ท่านมีความต้องการด้วยภิกษุสักเท่าไร ? บุรุษ. ภิกษุทั้งหมด พระเจ้าข้า. พระศาสดาทรงรับแล้ว. แม้เขาก็เข้าไปยังบ้าน เที่ยวป่าวร้องว่า "ข้าแต่แม่และพ่อทั้งหลาย ข้าพเจ้านิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระ เหตุที่เศรษฐีมีชื่อว่าพิฬาลปทกะ ตั้งแต่นั้น เศรษฐีนั้นจึงมีชื่อว่าพิฬาลปทกเศรษฐี. แม้เมื่อจะให้เภสัชมีเนยใสและน้ำอ้อยเป็นต้น ก็เอียงปากขวดเข้าที่หม้อ ทำให้ปากขวดนั้นติดเป็นอันเดียวกัน ให้เภสัชมีเนยใสและน้ำอ้อยเป็นต้นไหลลงทีละหยดๆ ได้ให้หน่อยหนึ่งเท่านั้น. อุบาสกทำวัตถุทานที่คนอื่นให้โดยรวมกัน (แต่) ได้ถือเอาสิ่งของที่เศรษฐีนี้ให้ไว้แผนกหนึ่งต่างหาก. เศรษฐีให้คนสนิทไปดูการทำของบุรุษผู้เรี่ยไร จูฬุปัฏฐากไปบอกแก่เศรษฐีแล้ว. เศรษฐีฟังคำนั้นแล้ว จึงคิดว่า "หากเจ้าคนนั้นจักกล่าวโทษเราในท่ามกลางบริษัทไซร้ พอมันเอ่ยชื่อของเราขึ้นเท่านั้น เราจักประหารมันให้ตาย." ในวันรุ่งขึ้น จึงเหน็บกฤชไว้ในระหว่างผ้านุ่งแล้ว ได้ไปยืนอยู่ที่โรงครัว. ฉลาดพูดทำให้ผู้มุ่งร้ายกลับอ่อนน้อม เศรษฐีได้ยินคำนั้นแล้ว คิดว่า "เรามาด้วยตั้งใจว่า พอมันเอ่ยชื่อของเราขึ้นว่า เศรษฐีชื่อโน้นถือเอาข้าวสารเป็นต้นด้วยหยิบมือให้, เราก็จักฆ่าบุรุษนี้ให้ตาย, แต่บุรุษนี้ทำทานให้รวมกันทั้งหมด แล้วกล่าวว่า ทานที่ชนเหล่าใดตวงด้วยทะนานเป็นต้นแล้วให้ก็ดี, ทานที่ชนเหล่าใดถือเอาด้วยหยิบมือแล้วให้ก็ดี, ขอผลอันไพศาล จงมีแก่ชนเหล่านั้นทั้งหมด, ถ้าเราจักไม่ให้บุรุษเห็นปานนี้อดโทษไซร้, อาชญาของเทพเจ้าจักตกลงบนศีรษะของเรา." เศรษฐีนั้นหมอบลงแทบเท้าของอุบาสกนั้นแล้วกล่าวว่า "นาย ขอนายจงอดโทษให้ผมด้วย" และถูกอุบาสกนั้นถามว่า "นี้อะไรกัน?" จึงบอกเรื่องนั้นทั้งหมด. พระศาสดาทรงเห็นกิริยานั้นแล้ว ตรัสถามผู้ขวนขวายในทานว่า "นี่อะไรกัน ?" เขากราบทูลเรื่องนั้นทั้งหมดตั้งแต่วันที่แล้วๆ มา. อย่าดูหมิ่นบุญว่านิดหน่อย ตรัสว่า "อุบาสก ขึ้นชื่อว่าบุญ อันใครๆ ไม่ควรดูหมิ่นว่า นิดหน่อย, อันบุคคลถวายทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเช่นเราเป็นประธานแล้ว ไม่ควรดูหมิ่นว่า เป็นของนิดหน่อย ด้วยว่า บุรุษผู้บัณฑิตทำบุญอยู่ย่อมเต็มไปด้วยบุญโดยลำดับแน่แท้ เปรียบเหมือนภาชนะที่เปิดปากย่อมเต็มไปด้วยน้ำ ฉะนั้น." ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงสืบอนุสนธิแสดงธรรม จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
แก้อรรถ "มนุษย์ผู้บัณฑิต ทำบุญแล้วอย่าดูหมิ่น คือไม่ควรดูถูกบุญ อย่างนี้ว่า เราทำบุญมีประมาณน้อย บุญมีประมาณน้อยจักมาถึง ด้วยอำนาจแห่งวิบากก็หาไม่. เมื่อเป็นเช่นนี้ กรรมนิดหน่อยจักเห็นเราที่ไหน? หรือว่าเราจักเห็นกรรมนั้นที่ไหน? เมื่อไรบุญนั่นจักเผล็ดผล? เหมือนอย่างว่า ภาชนะดินที่เขาเปิดฝาตั้งไว้ ย่อมเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมา (ทีละหยาดๆ) ไม่ขาดสายได้ฉันใด, ธีรชน คือบุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อสั่งสมบุญทีละน้อยๆ ชื่อว่าเต็มด้วยบุญได้ ฉันนั้น." ในกาลจบเทศนา เศรษฐีนั้นบรรลุโสดาปัตติผลแล้ว. พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บริษัทที่มาประชุมกัน ดังนี้แล. เรื่องเศรษฐีชื่อพิฬาลปทกะ จบ. ------------------------------------------------------------ .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรคที่ ๙ |