![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |||||||||||||||||||||||||||||||
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() หน้าต่างที่ ๙ / ๙. ข้อความเบื้องต้น พวกนักเลงชวนเศรษฐีบุตรให้ดื่มเหล้า ในพระนครนั้นแล แม้ธิดาคนหนึ่งก็เกิดแล้วในตระกูลอื่น ซึ่งมีสมบัติ ๘๐ โกฏิ. บิดามารดาแม้ของนางก็คิดแล้วอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วก็ให้นางศึกษาก็ได้ศิลปะสักว่าการฟ้อนขับและประโคมอย่างเดียว. เมื่อเขาทั้งสองเจริญวัยแล้ว ก็ได้มีการอาวาห เศรษฐีบุตรย่อมไปสู่ที่บำรุงพระราชาวันหนึ่งถึง ๓ ครั้ง ครั้งนั้น พวกนักเลงในพระนครนั้น คิดกันว่า "ถ้าเศรษฐีบุตรนี้ จักเป็นนักเลงสุรา, ความผาสุกก็จักมีแก่พวกเรา เราจะให้เธอเรียนความเป็นนักเลงสุรา." พวกนักเลงนั้นจึงถือเอาสุรา มัดเนื้อสำหรับแกล้ม และก้อนเกลือไว้ที่ชายผ้า ถือหัวผักกาด นั่งแลดูทางของเศรษฐีบุตรนั้น ผู้มาจากราชสกุล เห็นเขากำลังเดินมา จึงดื่มสุรา เอาก้อนเกลือใส่เข้าในปาก กัดหัวผักกาด กล่าวว่า "จงเป็นอยู่ ๑๐๐ ปีเถิด นายเศรษฐีบุตร, พวกผมอาศัยท่าน ก็พึงสามารถในการเคี้ยวและการดื่ม." บุตรเศรษฐีฟังคำของพวกนักเลงนั้นแล้ว จึงถามคนใช้สนิทผู้ตามมาข้างหลังว่า "พวกนั้น ดื่มอะไรกัน?" คนใช้. น้ำดื่มชนิดหนึ่ง นาย. บุตรเศรษฐี. มีรสชาติอร่อยหรือ? คนใช้. นาย ธรรมดาน้ำที่ควรดื่ม เช่นกับน้ำดื่มนี้ ไม่มีในโลกที่เป็นอยู่นี้. บุตรเศรษฐีหมดตัวเพราะประพฤติอบายมุข บุตรเศรษฐีนั้นให้นำสุรามาด้วยทรัพย์ ๑๐๐ บ้าง ๒๐๐ บ้าง ดื่มอยู่ ตั้งกองกหาปณะไว้ในที่นั่งเป็นต้นโดยลำดับ ดื่มสุรา กล่าวว่า "จงนำเอาดอกไม้มาด้วยกหาปณะนี้, จงนำเอา เมื่อใช้สุรุ่ยสุร่ายอย่างนั้นต่อกาลไม่นานนัก ก็ยังทรัพย์ ๘๐ โกฏิอันเป็นของตนให้หมดไปแล้ว เมื่อเหรัญญิกเรียนว่า "นาย ทรัพย์ของนายหมดแล้ว." จึงพูดว่า "ทรัพย์ เศรษฐีต้องเที่ยวขอทาน ครั้งนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเขายืนอยู่ที่ประตูโรงฉัน คอย ลำดับนั้น พระอานนทเถระทูลถามถึงเหตุที่ทรงแย้มกะพระองค์. พระศาสดา เมื่อจะตรัสบอกเหตุที่ทรงแย้ม จึงตรัสว่า "อานนท์ เธอจงดูบุตรเศรษฐีผู้มีทรัพย์มากผู้นี้ ผลาญทรัพย์เสีย ๑๖๐ โกฏิ พาภรรยาเที่ยวขอทานอยู่ในนครนี้แล: ก็ถ้าบุตรเศรษฐีไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดสิ้น จักประกอบการงานในปฐมวัย ก็จักได้เป็นเศรษฐีชั้นเลิศในนครนี้แล และถ้าจักออกบวช ก็จักบรรลุอรหัต แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในอนาคามิผล, ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้หมดไป จักประกอบการงานในมัชฌิมวัย. จักได้เป็น ถ้าไม่ผลาญทรัพย์ให้สิ้นไป ประกอบการงานในปัจฉิมวัย จักได้เป็นเศรษฐีชั้นที่ ๓ แม้ออกบวชก็จักได้เป็นสกทาคามี แม้ภรรยาของเขาก็จักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. แต่เดี๋ยวนี้ บุตรเศรษฐีนั่นทั้งเสื่อมแล้วจากโภคะของคฤหัสถ์ ทั้งเสื่อมแล้วจากสามัญผล, ก็แลครั้นเสื่อมแล้ว จึงเป็นเหมือนนกกระเรียนในเปือกตมแห้งฉะนั้น" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
แก้อรรถ บทว่า โยพฺพเน ความว่า ไม่ได้แม้ทรัพย์ในเวลาที่ตนสามารถ เพื่อจะยังโภคะที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น หรือเพื่อตามรักษาโภคะที่เกิดขึ้นแล้ว. บทว่า ขีณมจฺเฉ ความว่า คนเขลาเห็นปานนั้นนั่น ย่อมซบเซา ดังนกกระเรียนแก่มีขนปีกอันเหี้ยนเกรียน ซบเซาอยู่ในเปือกตม. ที่ชื่อว่าหมดปลาแล้ว เพราะไม่มีน้ำ. มีคำอธิบายกล่าวไว้ดังนี้ว่า "อันความไม่มีที่อยู่ของคนเขลาเหล่านี้ เหมือนความไม่มีน้ำในเปือกตม. ความไม่มีโภคะของคนเขลาเหล่านี้ เหมือนความหมดปลา, ความไม่สามารถจะรวบรวมโภคะไว้ได้โดยทางน้ำหรือทางบกเป็นต้นในกาลบัดนี้แล ของคนเขลาเหล่านี้ เหมือนความไม่มีการโผขึ้นแล้วบินไปแห่งนกกระเรียนที่มีขนปีกอันเหี้ยน เพราะฉะนั้น คนเขลาเหล่านี้ จึงนอนซบเซาอยู่ในที่นี้เอง เหมือนนกกระเรียนมีขนปีกอันเหี้ยนแล้วฉะนั้น. บทว่า จาปาติขีณาว ความว่า หลุดจากแล่ง คือพ้นแล้วจากแล่ง. มีคำอธิบายกล่าวไว้ดังนี้ว่า "ลูกศรพ้นจากแล่งไปตามกำลังตกแล้ว. เมื่อไม่มีใครจับมันยกขึ้น, มันก็ต้องเป็นอาหารของหมู่ปลวกในที่นั้นเอง ฉันใด ถึงคนเขลาเหล่านี้ก็ฉันนั้น ล่วง ๓ วัยไปแล้ว ก็จักเข้าถึงมรณะ เพราะความไม่สามารถจะยกตนขึ้นได้ในกาลบัดนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เสนฺติ จาปาติขีณาว." บาทพระคาถาว่า ปุราณานิ อนุตฺถุนํ ความว่า ย่อมนอนทอดถอน คือเศร้าโศกถึงการกิน การดื่ม การฟ้อน การขับ และการประโคมเป็นต้น ที่ตนทำแล้วในกาลก่อนว่า "พวกเรากินแล้วอย่างนี้ ดื่มแล้วอย่างนี้." ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องบุตรเศรษฐีมีทรัพย์มาก จบ. ชราวรรควรรณนา จบ. วรรคที่ ๑๑ จบ. -------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ชราวรรคที่ ๑๑ จบ. |