![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |||||||||||||||||||||||||
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ๑. เรื่องโพธิราชกุมาร [๑๒๗] ข้อความเบื้องต้น โพธิราชกุมารสร้างปราสาทแล้วคิดฆ่านายช่าง เมื่อเขาทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ นี้เป็นศิลปะครั้งแรกทีเดียว" ท้าวเธอทรงดำริว่า "ถ้านายช่างผู้นี้จักสร้างปราสาทมีรูปทรงอย่างนี้แม้แก่คนอื่นไซร้, ปราสาทนี้ก็จักไม่น่าอัศจรรย์; การที่เราฆ่านายช่างนี้เสีย ตัดมือและเท้าของเขา หรือควักนัยน์ตาทั้งสองเสียย่อมควร เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจะสร้างปราสาทแก่คนอื่นไม่ได้" ท้าวเธอตรัสบอกความนั้นแก่มาณพน้อยบุตรของสัญชีวก ผู้เป็นสหายรักของตน. นายช่างทำนกครุฑขี่หนีภัย นายช่างพูดว่า "นาย ท่านบอก (ความนั้น) แก่ข้าพเจ้า ทำกรรมอันงามแล้ว, ข้าพเจ้าจักทราบกิจที่ควรทำในเรื่องนี้" ดังนี้แล้ว อันพระราชกุมารตรัสถามว่า "สหาย การงานของท่านที่ปราสาทของเราสำเร็จแล้วหรือ?" จึงทูลว่า "ข้าแต่สมมติเทพ การงาน (ที่ปราสาท) ยังไม่สำเร็จก่อน ยังเหลืออีกมาก." ราชกุมาร. ชื่อว่าการงานอะไร? ยังเหลือ. นายช่าง. ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์จะทูล (ให้ทรงทราบ) ภายหลัง ขอพระองค์จงตรัสสั่งให้ใครๆ ขนไม้มาก่อนเถิด. ราชกุมาร. จะให้ขนไม้ชนิดไหนมาเล่า? นายช่าง. ไม้แห้งหาแก่นมิได้ พระเจ้าข้า. ท้าวเธอได้รับสั่งให้ขนมาให้แล้ว. ลำดับนั้น นายช่างทูลพระราชกุมารนั้นว่า "ข้าแต่สมมติเทพ จำเดิมแต่นี้ พระองค์ไม่พึงเสด็จมายังสำนักของข้าพระองค์ เพราะเมื่อข้าพระองค์ทำงานที่ละเอียดอยู่ เมื่อมีการสนทนากับคนอื่น ความฟุ้งซ่านก็จะมี อนึ่ง เวลารับประทานอาหาร ภรรยาของข้าพระองค์เท่านั้นจักนำอาหารมา." พระราชกุมารทรงรับว่า "ดีแล้ว." ฝ่ายนายช่างนั่งถากไม้เหล่านั้นอยู่ในห้องๆ หนึ่งทำเป็นนกครุฑ ควรที่บุตรภรรยาของตนนั่งภายในได้ ในเวลารับประทานอาหาร สั่งภรรยาว่า "เธอจงขายของทุกสิ่งอันมีอยู่ในเรือนแล้ว รับเอาเงินและทองไว้." นายช่างพาครอบครัวหนี เมื่อพวกอารักขาเหล่านั้นพิไรรำพันทูลว่า "ขอเดชะสมมติเทพ นายช่างหลบหนีไปได้" ดังนี้อยู่นั่นแหละ นายช่างนั้นก็ไปลงที่หิมวันตประเทศ สร้างนครขึ้นนครหนึ่ง ได้เป็นพระราชาทรงพระนามว่ากัฏฐวาหนะ๑- ในนครนั้น. ____________________________ ๑- ผู้มีท่อนไม้เป็นพาหนะ หรือผู้มีพาหนะอันทำด้วยท่อนไม้. พระศาสดาไม่ทรงเหยียบผ้าที่ลาดไว้ ได้ยินว่า ท้าวเธอไม่มีพระโอรส เพราะฉะนั้น จึงทรงดำริว่า "ถ้าเราจักได้บุตรหรือธิดาไซร้, พระศาสดาจักทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยนี้" แล้วจึงทรงลาด. ท้าวเธอ เมื่อพระศาสดาเสด็จมา ถวายบังคมพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว รับบาตร กราบทูลว่า "ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเถิด พระเจ้าข้า" พระศาสดาไม่เสด็จเข้าไป. ท้าวเธอทรงอ้อนวอนถึง ๒-๓ ครั้ง พระศาสดาก็ยังไม่เสด็จเข้าไป ทรงแลดูพระอานนท์. พระเถระทราบความที่ไม่ทรงเหยียบผ้าทั้งหลาย ด้วยสัญญาที่พระองค์ทรงแลดูนั่นเอง จึงทูลให้พระราชกุมารเก็บผ้าทั้งหลายเสีย ด้วยคำว่า "พระราชกุมาร ขอ พระศาสดาตรัสเหตุที่ไม่ทรงเหยียบผ้า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันเป็นอุปัฏฐากของพระองค์ ถึง (พระองค์) ว่าเป็นที่พึ่งถึง ๓ ครั้งแล้ว (คือ) นัยว่า ข้าพระองค์อยู่ในท้อง ถึง (พระองค์) ว่าเป็นที่พึ่งครั้งที่ ๑, แม้ครั้งที่ ๒ ในเวลาที่หม่อมฉันเป็นเด็กรุ่นหนุ่ม, แม้ครั้งที่ ๓ ในกาลที่หม่อมฉัน ถึงความเป็นผู้รู้ดีรู้ชั่ว; พระองค์ไม่ทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยของหม่อมฉันนั้น เพราะเหตุอะไร?" พระศาสดา. ราชกุมาร ก็พระองค์ทรงดำริอย่างไร? จึงลาดแผ่นผ้าน้อย. ราชกุมาร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันคิดดังนี้ว่า "ถ้าเราจักได้บุตรหรือธิดาไซร้. พระศาสดาจักทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยของเรา" แล้วจึงลาดแผ่นผ้าน้อย. พระศาสดา. ราชกุมาร เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงไม่เหยียบ. ราชกุมาร. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็หม่อมฉันจักไม่ได้บุตรหรือธิดาเลยเทียวหรือ? พระศาสดา. อย่างนั้น ราชกุมาร. ราชกุมาร. เพราะเหตุไร? พระเจ้าข้า. พระศาสดา. เพราะความที่พระองค์กับพระชายา เป็นผู้ถึงความประมาทแล้วในอัตภาพก่อน. ราชกุมาร. ในกาลไหน? พระเจ้าข้า. บุรพกรรมของโพธิราชกุมาร ดังได้สดับมา ในอดีตกาล มนุษย์หลายร้อยคนแล่นเรือลำใหญ่ไปสู่มหาสมุทร. เรืออับปางในกลางสมุทร สองสามีภรรยาคว้าได้แผ่นกระดานแผ่นหนึ่ง (อาศัย) ว่ายเข้าไปสู่เกาะน้อยอันมีในระหว่าง มนุษย์ที่เหลือทั้งหมดตายในมหาสมุทรนั้นนั่นแล. ก็หมู่นกเป็นอันมากอยู่ที่เกาะนั้นแล เขาทั้งสองไม่เห็นสิ่งอื่นที่ควรกินได้ ถูกความหิวครอบงำแล้ว จึงเผาฟองนกทั้งหลายที่ถ่านเพลิงแล้วเคี้ยวกิน, เมื่อฟองนกเหล่านั้นไม่เพียงพอ ก็จับลูกนกทั้งหลายปิ้งกิน, เมื่อลูกนกเหล่านั้นไม่เพียงพอ ก็จับนกทั้งหลาย (ปิ้ง) กิน, ในปฐมวัยก็ดี มัชฌิมวัยก็ดี ปัจฉิมวัยก็ดี ได้เคี้ยวกินอย่างนี้แหละ แม้ในวันหนึ่ง ก็มิได้ถึงความไม่ประมาท. อนึ่ง บรรดาชน ๒ คนนั้น แม้คนหนึ่งไม่ได้ถึงความไม่ประมาท. พึงรักษาตนไว้ให้ดีในวัยทั้งสาม "ราชกุมาร ก็ในกาลนั้น ถ้าพระองค์กับภรรยาจักถึงความไม่ประมาท แม้ในวัยหนึ่งไซร้, บุตรหรือธิดาพึงเกิดขึ้นแม้ในวัยหนึ่ง ก็ถ้าบรรดาท่านทั้งสองแม้คนหนึ่ง จักได้เป็นผู้ไม่ประมาทแล้วไซร้. บุตรหรือธิดาจักอาศัยผู้ไม่ประมาทนั้นเกิดขึ้น, ราชกุมาร ก็บุคคลเมื่อสำคัญตนอยู่ว่าเป็นที่รัก พึงไม่ประมาท รักษาตนแม้ในวัยทั้งสาม เมื่อไม่อาจ (รักษา) ได้อย่างนั้น พึงรักษาให้ได้แม้ในวัยหนึ่ง" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
แก้อรรถ พระศาสดาทรงแสดงทำวัยทั้ง ๓ วัยใดวัยหนึ่งให้ชื่อว่ายาม เพราะความที่พระองค์ทรงเป็นใหญ่ในธรรม และเพราะความที่พระองค์ทรงฉลาดในเทศนาวิธี เพราะเหตุนั้น ในพระคาถานี้ บัณฑิตพึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า "ถ้าบุคคลทราบตนว่า เป็นที่รัก, พึงรักษาตนนั้น ให้เป็นอันรักษาดีแล้ว คือพึงรักษาตนนั้น โดยประการที่ตนเป็นอันรักษาดีแล้ว." บรรดาชนผู้รักษาตนเหล่านั้น ถ้าผู้เป็นคฤหัสถ์คิดว่า จักรักษาตน ดังนี้แล้ว เข้าไปสู่ห้องที่เขาปิดไว้ให้เรียบร้อย เป็นผู้มีอารักขาสมบูรณ์ อยู่บนพื้นปราสาทชั้นบนก็ดี, ผู้เป็นบรรพชิต อยู่ในถ้ำอันปิดเรียบร้อย มีประตูและหน้าต่างอันปิดแล้วก็ดี ยังไม่ชื่อว่ารักษาตนเลย. แต่ผู้เป็นคฤหัสถ์ทำบุญทั้งหลายมีทาน ศีลเป็นต้นตามกำลังอยู่ หรือผู้เป็นบรรพชิต ถึงความขวนขวายใน บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อไม่อาจ (ทำ) อย่างนั้นได้ใน ๓ วัย (ต้อง) ประคับ ด้วยอาการแม้อย่างนี้ ตนต้องเป็นอันเขาประคับ ก็ถ้าว่า บรรพชิต ในปฐมวัยทำการสาธยายอยู่ ทรงจำ บอก ทำวัตรและปฏิวัตรอยู่ ชื่อว่าถึงความประมาท, ในมัชฌิมวัย พึงเป็นผู้ไม่ประมาท บำเพ็ญสมณธรรม. อนึ่ง ถ้ายังสอบถามอรรถกถาและวินิจฉัย และเหตุแห่งพระปริยัติอันตนเรียนแล้วในปฐมวัยอยู่ ชื่อว่าถึงความประมาท ในมัชฌิมวัย. ในปัจฉิมวัย พึงเป็นผู้ไม่ประมาท บำเพ็ญสมณธรรม. ด้วยอาการแม้อย่างนี้ ตนย่อมเป็นอันบรรพชิตนั้นประคับประคองแล้วทีเดียว. แต่เมื่อไม่ทำอย่างนั้น ตนย่อมชื่อว่าไม่เป็นที่รัก, บรรพชิตนั้น (เท่ากับ) ทำตนนั้นให้เดือดร้อน ด้วยการตามเดือดร้อนในภายหลังแท้. ในกาลจบเทศนา โพธิราชกุมารตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว พระธรรมเทศนาได้สำเร็จประโยชน์ แม้แก่บริษัทที่ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล. เรื่องโพธิราชกุมาร จบ. ----------------------------------------------------- ๑๒. อัตตวรรควรรณนา [ฉบับมหาจุฬาฯ] พรรณนาหมวดว่าด้วยเรื่องตน ๑. เรื่องโพธิราชกุมาร (๑๒๗) ดังได้สดับมา โพธิราชกุมารนั้นรับสั่งให้สร้างปราสาทชื่อโกกนุท มีรูปทรงไม่เหมือนปราสาทอื่นๆ บนพื้นแผ่นดิน ปานดั่งลอยอยู่ในอากาศ แล้วตรัสถามนายช่างว่า ปราสาทที่มีรูปทรงอย่างนี้เธอเคยสร้างในที่อื่นบ้างแล้วหรือ หรือว่านี้เป็นศิลปะครั้งแรกของเธอทีเดียว เมื่อเขาทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ นี้เป็นศิลปะครั้งแรกที่เดียว ท้าวเธอทรงดําริว่า ถ้านายช่างผู้นี้จักสร้างปราสาทมีรูปทรงอย่างนี้ แม้แก่คนอื่น ปราสาทนี้ก็จักไม่น่าอัศจรรย์ การที่เราฆ่านายช่างนี้เสีย หรือตัดมือและเท้าของเขา หรือควักนัยน์ตาทั้ง ๒ ข้างเสียจึงจะควร เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจักสร้างปราสาทแก่คนอื่นไม่ได้ ท้าวเธอตรัสบอกความนั้นแก่มาณพน้อยบุตรของสัญชีวก ผู้เป็นสหายที่รักของตน นายช่างทํานกครุฑเหนีภัย มาณพน้อยนั้นเข้าไปหาเขาแล้วถามว่า การงานของท่านที่ปราสาทสําเร็จแล้วหรือยัง เมื่อเขาบอกว่า สําเร็จแล้ว จึงกล่าวว่า พระราชกุมารมีพระประสงค์จะผลาญท่านให้ฉิบหาย เพราะฉะนั้น ท่านพึงรักษาตน (ให้ดี) นายช่างพูดว่า นาย ท่านบอก (ความนั้น) แก่ข้าพเจ้าชื่อว่าทํากรรมอันงามแล้ว ข้าพเจ้าจักทราบกิจที่ควรทําในเรื่องนี้ อันพระราชกุมารตรัสถามว่า สหาย การงานของท่านที่ปราสาทของเราสําเร็จแล้วหรือ จึงทูลว่า ข้าแต่สมมุติเทพ การงาน (ที่ปราสาท) ยังไม่สําเร็จก่อน ยังเหลืออีกมาก ราชกุมาร : ชื่อว่าการงานอะไร ยังเหลือ นายช่าง : ข้าแต่สมมุติเทพ ข้าพระองค์จักทูล (ให้ทรงทราบ) ภายหลัง ขอพระองค์จงตรัสสั่งให้ใครๆ ขนไม้มาก่อนเถิด ราชกุมาร : จะให้ขนไม้ชนิดไหนเล่า นายช่าง : ไม้แห้งหาแก่นมิได้ พระพุทธเจ้าข้า ท้าวเธอได้รับสั่งให้ขนมาให้แล้ว ลําดับนั้น นายช่างทูลพระราชกุมารนั้นว่า ข้าแต่สมมุติเทพ ตั้งแต่นี้ พระองค์ไม่พึงเสด็จมายังสํานักของข้าพระองค์ เพราะเมื่อข้าพระองค์ทําการงานที่ละเอียดอยู่ เมื่อมีการสนทนากับคนอื่น ความฟุ้งซ่านก็จะมี อนึ่ง เวลารับประทานอาหาร ภรรยาของข้าพระองค์เท่านั้นจักนําอาหารมา พระราชกุมารทรงรับว่า ดีแล้ว ฝ่ายนายช่างนั่งถากไม้เหล่านั้นอยู่ในห้องๆ หนึ่ง ทําเป็นนกครุฑ พอเหมาะที่บุตรภรรยาของตนนั่งภายในได้ ในเวลารับประทานอาหาร สั่งภรรยาว่า หล่อนจงขายของทุกสิ่งอันมีอยู่ในเรือนแล้วรับเอาเงินและทองไว้ นายช่างพาครอบครัวหนี พระศาสดาไม่ทรงเหยียบผ้าที่ลาดไว้ ท้าวเธอ เมื่อพระศาสดาเสด็จมา ถวายอภิวาทพระศาสดาด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้ว ทรงรับบาตร กราบทูลว่า ขอเชิญพระองค์เสด็จเข้าไปเถิด พระพุทธเจ้าข้า พระศาสดาไม่เสด็จเข้าไป ท้าวเธอทรง พระศาสดาตรัสเหตุที่ไม่ทรงเหยียบผ้า ราชกุมาร : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันคิดว่า ถ้าเราจักได้บุตรหรือธิดา พระศาสดาจักทรงเหยียบแผ่นผ้าน้อยของเรา แล้วจึงลาดแผ่นผ้าน้อย พระศาสดา : ราชกุมาร เพราะเหตุนั้น อาตมภาพจึงไม่เหยียบ ราชกุมาร : ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็หม่อมฉันจักไม่ได้บุตรหรือชิตาเลยเทียวหรือ พระศาสดา : อย่างนั้น ราชกุมาร ราชกุมาร : เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าข้า พระศาสดา : เพราะความที่พระองค์กับพระชายา เป็นผู้ถึงความประมาทแล้วในอัตภาพก่อน ราชกุมาร : ในกาลไหน พระพุทธเจ้าข้า บุพกรรมของโพธิราชกุมาร ดังได้สดับมา ในอดีตกาล มนุษย์หลายร้อยคนแล่นเรือลําใหญ่ไปยังสมุทร เรืออับปางในกลางสมุทร ภรรยาสามีคว้าได้แผ่นกระดานแผ่นหนึ่ง (อาศัย) ว่ายเข้าไปยังเกาะน้อยอันมีในระหว่าง มนุษย์ที่เหลือทั้งหมดตายในสมุทรนั้นนั่นแล ก็หมู่นกเป็นอันมากอยู่ที่เกาะนั้นแล เขาทั้ง ๒ คนไม่เห็นสิ่งอื่นที่ควรกินได้ ถูกความหิวครอบงำแล้ว จึงเผาฟองนกทั้งหลายที่ถ่านเพลิงแล้วเคี้ยวกิน เมื่อฟองนกเหล่านั้นไม่เพียงพอ ก็จับลูกนกทั้งหลายปิ้งกิน เมื่อลูกนกเหล่านั้นไม่เพียงพอ ก็จับนกทั้งหลายปิ้งกิน ในปฐมวัยก็ดี มัชฌิมวัยก็ดี ปัจฉิมวัยก็ดี ก็ได้เคี้ยวกินอย่างนี้แหละ แม้ในวัยหนึ่ง ก็มิได้ถึงความไม่ประมาท อนึ่ง บรรดาคน ๒ คนนั้น แม้คนหนึ่งก็ไม่ได้ถึงความไม่ประมาท พึงรักษาตนไว้ให้ดีในวัยทั้ง ๓ ราชกุมาร ก็ในกาลนั้น ถ้าพระองค์กับพระชายา จักถึงความไม่ประมาท แม้ในวัย ๑ บุตรหรือธิดา พึงเกิดขึ้นแม้ในวัย ๑ ก็ถ้าบรรดาพระองค์ทั้ง ๒ แม้คนหนึ่งจักได้เป็นผู้ไม่ประมาทแล้ว บุตรหรือธิดาจักอาศัยผู้ไม่ประมาทนั้นเกิดขึ้น ราชกุมาร ก็บุคคล เมื่อสําคัญตนว่า เป็นที่รัก จึงไม่ประมาท รักษาตนแม้ในวัยทั้ง ๓ เมื่อไม่อาจ (รักษา) ได้อย่างนั้น พึงรักษาให้ได้แม้ในวัย ๑ แล้วจึงตรัสพระคาถานี้ว่า
บรรดาคําเหล่านั้น ในคํานี้ว่า ยาม (ยามํ) พระศาสดาทรงแสดงวัยทั้ง ๓ วัยใดวัยหนึ่งให้ชื่อว่ายาม เพราะความที่พระองค์ทรงเป็นใหญ่ในธรรมและเพราะความพระองค์ทรงฉลาดในเทศนาวิธี เพราะเหตุนั้น ในพระคาถานี้ บัณฑิตพึงทราบความอย่างนี้ว่า ถ้าบุคคลรู้ว่าตนเป็นที่รัก พึงรักษาตนนั้น ให้เป็นอันรักษาดีแล้ว คือพึงรักษาตนนั้น โดยประการที่ตนเป็นอันรักษาดีแล้ว บรรดาชนผู้รักษาตนเหล่านั้น ถ้าผู้เป็นคฤหัสถ์คิดว่า จักรักษาตน เข้าไปยังห้องที่เขาปิดไว้เรียบ แต่ผู้เป็นคฤหัสถ์ ทําบุญทั้งหลายมีทานศีลเป็นต้นตามกําลังอยู่ หรือผู้เป็นบรรพชิต ถึงความขวนขวาย ก็ถ้าว่า บรรพชิต ในปฐมวัย ทําการสาธยายอยู่ ทรงจำ บอก ทําวัตรปฏิบัติตอบอยู่ ชื่อว่าถึงความประมาท ในมัชฌิมวัยพึงเป็นผู้ไม่ประมาท บำเพ็ญสมณธรรม อนึ่ง ถ้ายังสอบถามอรรถกถาและวินิจฉัยและเหตุแห่งปริยัติอันตนเรียนแล้วในปฐมวัยอยู่ ชื่อว่าถึงความประมาทในมัชฌิมวัย ในปัจฉิมวัยพึงเป็นผู้ไม่ประมาทบําเพ็ญสมณธรรม ด้วยอาการแม้อย่างนี้ ตนย่อมเป็นอันบรรพชิตนั้นประคับประคองแล้วทีเดียว แต่เมื่อไม่ทําอย่างนั้น ตนย่อมชื่อว่าไม่เป็นที่รัก บรรพชิตนั้น (เท่ากับ) ทำตนนั้นให้เดือดร้อน ด้วยการตามเดือดร้อนในภายหลังแท้ ในเวลาจบเทศนา โพธิราชกุมารดำรงอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว พระธรรมเทศนาได้สาเร็จประโยชน์ แม้แก่บริษัทที่ประชุมกันแล้วดังนี้แล เรื่องโพธิราชกุมาร เรื่องที่ ๑ จบ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท อัตตวรรคที่ ๑๒ |