บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] หน้าต่างที่ ๓ / ๙. ข้อความเบื้องต้น อาบัติเล็กน้อยที่ไม่แสดงเสียก่อนให้โทษ ภิกษุหนุ่มนั้นไม่แสดงอาบัติ ด้วยคิดเสียว่า "นี้เป็นโทษเพียงเล็กน้อย" แม้ทำสมณธรรมในป่าสิ้น ๒ หมื่นปี ในกาลมรณภาพ เป็นประดุจใบตะไคร้น้ำผูกคอ แม้อยากจะแสดงอาบัติ เมื่อไม่เห็นภิกษุอื่น ก็เกิดความเดือดร้อนขึ้นว่า "เรามีศีลไม่บริสุทธิ์" จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว บังเกิดเป็นพระยานาค มีร่างกายประมาณเท่าเรือโกลน. เขาได้มีชื่อว่า "เอรกปัตตะ" นั่นแล. ในขณะที่เกิดแล้วนั่นเอง พระยานาคนั้นแลดูอัตภาพแล้ว ได้มีความเดือดร้อนว่า "เราทำสมณธรรมตลอดกาลชื่อมีประมาณเท่านี้ เป็นผู้บังเกิดในที่มีกบเป็นอาหาร ในกำเนิดแห่งอเหตุกสัตว์." ในกาลต่อมา เขาได้ธิดาคนหนึ่งแผ่พังพานใหญ่บนหลังน้ำในแม่น้ำคงคา วางธิดาไว้บนพังพานนั้น ให้ฟ้อนรำขับร้องแล้ว. พระยานาคออกอุบายเพื่อทราบการอุบัติแห่งพระพุทธเจ้า ธิดานั้นยืนฟ้อนอยู่บนพังพานนั้น ขับเพลงขับนี้ว่า :- ผู้เป็นใหญ่อย่างไรเล่า ชื่อว่าพระราชา? อย่างไรเล่า พระราชาชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร? อย่างไรเล่า ชื่อว่าปราศจากธุลี, อย่างไร? ท่าน จึงเรียกว่า คนพาล. ชาวชมพูทวีปทั้งสิ้นพากันมาด้วยหวังว่า "เราจักพาเอานางนาคมาณวิกา" แล้วทำเพลงขับแก้ ขับไปโดยกำลังปัญญาของตนๆ. นางย่อมห้ามเพลงขับตอบนั้น. เมื่อนางยืนอยู่บนพังพานทุกกึ่งเดือน ขับเพลงอยู่อย่างนี้เท่านั้น พุทธันดรหนึ่งล่วงไปแล้ว. พระศาสดาทรงผูกเพลงขับแก้ พระศาสดาเสด็จไปในที่นั้นแล้ว ประทับนั่ง ณ โคนต้นซึกต้นหนึ่ง บรรดาต้นซึก ๗ ต้นที่มีอยู่ในที่ไม่ไกลแต่เมืองพาราณสี. ชาวชมพูทวีปพาเอาเพลงขับแก้เพลงขับไปประชุมกันแล้ว. พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นอุตตรมาณพกำลังไปในที่ไม่ไกล จึงตรัสว่า "อุตตระ." อุตตระ. อะไร? พระเจ้าข้า. พระศาสดา. เธอจงมานี่ก่อน. ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะอุตตรมาณพนั้นผู้มาถวายบังคมนั่งลงแล้ว ถามว่า "เธอจะไปไหน?" อุตตรมาณพ. จักไปยังที่ที่ธิดาของเอรกปัตตนาคราช ขับเพลง. พระศาสดา. ก็เธอรู้เพลงขับแก้เพลงขับหรือ? อุตตรมาณพ. ข้าพระองค์ทราบ พระเจ้าข้า. พระศาสดา. เธอจงกล่าวเพลงเหล่านั้นดูก่อน. ทีนั้น พระศาสดาตรัสกะอุตตรมาณพผู้กล่าวตามธรรมดาความรู้ของตนเท่านั้นว่า "แน่ะอุตตระ นั่นไม่ใช่เพลงขับแก้ เราจักให้เพลงขับแก้แก่เธอ เธอต้องเรียนเพลงขับแก้นั้นให้ได้." อุตตรมาณพ. ดีละ พระเจ้าข้า. อุตตรมาณพเรียนเพลงแก้จากพระศาสดา ผู้เป็นใหญ่ในทวาร ๖ ชื่อว่าเป็นพระราชา, พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร, ผู้ ไม่กำหนัดอยู่ ชื่อว่าปราศจากธุลี, ผู้กำหนัดอยู่ ท่านเรียกว่า คนพาล. ก็เพลงขับของนางนาคมาณวิกา มีอธิบายว่า :- บาทคาถาว่า กึสุ อธิปตี ราชา ความว่า ผู้เป็นใหญ่อย่างไรเล่า จึงชื่อว่าพระราชา? บาทคาถาว่า กึสุ ราชา รชสฺสิโร ความว่า อย่างไรพระราชา ย่อมเป็นผู้ชื่อว่า มีธุลีบนพระเศียร? บทว่า กถํ สุ ความว่า อย่างไรกันเอ่ย พระราชานั้นเป็นผู้ชื่อว่า ปราศจากธุลี? ส่วนเพลงขับแก้ มีอธิบายว่า:- บาทคาถาว่า ฉทฺวาราธิปตี ราชา ความว่า ผู้ใดเป็นผู้ใหญ่แห่งทวาร ๖ อันอารมณ์ทั้ง ๖ มีรูปเป็นต้นครอบงำไม่ได้ แม้ในทวารหนึ่ง ผู้นี้ชื่อว่าเป็นพระราชา. บาทคาถาว่า รชมาโน รชสฺสิโร ความว่า ก็พระราชาใดกำหนัดอยู่ในอารมณ์เหล่านั้น, พระราชาผู้กำหนัดอยู่นั้น ชื่อว่ามีธุลีบนพระเศียร. บทว่า อรชํ ความว่า ส่วนพระราชาผู้ไม่กำหนัดอยู่ ชื่อว่าเป็นผู้ปราศจากธุลี. บทว่า รชํ ความว่า พระราชาผู้กำหนัดอยู่ ท่านเรียกว่า "เป็นคนพาล." พระศาสดา ครั้นประทานเพลงขับแก้แก่อุตตรมาณพนั้นอย่างนี้แล้ว ตรัสว่า "อุตตระ เมื่อเธอขับเพลงขับนี้ (นาง) จักขับเพลงขับแก้ เพลงขับของเธออย่างนี้ว่า :- คนพาลอันอะไรเอ่ย ย่อมพัดไป, บัณฑิตย่อม บรรเทาอย่างไร, อย่างไร จึงเป็นผู้มีความเกษมจาก โยคะ, ท่านผู้อันเราถามแล้ว โปรดบอกข้อนั้นแก่เรา ทีนั้น ท่านพึงขับเพลงขับแก้นี้แก่นางว่า :- คนพาลอันห้วงน้ำ (คือกามโอฆะเป็นต้น) ย่อม พัดไป, บัณฑิตย่อมบรรเทา (โอฆะนั้น) เสียด้วยความ เพียร, บัณฑิตผู้ไม่ประกอบด้วยโยคะทั้งปวง ท่านเรียก ว่า ผู้มีความเกษมจากโยคะ เพลงขับแก้นั้น มีเนื้อความว่า :- คนพาลอันโอฆะ (กิเลสดุจห้วงน้ำ) ๔ อย่าง มี โอฆะคือกามเป็นต้น ย่อมพัดไป, บัณฑิตย่อมบรรเทา โอฆะนั้น ด้วยความเพียร กล่าวคือสัมมัปปธาน (ความ เพียรอันตั้งไว้ชอบ), บัณฑิตนั้นไม่ประกอบด้วยโยคะ ทั้งปวง มีโยคะคือกามเป็นต้น ท่านเรียกชื่อว่า ผู้มีความเกษมจากโยคะ." อุตตรมาณพ เมื่อกำลังเรียนเพลงขับแก้นี้เทียว ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. เขาเป็นโสดาบันเรียนเอาคาถานั้นไปแล้ว กล่าวว่า "ผู้เจริญ ฉันนำเพลงขับแก้เพลงขับมาแล้ว, พวกท่านจงให้โอกาสแก่ฉัน" ได้คุกเข่าไปในท่ามกลางมหาชนที่ยืนยัดเยียดกันอยู่แล้ว. นางนาคมาณวิกายืนฟ้อนอยู่บนพังพานของพระบิดา แล้วขับเพลงขับว่า "ผู้เป็นใหญ่ อย่างไรเล่า ชื่อว่าเป็นพระราชา ?" เป็นต้น. อุตตรมาณพ ขับเพลงแก้ว่า "ผู้เป็นใหญ่ในทวาร ๖ ชื่อว่าเป็นพระราชา" เป็นอาทิ. นางนาคมาณวิกา ขับเพลงโต้แก่อุตตรมาณพนั้นอีกว่า "คนพาล อันอะไรเอ่ย ย่อมพัดไป?" เป็นต้น. ทีนั้น อุตตรมาณพ เมื่อจะขับเพลงแก้แก่นาง จึงกล่าวคาถานี้ว่า :- "คนพาลอันห้วงน้ำย่อมพัดไป" ดังนี้เป็นต้น. นาคราชทราบว่าพระพุทธเจ้าอุบัติแล้ว นาคราชนั้นเข้าไปหาอุตตรมาณพ แล้วถามว่า "แน่ะนาย พระศาสดาประทับอยู่ที่ไหน?" อุตตระ. ประทับนั่งที่โคนไม้ต้นหนึ่ง มหาราช. นาคราชนั้นกล่าวว่า "มาเถิดนาย พวกเราจะพากันไป" แล้วได้ไปกับอุตตรมาณพ. ฝ่ายมหาชนก็ได้ไปกับเขาเหมือนกัน. นาคราชนั้นไปถึง เข้าไปสู่ระหว่างพระรัศมีมีพรรณะ ๖ ถวายบังคัมพระศาสดาแล้ว ได้ยืนร้องไห้อยู่. ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะนาคราชนั้นว่า "นี่อะไรกัน? มหาบพิตร." นาคราช. พระเจ้าข้า ข้าพระองค์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้เช่นกับด้วยพระองค์ ได้ทำสมณธรรมสิ้น ๒ หมื่นปี แม้สมณธรรมนั้นก็ไม่อาจเพื่อจะช่วยข้าพระองค์ได้. ข้า พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของนาคราชนั้นแล้ว ตรัสว่า "มหาบพิตร ชื่อว่าความเป็นมนุษย์หาได้ยากนัก การฟังพระสัทธรรม ก็อย่างนั้น การอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า ก็หาได้ยากเหมือนกัน เพราะว่าทั้งสามอย่างนี้ บุคคลย่อมได้โดยลำบากยากเย็น" เมื่อจะทรงแสดงธรรม ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
แก้อรรถ "ก็ขึ้นชื่อว่า ความได้อัตภาพเป็นมนุษย์ ชื่อว่าเป็นการยาก คือหาได้ยาก อนึ่ง ถึงการอุบัติขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ก็เป็นการยากเหมือนกัน คือได้ยากยิ่งนัก เพราะอภินิหารสำเร็จด้วยความพยายามมาก และเพราะการอุบัติขึ้นแห่งท่านผู้มีอภินิหารอันสำเร็จแล้ว เป็นการได้โดยยาก ด้วยพันแห่งโกฎิกัป แม้มิใช่น้อย." นาคราชไม่บรรลุโสดาบัน เรื่องนาคราชชื่อเอรกปัตตะ จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท พุทธวรรคที่ ๑๔ |