บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] หน้าต่างที่ ๕ / ๘. ข้อความเบื้องต้น สองผัวเมียแสดงตนเป็นพุทธบิดาและพุทธมารดา "พ่อ ธรรมดามารดาและบิดา อันพวกลูกชายพึงประคบประหงม ในเวลาที่ ดังนี้แล้ว ก็ได้พาพระศาสดาไปสู่เรือนของตน. พระศาสดาเสด็จไปที่เรือนนั้นแล้ว ประทับนั่งเหนืออาสนะซึ่งปูลาดไว้กับด้วยภิกษุสงฆ์. ฝ่ายพราหมณี มาหมอบแทบพระบาททั้งสองของพระศาสดาแล้ว ทูลว่า "พ่อ พ่อเป็นผู้ไปเสียที่ไหน สิ้นกาลประมาณเพียงนี้? ธรรมดามารดาและบิดา อันบุตรธิดาควรบำรุง ในเวลาที่ท่านแก่เฒ่ามิใช่หรือ?" แล้วให้บุตรและธิดาทั้งหลายถวายบังคมด้วยคำว่า "พวกเจ้าจงมา จงถวายบังคมพระพี่ชาย." แม้สองสามีภรรยานั้นมีใจยินดี เลี้ยงดูภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขแล้ว ทูลว่า "พระเจ้าข้า ขอพระองค์จงทรงรับภิกษาที่เรือนนี้แหละเป็นนิตย์" เมื่อพระศาสดาตรัสว่า "ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่ทรงรับภิกษาเป็นนิตย์ ในที่แห่งเดียวเท่านั้น" จึงกราบทูลว่า "ถ้ากระนั้น ขอพระองค์พึงส่งพวกคนที่มาเพื่อนิมนต์พระองค์ไปที่สำนักของข้าพระ จำเดิมแต่นั้น พระศาสดาทรงส่งพวกคนที่มาเพื่อนิมนต์ไป ด้วยพระดำรัสว่า "พวกท่านจงไปบอกแก่พราหมณ์เถิด." คนที่มานิมนต์เหล่านั้น ย่อมไปบอกกะพราหมณ์ว่า "เราทั้งหลายย่อมนิมนต์พระศาสดาเพื่อฉันในวันพรุ่งนี้." ในวันรุ่งขึ้น พราหมณ์ย่อมถือภาชนะภัตและภาชนะแกงจากเรือนของตน ไปสู่สถานที่พระศาสดาประทับนั่งอยู่. ก็ในเมื่อการนิมนต์ไป (ฉัน) ในที่อื่นไม่มี พระศาสดาย่อมทรงทำภัตกิจที่เรือนของพราหมณ์นั้นแล. แม้สองสามีภรรยานั้นถวายไทยธรรมของตนแด่พระตถาคตอยู่ ฟังธรรมกถาอยู่ตลอดกาลเป็นนิตย์ บรรลุอนาคามิผลแล้ว. พระศาสดาตรัสบุรพประวัติของพราหมณ์ พระศาสดาทรงสดับกถาของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ทั้งสองสามีภริยานั้นย่อมเรียกบุตรของตนเท่านั้นว่า บุตร ดังนี้แล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมา ทรงแสดงความที่พระองค์เป็นบุตรของพราหมณ์ผัวเมียทั้งสองนั้นสิ้น ๓,๐๐๐ ชาติว่า "ภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล พราหมณ์นี้ได้เป็นบิดาของเรา ๕๐๐ ชาติติดๆ กัน, เป็นอาของเรา ๕๐๐ ชาติ, เป็นลุง ๕๐๐ ชาติ ถึงพราหมณีนั้นก็ได้เป็นมารดาของเรา ๕๐๐ ชาติติดๆ กัน, เป็นน้าของเรา ๕๐๐ ชาติ, เป็นป้าของเรา ๕๐๐ ชาติ; เราเป็นผู้เจริญแล้วในมือของพราหมณ์ ๑,๕๐๐ ชาติ, เจริญแล้วในมือพราหมณี ๑,๕๐๐ ชาติอย่างนี้" แล้วได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :- ใจย่อมจดจ่อ, แม้จิตก็เลื่อมใสในบุคคลใด, เขาย่อมสนิทสนมในบุคคลแม้นั้น ซึ่งตนไม่เคยเห็น โดยแท้.๑- ความรักนั้นย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ อย่างนี้ คือเพราะการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑, เพราะ การเกื้อกูลกันในปัจจุบัน ๑ เปรียบเหมือนดอกบัวเกิด ในน้ำได้ (เพราะอาศัยเปือกตมและน้ำ) ฉะนั้น.๒- ____________________________ ๑- ขุ. ชา.เล่ม ๒๗/ข้อ ๖๘. สาเกตชาดก; อรรถกถา ขุ. ชา.เล่ม ๒๗/ข้อ ๖๘. ๒- ขุ. ชา.เล่ม ๒๗/ข้อ ๓๒๓; อรรถกถา ขุ. ชา.เล่ม ๒๗/ข้อ ๓๒๓. พระศาสดาเสด็จไปสู่ที่เผาศพของพราหมณ์ แม้พระศาสดามีภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร ได้เสด็จไปยังป่าช้ากับชนเหล่านั้นเหมือนกัน. มหาชนออกไปแล้ว ด้วยคิดว่า "ได้ยินว่า พระมารดาและพระบิดาของพระพุทธเจ้าทำกาละเสียแล้ว." พระศาสดาได้เสด็จเข้าไปยังศาลาหลังหนึ่ง ในที่ใกล้ป่าช้าประทับยืนแล้ว. พวกมนุษย์ถวายบังคมพระศาสดา แล้วยืน ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทำปฏิสันถารกับพระศาสดา ด้วยทูลว่า "พระเจ้าข้า ขอพระองค์อย่าทรงคิดว่า พระมารดาและพระบิดาของพระองค์ทำกาละแล้ว." พระศาสดาตรัสชราสูตร ชีวิตนี้น้อยหนอ สัตว์ย่อมตายหย่อนแม้กว่า ๑๐๐ ปี, แม้หากผู้ใดเป็นอยู่เกินไป, ผู้นั้นย่อมตาย แม้เพราะชราโดยแท้. ในกาลจบเทศนา ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ ๘ หมื่น ๔ พันแล้ว. ____________________________ ๑- ขุ. มหา. เล่ม ๒๙/ข้อ ๑๘๑. ภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่ทราบความที่พราหมณ์และพราหมณีปรินิพพานแล้ว จึงทูลถามว่า "ภพหน้าของพราหมณ์และพราหมณีนั้นเป็นอย่างไร? พระเจ้าข้า." พระอเสขมุนีไปสู่ฐานะที่ไม่จุติ ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
แก้อรรถ บทว่า กาเยน นั่น สักว่าเป็น (หัวข้อ) เทศนาเท่านั้น. อธิบายว่า สำรวมแล้วด้วยทวารแม้ทั้ง ๓. บทว่า อจฺจุตํ ได้แก่ เที่ยง. บทว่า ฐานํ ได้แก่ ฐานะที่ไม่กำเริบ คือฐานะที่ยั่งยืน. บทว่า ยตฺถ เป็นต้น ความว่า มุนีทั้งหลาย ย่อมไปสู่ฐานะ คือพระนิพพาน ซึ่งเป็นที่คนทั้งหลายไปแล้วไม่เศร้าโศก คือไม่เดือดร้อน. ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล. เรื่องปัญหาที่ภิกษุทูลถาม จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท โกธวรรคที่ ๑๗ |