บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] พรรณนาการสัมพันธ์แห่งบท กรรมฐาน คือกายคตาสตินี้ใดที่พวกเดียรถีย์ทั้งปวงไม่เคยให้เป็นไปแล้วนอกพุทธกาล เพื่อความบริสุทธิ์แห่งอาสยญาณ และเพื่อจิตตภาวนาของกุลบุตรผู้มีประโยชน์อันบริสุทธิ์ด้วยสิกขาบท ๑๐ อย่างนี้ ผู้ดำรงอยู่ในศีล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญไว้โดยอาการเป็นอันมากในพระสูตรนั้นๆ อย่างนี้ว่า๑- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอย่างหนึ่ง ภิกษุเจริญทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อสังเวคะ [ความสลดใจ] ใหญ่ เป็นไปเพื่ออรรถะ [ประโยชน์] ใหญ่ เป็นไปเพื่อโยคักเขมะ [ความเกษมจากโยคะ] ใหญ่ เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ [ความระลึกรู้ตัว] ใหญ่ เป็นไปเพื่อได้ญาณทัสสนะ [ความรู้เห็น] เป็นไปเพื่อทิฏฐธรรมสุขวิหาร [อยู่เป็นสุขในปัจจุบัน] เป็นไปเพื่อทำให้แจ้งวิชชาวิมุตติและผลธรรมอย่างหนึ่ง คือกายคตาสติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่าใดไม่บริโภคกายคตาสติ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าไม่บริโภคอมตะ ภิกษุเหล่าใดบริโภคกายคตาสติ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่าบริโภคอมตะ ภิกษุเหล่าใดไม่บริโภคกายคตาสติ ชื่อว่าไม่ได้บริโภคอมตะ ภิกษุที่บริโภคกายคตาสติ ชื่อว่าได้บริโภคอมตะ ภิกษุที่เสื่อมกายคตาสติ ชื่อว่าเสื่อมอมตะ ภิกษุที่ไม่เสื่อมกายคตาสติ ชื่อว่าไม่เสื่อมอมตะ ภิกษุที่พลาดกายคตาสติ ชื่อว่าพลาดอมตะ ภิกษุที่สำเร็จกายคตาสติ ชื่อว่าสำเร็จอมตะ. ____________________________ ๑- อัง.เอก. ๒๐/ข้อ ๒๓๔-๒๓๘ ดังนี้แล้วทรงแสดงไว้เป็นปัพพะ ๑๔ ปัพพะ คืออานาปานปัพพะ อิริยาปถปัพพะ จตุสัมปชัญญปัพพะ ปฏิกูลมนสิการปัพพะ ธาตุมนสิการปัพพะ สีวถิกาปัพพะ ๙ ปัพพะ โดยนัยว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายคตาสติอันภิกษุเจริญอย่างไร ทำให้มากอย่างไร จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปป่าก็ดี ดังนี้เป็นต้น. บัดนี้ นิทเทสแห่งการเจริญกายคตาสติกรรมฐานนั้น มาถึงตามลำดับแล้ว ในนิทเทสนั้น ข้าพเจ้ากล่าวเป็นวิปัสสนาไว้ ๓ ปัพพะ นี้คือ อิริยาปถปัพพะ จตุสัมปชัญญปัพพะ ธาตุมนสิการปัพพะ กล่าวสีวถิกาปัพพะทั้ง ๙ เป็นอาทีนวานุปัสสนาไว้ในวิปัสสนาญาณ ส่วนสมาธิภาวนาในอุทธุมาตกอสุภเป็นต้น ในนิทเทสนั้นที่พึงปรารถนา ข้าพเจ้าก็ประกาศไว้พิศดารแล้วในอสุภภาวนานิทเทส คัมภีร์วิสุทธิมรรคทั้งนั้น. สองปัพพะนี้คืออานาปานปัพพะและปฏิกูลมนสิการปัพพะก็กล่าวเป็นสมาธิไว้แล้วในนิทเทสนั้น ใน ๒ ปัพพะนั้น อานาปานปัพพะเป็นกรรมฐานแผนกหนึ่งโดยแท้ โดยเป็นอานาปานัสสติ ส่วนกรรมฐานคือทวัตติงสาการนั้นใด เป็นปริยายแห่งภาวนาส่วนหนึ่งของกายคตาสติ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงสงเคราะห์มันสมองไว้ด้วยเยื่อในกระดูก ในบาลีประเทศนั้นๆ อย่างนี้ว่า๒- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นกายนี้นี่แล ตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า ในกายนี้มี ผม ขน ฯลฯ มูตร ดังนี้ ____________________________ ๒- ม.อุปริ. ๑๔/ข้อ ๒๙๗. ข้าพเจ้าเริ่มไว้แล้ว กรรมฐานคือทวัตติงสาการนั้น จะพรรณนาความดังต่อไปนี้ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อตฺถิ แปลว่า มีอยู่. บทว่า อิมสฺมึ ความว่า ที่กล่าวว่าตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังหุ้มโดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาด มีประการต่างๆ. บทว่า กาเย ได้แก่ ในสรีระ. จริงอยู่ สรีระ เรียกกันว่า กาย เพราะสะสมของไม่สะอาด หรือเพราะเป็นที่เจริญเติบโตของผมเป็นต้นที่น่าเกลียด และของโรคตั้งร้อยมี โรคตา เป็นต้น บทว่า เกสา ฯ เป ฯ มุตฺตํ คืออาการ ๓๒ มีผมเป็นต้นเหล่านี้ ในทวัตติงสาการนี้ เป็นต้น. เป็น พรรณนาโดยความสัมพันธ์แห่งบทในทวัตติงสาการกรรมฐานนี้เท่านี้ก่อน. อสุภภาวนา ก่อนอื่น อันดับแรก กุลบุตรผู้เริ่มบำเพ็ญกรรมฐาน เป็นผู้ตั้งอยู่ในศีล ต่างโดยปาณาติปาตาเวรมณีสิกขาบทเป็นต้นอย่างนี้แล้ว มีประโยคอันบริสุทธิ์ ประสงค์จะประกอบเนืองๆ ซึ่งอนุโยคะคือ การบำเพ็ญกรรมฐานส่วนทวัตติงสาการ เพื่อบรรลุความบริสุทธิ์แห่งอาสยญาณ กุลบุตรนั้นย่อมมีกังวล ๑๐ ประการ คือ กังวลด้วยที่อยู่ ด้วยตระกูล ด้วยลาภ ด้วยคณะ ด้วยการงาน ด้วยการเดินทาง ด้วยญาติ ด้วยการเรียนคัมภีร์ ด้วยโรคและ พระอาจารย์นั้นพึงรู้ความแตกต่างแห่งนิมิตอัธยาศัยจริยา และอธิมุตติของกุลบุตรผู้นั้น ผิว่า กรรมฐานนั้นเป็นของเหมาะ เมื่อเป็นดังนั้น กุลบุตรแม้ผู้นั้นประสงค์จะอยู่ในวิหารที่ตนอยู่ไซร้ แต่นั้น ก็พึงให้กรรมฐานโดยสังเขป ถ้ากุลบุตรนั้นประสงค์อยู่ในวิหารอื่น ก็พึงบอกกรรมฐานพิศดาร พร้อมทั้งข้อที่ควรทำก่อน โดยบอกข้อที่ควรละและข้อที่ควรกำหนดรู้เป็นต้น พร้อมทั้งประเภทจริต อาวาสใหญ่ อาวาสใหม่ อาวาสเก่า อาวาสใกล้ทาง อาวาสใกล้ตระพังหิน อาวาสมีใบไม้ อาวาสมีดอกไม้ อาวาสมีผลไม้ อาวาสที่คนปรารถนา อาวาสที่ใกล้นคร อาวาสที่ใกล้คนเข้าไปตัดไม้ อาวาสที่ใกล้ไร่นา อาวาส ที่มีอารมณ์เป็นข้าศึก อาวาสใกล้ท่าเรือ อาวาสใกล้ชาย แดน อาวาสมีสีมา อาวาสที่เป็นอสัปปายะ อาวาสที่ไม่ได้ กัลยาณมิตร บัณฑิตรู้จักสถานที่ ๑๘ ประเภทนี้ดังนี้แล้ว พึงเว้นเสียให้ห่างไกลเหมือนคนเดินทางเว้นทางมีภัย เฉพาะหน้าฉะนั้น. แล้วเข้าไปยังเสนาสนะที่ประกอบด้วยองค์ ๕ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะประกอบด้วย องค์ ๕ เป็นอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะใน พระธรรมวินัยนี้ เป็นเสนาสนะที่ไม่ไกลนัก ที่ไม่ใกล้ นัก พรั่งพร้อมด้วยคมนาคม กลางวันผู้คนไม่พลุก พล่าน กลางคืนเงียบเสียง ไม่อึกกะทึก ไม่มีเหลือบ- ยุง ลม แดด งู รบกวน เมื่อภิกษุอยู่ในเสนาสนะนั้น จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร แห่งผู้เจ็บไข้ เกิดขึ้นไม่ยาก ในเสนาสนะนั้นแล มี ภิกษุผู้เถระ ผู้เป็นพหูสูต ผู้จบอาคม ทรงธรรม ทรง วินัย ทรงมาติกาอยู่ ภิกษุเข้าไปหาภิกษุเถระเหล่านั้น ตามสมควรแก่กาลสอบถามไล่เลียงว่า ท่านขอรับ ข้อ นี้เป็นอย่างไร ข้อนี้มีความว่าอย่างไร ท่านเหล่านั้น ย่อมจะเปิดเผยข้อที่ยังไม่เปิดเผยแก่ภิกษุนั้น ทำข้อที่ ยากให้ง่ายเข้า บรรเทาความสงสัยในธรรมทั้งหลายอัน เป็นที่ตั้งความสงสัยต่างๆ เสียได้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เสนาสนะประกอบด้วยองค์ ๕ อย่างนี้แล. ดังนี้แล้วทำกิจทุกอย่างให้เสร็จแล้ว พิจารณาโทษในกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในเนกขัมมะ ทำจิตให้เลื่อมใส ด้วยการระลึกถึง [พระรัตนตรัย] โดยความที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ดีแล้ว โดยความที่พระธรรมเป็นธรรมอันดี และโดยความที่พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ไม่ละอุคคหโกศล ความฉลาดในทางเรียนรู้ ๗ ทาง ที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า นักปราชญ์ฉลาดเรียนรู้ ๗ ทาง คือ โดยวาจา โดยใจ โดยวรรณะ โดยสัณฐาน โดยทิศ โดยโอกาสและโดยปริเฉท. และมนสิการโกศล ความฉลาดใส่ใจ ๑๐ อย่างที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ คือ โดยลำดับ โดยไม่เร็วนัก โดยไม่ช้านัก โดยป้องกันความฟุ้งซ่าน โดยล่วงเลยบัญญัติ โดยปล่อยลำดับ โดยอัปปนา และสูตร ๓ สูตร จึงควรเริ่ม จริงอยู่ การเจริญทวัตติงสาการโดยอาการทุกอย่างย่อมสำเร็จแก่ผู้เริ่มดังกล่าวมานี้ หาสำเร็จโดยประการอื่นไม่ ในการเจริญทวัตติงสาการนั้น ภิกษุรับตจปัญจกกรรมฐานก่อนเป็นเบื้องต้น กล่าวโดยพระ จริงอยู่ การเจริญทางวาจา ซึ่งตจปัญจกกรรมฐานนั้น ตัดวิตกที่ฟุ้งไปข้างนอกได้แล้ว ย่อมเป็นปัจจัยแก่การเจริญทางวาจา เพราะคล่องบาลีแล้ว การเจริญทางใจ ย่อมเป็นปัจจัยแก่การกำหนดอสุภะวรรณะ และลักษณะ ส่วนใดส่วนหนึ่ง เมื่อเป็นดังนั้น โดยนัยนั้น ก็พึงเจริญวักกะปัญจกกรรมฐาน [หมวดที่มีวักกะเป็นที่ ๕] เสียครึ่งเดือน ต่อนั้น จึงเจริญตจะปัญจกกรรมฐานและวักกะปัญจกกรรมฐานทั้งสองนั้นเสียครึ่งเดือน ต่อนั้นจึงเจริญปับผาสะปัญจกะกรรมฐานเสียครึ่งเดือน ต่อนั้นก็เจริญทั้งสามปัญจกะนั้นเสียครึ่งเดือน เมื่อเป็นดังนั้น ก็พึงเพิ่มมัตถลุงคัง ที่มิได้ตรัสในตอนท้ายไว้ในสามหมวดนี้ เพื่อเจริญรวมกันไปกับอาการแห่งปฐวีธาตุทั้งหลาย แล้วเจริญมัตถลุงคังเสียครึ่งเดือน ต่อนั้นก็เจริญปัญจกะและจตุกกะเสียครึ่งเดือน เมทฉักกะครึ่งเดือน ต่อนั้นก็เจริญปัญจกะและจตุกกะร่วมกับเมทฉันกะครึ่งเดือน มุตตฉักกะครึ่งเดือน ต่อนั้นก็เจริญทวัตติงสาการทั้งหมดเสียครึ่งเดือน พึงเจริญกำหนดโดยวรรณะ สัณฐาน ทิศ โอกาสและปริเฉท ๖ เดือนดังกล่าวมาฉะนี้. ข้อนี้ท่านกล่าวหมายถึงบุคคลที่มีปัญญา เกสา ผม โลมา ขน ในอาการ ๓๐ ที่เหลือนั้น กำหนดว่า ขนย่อมไม่รู้ว่าเราเกิดที่หนังแห่งสรีระ แม้หนังแห่งสรีระก็ไม่รู้ว่าขนเกิดที่เรา เปรียบเหมือนหญ้าทัพพะอันเกิด ณ สถานที่บ้านเก่า ย่อมไม่รู้ว่าเราเกิด ณ สถานที่บ้านเก่า แม้สถานที่บ้านเก่าก็ไม่รู้ว่าหญ้าทัพพะเกิดที่เรา ฉะนั้น ด้วยว่าขนเหล่านั้นเว้นจากความคิดคำนึงและการพิจารณา เป็นธรรมหาเจตนามิได้ [ใจ] เป็นอัพยากฤต ว่างเปล่า ปฏิกูลด้วยกลิ่นเหม็นน่าเกลียดอย่างยิ่ง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล กำหนดโดยปริเฉทตัดตอนว่า ขนเบื้องล่างตัดตอนด้วยพื้นหนังที่ตั้งอยู่ และด้วยโคนของตนที่เข้าไปในพื้นหนังนั้น ประมาณตัวเหาตั้งอยู่ ขนเบื้องบนตัดตอนด้วยอากาศ ขนเบื้องขวางตัดตอนด้วยขนด้วยกันเอง นี่เป็นการกำหนดขนเหล่านั้นโดยสภาค ส่วนการกำหนดโดยวิสภาค ก็เช่นเดียวกับผมนั่นแล กำหนดขนโดยวรรณะเป็นต้นมีประการดังกล่าวมาฉะนี้. นขา เล็บ ในเล็บนั้น กำหนดว่า เล็บย่อมไม่รู้ว่าเราตั้งอยู่ปลายนิ้ว แม้นิ้วก็ไม่รู้ว่าเล็บตั้งอยู่ที่ปลายของเรา เปรียบเหมือนเมล็ดมะซางที่พวกเด็กชาวบ้านเสียบไว้ที่ปลายไม้ ไม่รู้ว่าเราถูกเสียบไว้ที่ปลายไม้ แม้ไม้ก็ไม่รู้ว่าเมล็ดมะซางถูกเสียบไว้ที่เรา ฉะนั้น. ด้วยว่าเล็บเหล่านั้น เว้นจากความคิดคำนึงและการพิจารณา เป็นธรรมไม่มีเจตนา ฯลฯ ไม่ใช่บุคคล. กำหนดโดยบริเฉทว่า เล็บล่างถูกตัดตอนด้วยเนื้อนิ้วที่โคน หรือด้วยพื้นที่ตั้งอยู่ที่โคนนั้น และเล็บบนตัดตอนด้วยอากาศที่ปลาย ด้วยหนังปลายสองข้างของนิ้วทั้งสองข้าง นี้เป็นการกำหนดเล็บเหล่านั้นโดยสภาค ส่วนการกำหนดวิสภาค ก็เช่นเดียวกับผมนั่นแล กำหนดเล็บโดยวรรณะเป็นต้น มีประการดังกล่าวมาฉะนี้. ทนฺตา ฟัน ในฟันนั้น ก็กำหนดว่า ฟันไม่รู้ว่า เราตั้งอยู่ในกระดูกคางล่าง ตั้งอยู่ใน ตโจ หนัง ก็พระโยคาวจร ผู้กำหนดหนังเป็นอารมณ์ ส่งจิตเข้าไประหว่างหนังและเนื้อ ตั้งแต่ริมฝีปากบน กำหนดหนังหน้าก่อนเป็นอันดับแรก ต่อนั้นก็หนังศีรษะ หนังคอด้านนอก แต่นั้นก็พึงกำหนดหนังมือขวา ทั้ง ในหนังนั้น พระโยคาวจรกำหนดว่า หนังย่อมไม่รู้ว่าเราห่อหุ้มสรีระที่
มํสํ เนื้อ ก็พระโยคาวจร ผู้กำหนดเนื้อเป็นอารมณ์ พึงกำหนดเนื้อส่วนหยาบๆ เหล่านี้นี่แล. โดยสัณฐาน ด้วยว่าพระโยคาวจรกำหนดอยู่อย่างนี้ เนื้อส่วนละเอียดก็จะปรากฏแก่ญาณ. กำหนดโดยทิศ เนื้อเกิดในทิศทั้งสอง. กำหนดโดยโอกาส เนื้อฉาบตามกระดูก ๓๐๐ ชิ้น ที่เป็นโครงตั้งอยู่. ในเนื้อนั้น ก็กำหนดว่า เนื้อ ๙๐๐ ชิ้นย่อมไม่รู้ว่าเราฉาบกระดูก ๓๐๐ ชิ้นไว้ แม้กระดูก ๓๐๐ ชิ้นก็ไม่รู้ว่าเราถูกเนื้อ ๙๐๐ ชิ้นฉาบไว้ เปรียบเหมือนฝาเรือนที่ถูกฉาบด้วยดินหยาบ ดินหยาบย่อมไม่รู้ว่าเราฉาบฝาเรือนไว้ แม้ฝาเรือนก็ไม่รู้ว่าเราถูกดินหยาบฉาบไว้. ด้วยว่าเนื้อเหล่านั้น เว้นจากความคิดคำนึงและพิจารณา เป็นธรรม ฯลฯ ไม่ใช่บุคคล ท่านกล่าวไว้สิ้นเชิงว่า
นหารุ เอ็น ในเอ็นนั้น กำหนดว่า เอ็นย่อมไม่รู้ว่ากระดูก ๓๐๐ ชิ้นถูกเราผูกไว้ แม้กระดูก ๓๐๐ ชิ้นก็ไม่รู้ว่าเราถูกเอ็นผูกไว้ เปรียบเหมือนไม้คดๆ ที่ถูกเถาวัลย์พันล่ามไว้ เถาวัลย์ย่อมไม่รู้ว่าไม้คดถูกเราผูกไว้ แม้ไม้คดก็ไม่รู้ว่าเราถูกเถาวัลย์พันล่ามไว้ ฉะนั้น. ด้วยว่าเอ็นเหล่านั้น เว้นจากความคิดคำนึงและการพิจารณา เป็นธรรม ฯลฯ ไม่ใช่บุคคล. ท่านกล่าวสรุปไว้ว่า
อฏฺฐิ กระดูก กำหนดโดยสัณฐานว่ากระดูกมีสัณฐานต่างๆ กัน จริงอย่างนั้น บรรดากระดูกเหล่านั้น กระดูกปลายนิ้วเท้ามีสัณฐานเหมือนเมล็ดตุมกา ต่อจากนั้น กระดูกข้อกลางของนิ้วเท้ามีสัณฐานเหมือนเมล็ดขนุนที่ไม่เต็ม กระดูกข้อต้นมีสัณฐานเหมือนบัณเฑาะว์ อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่ามีสัณฐานเหมือนเกล็ดหางนกยูงดังนี้ก็มี กระดูกหลังเท้ามีสัณฐานเหมือนกองรากต้นกันทละตำ กระดูกส้นเท้ามีสัณฐานเหมือนเมล็ดผลตาลซึ่งมีเมล็ดเดียว กระดูกข้อเท้ามีสัณฐานเหมือนลูกกลมของเล่นที่ผูกรวมกัน กระดูกชิ้นเล็กในกระดูกแข้งมีสัณฐานเหมือนคันธนู กระดูกชิ้นใหญ่มีสัณฐานเหมือนเส้นเอ็นแห้งเพราะหิวระหาย ที่กระดูกแข้งตั้งอยู่ในกระดูกข้อเท้ามีสัณฐานเหมือนหน่อต้นเป้งลอกเปลือก ที่กระดูกแข้งตั้งอยู่ในกระดูกเข่ามีสัณฐานเหมือนยอดตะโพน กระดูกเข่ามีสัณฐานเหมือนฟองน้ำตัดข้างหนึ่ง กระดูกขาสัณฐานเหมือนด้ามมีดและขวานที่ถากเคร่าๆ ที่กระดูกขาตั้งอยู่ในกระดูกสะเอวมีสัณฐานเหมือนคันหลอดเป่าไฟของช่างทอง โอกาสที่กระดูกขาตั้งอยู่ในกระดูกสะเอวนั้นมีสัณฐานเหมือนผลบุนนาคตัดปลาย กระดูกสะเอวแม้มี ๒ ก็ติดเป็นอันเดียวกัน มีสัณฐานเหมือนเตาไฟที่ช่างหม้อสร้างไว้ อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า มีสัณฐานเหมือนหมอนข้างของดาบสดังนี้ก็มี. กระดูกตะโพกมีสัณฐานเหมือนคราบงูที่เขาวางคว่ำหน้า กระดูกสันหลัง ๑๘ ชิ้นมีช่องเล็กน้อยในที่ ๗-๘ แห่ง ภายในมีสัณฐานเหมือนผืนผ้าโพกศีรษะที่วางซ้อนๆ กัน ภายนอกมีสัณฐานเหมือนแล่งกลม กระดูกสันหลังเหล่านั้นมีหนาม ๒-๓ อัน เสมือนฟันเลื่อย. บรรดากระดูกซี่โครง ๒๔ ชิ้น ส่วนที่บริบูรณ์มีสัณฐานเหมือนเคียวชาวสิงหลที่บริบูรณ์ ส่วนที่ไม่บริบูรณ์มีสัณฐานเหมือนเคียวชาวสิงหลที่ไม่บริบูรณ์ อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ทั้งหมดนั่นแลมีสัณฐานเหมือนปีกสองข้างของไก่ขาวที่คลีออก ดังนี้ก็มี กระดูกอก ๑๔ ชิ้นมีสัณฐานเหมือนแถวแผ่นไม้คานหามเก่าๆ กระดูกหัวใจมีสัณฐานเหมือนแผ่นทัพพี กระดูกไหปลาร้ามีสัณฐานเหมือนด้ามมีดโลหะเล็กๆ บรรดากระดูกไหปลาร้าเหล่านั้น กระดูกส่วนล่างมีสัณฐานเหมือนอัฒจันท์ [พระจันทร์ครึ่งซีก] กระดูกหลังแขน มีสัณฐานเหมือนใบขวาน อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่ามีสัณฐานเหมือนจอบชาวสิงหลตัดครึ่ง ดังนี้ก็มี กระดูกแขนมีสัณฐานเหมือนด้ามกระจกเงา อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่ามีสัณฐานเหมือนด้ามมีดใหญ่ ดังนี้ก็มี กระดูกปลายแขนมีสัณฐานเหมือนเง่าตาลคู่ กระดูกข้อมือมีสัณฐานเหมือนผืนผ้าโพกศีรษะที่เขาวางติดรวมกัน กระดูกหลังมือมีสัณฐานเหมือนกองเง่าต้นกันทละตำ กระดูกข้อต้นของนิ้วมือมีสัณฐานเหมือนบัณเฑาะว์ กระดูกข้อกลางมีสัณฐานเหมือนเมล็ดขนุนที่ไม่บริบูรณ์ กระดูกข้อปลายมีสัณฐานเหมือนเมล็ดตุมกา กระดูกคอ ๗ มีสัณฐานเหมือนชิ้นหน่อไม้ไผ่ที่เขาเจาะวางเรียงไว้ กระดูกคางล่างมีสัณฐานเหมือนเชือกผูกค้อนเหล็กของช่างทอง กระดูกคางบนมีสัณฐานเหมือนไม้ชำระ ๗ อัน กระดูกเบ้าตาและโพรงจมูกมีสัณฐานเหมือนลูกตาลอ่อนที่ยังไม่ลอกเยื่อ กระดูกหน้าผากมีสัณฐานเหมือนกะโหลกสังข์แตกที่เขาวางคว่ำหน้า กระดูกกกหูมีสัณฐานเหมือนกล่องมีดโกนของช่างแต่งผม บรรดากระดูกหน้าผากและกกหู กระดูกในโอกาสที่ติดกันเป็นแผ่นตอนบนมีสัณฐานเหมือนชิ้นผ้าเก่าปิดหม้อเต็มน้ำหนาๆ กระดูกหัวมีสัณฐานเหมือนมะพร้าว คดตัดปาก กระดูกศีรษะมีสัณฐานเหมือนกะโหลกน้ำเต้าเก่าแก่ที่เสียบวางไว้. โดยทิศ กระดูกทั้งหลายเกิดในทิศทั้งสอง. โดยโอกาส กระดูกทั้งหลายตั้งอยู่ทั่วสรีระไม่มีส่วนเหลือ แต่ว่าโดยพิเศษ กระดูกศีรษะตั้งอยู่บนกระดูกคอ กระดูกคอก็ตั้งอยู่บนกระดูกสันหลัง กระดูกสันหลังก็ตั้งอยู่บนกระดูกสะเอว กระดูกสะเอวก็ตั้ง ในกระดูกนั้น กำหนดว่า กระดูกศีรษะย่อมไม่รู้ว่าเราตั้งอยู่บนกระดูกคอ ฯลฯ กระดูกข้อเท้าย่อมไม่รู้ว่าเราตั้งอยู่บนกระดูกหลังเท้า แม้กระดูกหลังเท้าก็ไม่รู้ว่าเรายกกระดูกข้อเท้าขึ้นตั้ง เปรียบเหมือน ปฏิปาฏิยฏฺฐีนี ฐิตานิ โกฏิยา อเนกสนฺธิยมิโต น เกหิจิ พทฺโธ นหารูหิ ชราย โจทิโต อเจตโน กฏฺฐกลิงฺครูปโม กระดูกทั้งหลายตั้งปลายเรียงกัน ในที่ต่อเป็นอัน มากจากกายนี้ อันสิ่งไรๆ มิได้ผูกไว้ กายนี้หากเอ็น ทั้งหลายผูกรัดไว้ อันชราเตือนแล้ว ไม่มีเจตนา [ใจ] อุปมาดังท่อนไม้.
อฏฺฐิมิญฺชํ เยื่อในกระดูก ในเยื่อกระดูกนั้นก็กำหนดว่า เยื่อกระดูกย่อมไม่รู้ว่าเราอยู่ภายในกระดูก แม้กระดูกก็ไม่รู้ว่าเยื่อกระดูกอยู่ภายในเรา เปรียบเหมือนนมส้มและน้ำอ้อยอยู่ภายในไม้ไผ่และอ้อเป็นต้น ย่อมไม่รู้ว่าเราอยู่ภายในไม้ไผ่และอ้อเป็นต้น แม้ไม้ไผ่และอ้อเป็นต้นก็ไม่รู้ว่านมส้มและน้ำอ้อยอยู่ภายในเรา ฉะนั้น จริงอยู่ ธรรมเหล่านี้เว้นความคิดคำนึงและการพิจารณา ฯลฯ ไม่ใช่บุคคล. โดยปริเฉท เยื่อในกระดูกตัดตอนด้วยพื้นภายในกระดูกทั้งหลาย และด้วยส่วนแห่งเยื่อในกระดูก นี้เป็นการกำหนดเยื่อในกระดูกนั้นโดยสภาค ส่วนการกำหนดโดยวิสภาค ก็เช่นเดียวกับผมนั่นแล. กำหนดเยื่อกระดูกโดยวรรณะเป็นต้น มีประการดังกล่าวมาฉะนี้ วกฺกํ ไต ในไตนั้น ก็กำหนดว่า ไตย่อมไม่รู้ว่า เราถูกเอ็นหยาบรัดไว้ แม้เอ็นหยาบก็ไม่รู้ว่า เรารัดไตไว้ เปรียบเหมือนมะม่วง ๒ ผลติดขั้วเดียวกัน ย่อมไม่รู้ว่า เราถูกขั้วรัดไว้ แม้ขั้วก็ไม่รู้ว่าเรารัดมะม่วง ๒ ผลไว้ฉะนั้น ด้วยว่า ธรรมเหล่านี้ เว้นจากความคิดคำนึงและการพิจารณา ฯลฯ ไม่ใช่บุคคล โดยปริเฉทว่า ไตตัดตอนด้วยส่วนแห่งไต นี้เป็นการกำหนดไตนั้นโดยสภาค ส่วนการกำหนดโดยวิสภาค ก็เช่นเดียวกับผมนั่นแล กำหนดไตโดยวรรณะเป็นต้น มีประการดังกล่าวมาฉะนี้. หทยํ หัวใจ ในหัวใจนั้น ก็กำหนดว่า หัวใจย่อมไม่รู้ว่าเราตั้งอยู่ตรงกลางราวนมทั้งสอง แม้ราวนมก็ไม่รู้ว่าหัวใจตั้งอยู่ตรงกลางเรา เปรียบเหมือนกลอนสลักตั้งอยู่กลางบานหน้าต่างและประตูทั้งสอง ย่อมไม่รู้ว่าเราตั้งอยู่ตรงกลางบานหน้าต่างและประตูทั้งสอง แม้บานหน้าต่างและประตูก็ไม่รู้ว่ากลอนสลักตั้งอยู่กลางเรา ฉะนั้น ด้วยว่า ธรรมเหล่านั้นเว้นจากความคิดคำนึงและการพิจารณา ฯลฯ ไม่ใช่บุคคล โดยปริเฉท ก็กำหนดว่า หัวใจตัดตอนด้วยส่วนแห่งหัวใจ นี้เป็นการกำหนดหัวใจนั้นโดยสภาค ส่วนการกำหนดโดยวิสภาค ก็เช่นเดียวกับผมนั่นแล กำหนดหัวใจโดยวรรณะเป็นต้น มีประการดังกล่าวมาฉะนี้. ยกนํ ตับ ในตับนั้น ก็กำหนดว่า ตับย่อมไม่รู้ว่าเราอาศัยสีข้างด้านขวาตั้งอยู่ภายในราวนมทั้งสอง แม้สีข้างด้านขวาภายในราวนมทั้งสองก็ไม่รู้ว่าตับอาศัยเราตั้งอยู่ เปรียบเหมือนชิ้นเนื้อซึ่งแขวนอยู่ที่ข้างกระเบื้องหม้อ ย่อมไม่รู้ว่าเราแขวนอยู่ที่ตั้งกระเบื้องหม้อ แม้ข้างกระเบื้องหม้อก็ไม่รู้ว่าชิ้นเนื้อแขวนอยู่ที่เรา ฉะนั้น ด้วยว่า ธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดคำนึงและการพิจารณา ฯลฯ ไม่ใช่บุคคล. แต่โดยปริเฉท กำหนดว่า ตับตัดตอนด้วยส่วนแห่งตับ นี้เป็นการกำหนดตับนั้นโดยสภาค ส่วนการกำหนดโดยวิสภาคก็เช่นเดียวกับผมนั่นแล. กำหนดตับโดยวรรณะเป็นต้น มีประการดังกล่าวมาฉะนี้. กิโลมกํ พังผืด ในพังผืดนั้น กำหนดว่า พังผืดย่อมไม่รู้ว่าเราล้อมหัวใจและไต และหุ้มเนื้อใต้หนังทั่วสรีระ แม้หัวใจและไต และเนื้อทั่วสรีระ ก็ไม่รู้ว่าเราถูกพังผืดหุ้ม เปรียบเหมือนที่เนื้ออันถูกผ้าเก่าหุ้ม ผ้าเก่าก็ไม่รู้ว่าเราหุ้มเนื้อ แม้เนื้อก็ไม่รู้ว่าเราถูกผ้าเก่าหุ้ม ฉะนั้น ด้วยว่า ธรรมเหล่านี้ เว้นจากความคิดคำนึงและการพิจารณา ฯลฯ ไม่ใช่บุคคล. โดยปริเฉท ก็กำหนดว่า พังผืดเบื้องล่างตัดตอนด้วยเนื้อ เบื้องบนตัดตอนด้วยหนัง เบื้องขวางตัดตอนด้วยส่วนแห่งพังผืด นี้เป็นการกำหนดพังผืดนั้นโดยสภาค. ส่วนการกำหนดโดยวิสภาค ก็เช่นเดียวกับผมนั่นแล. กำหนดพังผืดโดยวรรณะเป็นต้น มีประการดังกล่าวมาฉะนี้ ปิหกํ ม้าม ในม้ามนั้น ก็กำหนดว่า ม้ามย่อมไม่รู้ว่าเราอาศัยส่วนข้างบนของพื้นท้อง แม้ส่วนข้างบนของพื้นท้องก็ไม่รู้ว่าม้ามอาศัยเราตั้งอยู่ เปรียบเหมือนก้อนโคมัย [มูลโค] อาศัยส่วนข้างบนของท้องตั้งอยู่ ย่อมไม่รู้ว่าเราอาศัยส่วนข้างบนของท้องตั้งอยู่ แม้ส่วนข้างบนของท้องก็ไม่รู้ว่า ก้อนโคมัยอาศัยเราตั้งอยู่ ฉะนั้น ด้วยว่า ธรรมเหล่านี้ เว้นจากความคิดคำนึงและการพิจารณา ฯลฯ ไม่ใช่บุคคล. โดยปริเฉท กำหนดว่า ม้ามตัดตอนด้วยส่วนแห่งม้าม นี่เป็นการกำหนดม้ามนั้นโดยสภาค ส่วนการกำหนดโดยวิสภาค ก็เช่นเดียวกับผมนั่นแล. กำหนดม้ามโดยวรรณะเป็นต้น มีประการดังกล่าวมาฉะนี้. ปปฺผาสํ ปอด ในปอดนั้น ก็กำหนดว่า ปอดย่อมไม่รู้ว่าเราตั้งห้อยอยู่ระหว่างราวนมทั้งสองภายในสรีระ แม้ระหว่างราวนมทั้งสองภายในสรีระ ก็ไม่รู้ว่าปอดตั้งห้อยอยู่ในเรา เปรียบเหมือนรังนกห้อยอยู่ภายในยุ้งเก่า ย่อมไม่รู้ว่าเราตั้งห้อยอยู่ภายในยุ้งเก่า แม้ภายในยุ้งเก่าก็ไม่รู้ว่ารังนกตั้งห้อยอยู่ในเรา ฉะนั้น ด้วยว่าธรรมเหล่านี้เว้นจากความคิดคำนึงและการพิจารณา ฯลฯ ไม่ใช่บุคคล นี้เป็นการกำหนดปอดนั้นโดยสภาค. ส่วนการกำหนดโดยวิสภาค ก็เช่นเดียวกับผมนั่นแล. กำหนดปอดโดยวรรณะเป็นต้น มีประการดังกล่าวมาฉะนี้. .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ อาการ ๓๒ |