บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] หน้าต่างที่ ๖ / ๑๐. ข้อความเบื้องต้น ตรัส พวกกุฎุมพีละฆราวาสออกบวช พวกภิกษุแก่ร้องไห้รำพันถึงอุบาสิกา นางอันอาพาธชนิดใดชนิดหนึ่งถูกต้องแล้ว ได้ทำกาละแล้ว. ลำดับนั้น พระเถระแก่เหล่านั้นประชุมกันในบรรณศาลาของพระเถระผู้สหาย กอดคอกันและกันร้องไห้รำพันอยู่ว่า "อุบาสิกาผู้มีรสมืออันอร่อยทำกาละเสียแล้ว." และอันภิกษุทั้งหลายวิ่งเข้าไปโดยรอบ แล้วถามว่า "นี่เรื่องอะไรกัน? ท่าน" จึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ภรรยาเก่าของสหายของพวกผมทำกาละเสียแล้ว, นางเป็นผู้มีอุปการะแก่พวกผมเหลือเกิน, บัดนี้ พวกผมจักได้ผู้เห็นปานนั้นแต่ไหน พวกผมร้องไห้เพราะเหตุนี้." พระศาสดาตรัสกากชาดกแก่ภิกษุทั้งหลาย จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ไม่ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เมื่อนางมธุรปาณิกานั้นเกิดในกำเนิดกา เที่ยวไปริมฝั่งสมุทร ถูกลูกคลื่นสมุทร (ซัด) เข้าไปสู่สมุทรให้ตายแล้ว ภิกษุเหล่านั้น (เกิด) เป็นกา ร้องไห้ร่ำไรแล้ว, คิดว่า พวกเราจักนำนางกานั้นไป จึงพากันวิดมหาสมุทรด้วยจะงอยปากลำบากแล้ว." ทรงนำอดีตนิทานมาแล้ว ตรัสกากชาดก๑- ให้พิสดารว่า :- เออก็ คางของพวกเราล้าแล้ว, และปากซีด, พวกเราจงงดเสียเถิด พวกเรา (วิดต่อไปก็) ไม่สำเร็จ, เพราะห้วงน้ำใหญ่ยังเต็มอยู่อย่างเดิม. ____________________________ ๑- ขุ. ชา. เอก. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๔๖; อรรถกถา ขุ. ชา. เอก. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๔๖; แล้วตรัสเรียกภิกษุเหล่านั้นมา ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธออาศัยป่า คือราคะ โทสะและโมหะ จึงถึงทุกข์นี้, การที่พวกเธอตัดป่านั้นเสีย ควร, พวกเธอจักเป็นผู้หมดทุกข์ได้ด้วยอาการอย่างนั้น" แล้วได้ทรงภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
แก้อรรถ ก็เมื่อพระศาสดาตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงตัดป่า" ภิกษุเหล่านั้นผู้บวชยังไม่นาน ความคิดในความเป็นผู้ใคร่เพื่อตัดต้นไม้จะเกิดขึ้นว่า "พระศาสดาย่อมให้พวกเราถือมีดเป็นต้นตัดป่า" เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาเมื่อจะทรงห้ามภิกษุเหล่านั้นว่า "เราพูดคำนั่น หมายเอาป่าคือกิเลสมีราคะเป็นต้น (ต่างหาก) มิได้พูดหมายเอาต้นไม้" จึงตรัสว่า "อย่าตัดต้นไม้." บทว่า วนโต ความว่า ภัยแต่สัตว์ร้ายมีสีหะเป็นต้น ย่อมเกิดจากป่าตามปกติ ฉันใด; แม้ภัยมีชาติเป็นต้น ย่อมเกิดจากป่า คือกิเลสฉันนั้น. ในสองบทว่า วนํ วนฏฺฐญฺจ๑- นี้ พึงทราบวินิจฉัยว่า ต้นไม้ใหญ่ ชื่อว่าป่า, ต้นไม้เล็กที่ตั้งอยู่ในป่านั้น ชื่อว่าหมู่ไม้ตั้งอยู่ในป่า. อีกอย่างหนึ่ง ต้นไม้ที่เกิดก่อนชื่อว่าป่า ที่เกิดต่อๆ กันมา ชื่อว่าหมู่ไม้ตั้งอยู่ในป่า (ฉันใด); กิเลสใหญ่ๆ อันคร่าสัตว์ไว้ในภพ ชื่อว่ากิเลสดุจป่า, กิเลสที่ให้ผลในปัจจุบัน ชื่อว่ากิเลสดุจหมู่ไม้ตั้งอยู่ในป่า; อีกอย่างหนึ่ง กิเลสที่เกิดก่อน ชื่อว่ากิเลสดุจป่า ที่เกิดต่อๆ มา ชื่อว่ากิเลสดุจหมู่ไม้ ตั้งอยู่ในป่าฉันนั้นเหมือนกัน. ก็กิเลสชาตแม้ทั้งสองอย่างนั้น อันพระโยคีพึงตัดด้วยญาณที่สัมปยุตด้วยมรรคที่ ๔ เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "จงตัดกิเลสดุจป่า และดุจหมู่ไม้ตั้งอยู่ในป่า." สองบทว่า นิพฺพนา โหถ แปลว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ไม่มีกิเลสเถิด. สองบทว่า ยาวญฺหิ วนฏฺโฐ๒- ความว่า หมู่ไม้ที่ตั้งอยู่ในป่า คือกิเลสนั่น ถึงมีประมาณนิดหน่อยของนรชน ยังไม่ขาดในนารีทั้งหลายเพียงใด, เขาก็เป็นเหมือนลูกโคตัวยังดื่มน้ำนม มีใจปฏิพัทธ์ คือมีจิตข้องในมารดาเพียงนั้น. ในเวลาจบเทศนา พระเถระแก่เหล่านั้นตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว, เทศนาได้มีประโยชน์แม้แก่บุคคลผู้ประชุมกันแล้ว ดังนี้แล. ____________________________ ๑- บาลีเป็น วนถญฺจ. ๒- ยาวํ หิ วนโถ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท มรรควรรคที่ ๒๐ |