บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] หน้าต่างที่ ๖ / ๙. ข้อความเบื้องต้น ภิกษุผู้เป็นโอรสของเจ้าวัชชีรูปใดรูปหนึ่งอยู่ในราวป่าแห่งใดแห่งหนึ่ง ใกล้เมืองไพศาลี. ก็โดยสมัยนั้นแล ในกรุงไพศาลีมีการเล่นมหรสพตลอดคืนยังรุ่ง. ครั้งนั้นแล ภิกษุนั้นได้ยินเสียงกึกก้องแห่งดนตรีที่เขาตีแล้วและประโคมแล้ว คร่ำครวญอยู่ กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า :- "พวกเราผู้เดียว ย่อมอยู่ในป่า เหมือนไม้ที่เขาทิ้งไว้ แล้วในป่า, ในราตรีเช่นนี้ บัดนี้ ใครเล่า? ที่เลวกว่าพวกเรา." ____________________________ ๑- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๗๘๓ วัชชีปุตตสูตร. ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ทุปฺปพฺพชฺชํ ทุรภิรมํ" เป็นต้น. เสียงกึกก้องเป็นปรปักษ์ต่อสมณเพศ ได้ยินเสียงกึกก้องแห่งดนตรี มีกลองเป็นต้นที่เขาตีแล้ว และเสียงดนตรีมีพิณเป็นต้นที่เขาประโคมแล้ว เมื่อพระราชาเจ็ดพันเจ็ดร้อยเจ็ดพระองค์ และข้าราชบริพารทั้งหลาย มีอุปราชและเสนาบดีเป็นต้นของพระราชาเหล่านั้น ก็มีจำนวนเท่านั้นเหมือนกัน ซึ่งมีอยู่ในกรุงไพศาลี ประดับ จงกรม (เดินกลับไปกลับมา) อยู่ที่จงกรมใหญ่ ประมาณ ๖๐ ศอก เห็นพระจันทร์เต็มดวง เด่นอยู่ในกลางท้องฟ้า ยืนพิงแผ่นกระดาน ณ ที่สุดจงกรมแล้ว มองดูอัตภาพประดุจไม้ที่เขาทิ้งไว้ในป่า เพราะความที่ตนเว้นแล้วจากผ้าสำหรับโพกและเครื่องอลังการ คิดอยู่ว่า "คนอื่นที่ เทวดากล่าวคาถาให้เกิดความสังเวช "ท่านผู้เดียว อยู่ในป่า เหมือนไม้ที่เขาทิ้งไว้ในป่า, ชนเป็นอันมาก ย่อมกระหยิ่มต่อท่านนั้น ราวกะว่าพวก สัตว์นรก กระหยิ่มต่อชนทั้งหลาย ผู้ไปสู่สวรรค์ฉะนั้น. ด้วยความประสงค์ว่า "เราจักยังภิกษุนี้ให้สังเวช" ในวันรุ่งขึ้น เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง. ____________________________ ๑- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๗๘๕. พระศาสดาทรงแสดงทุกข์ ๕ อย่าง ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
๑- ตามนัยอรรถกถา ประสงค์จะให้หมายความว่า การอยู่ร่วมกับผู้ไม่เสมอกัน. แก้อรรถ บทว่า ทุรภิรมํ ความว่า การที่กุลบุตรแม้บวชแล้วอย่างนั้น สืบต่อความเป็นไปแห่งชีวิต ด้วยการเที่ยวไปเพื่อภิกษา ยินดียิ่งด้วยสามารถแห่งการคุ้มครองคุณคือศีลอันไม่มีประมาณ และบำเพ็ญข้อปฏิบัติธรรมอันสมควรแก่ธรรมให้บริบูรณ์ เป็นการยาก. บทว่า ทุราวาสา ความว่า ก็ราชกิจของพระราชา อิสรกิจของอิสรชนทั้งหลายอันผู้ครองเรือนต้องนำไป, ชนข้างเคียงและสมณพราหมณ์ผู้ประพฤติธรรม อันผู้ครองเรือนต้องสงเคราะห์, แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ การครองเรือนก็เต็มได้ยาก เหมือนหม้อที่ทะลุและมหาสมุทร เพราะฉะนั้น ชื่อว่าเรือนเหล่านั่นที่ปกครองไม่ดี จึงชื่อว่าให้เกิดทุกข์ คือให้ลำบากเพื่อจะอยู่ครอบครอง เพราะเหตุนั้นนั่นแล. บาทพระคาถาว่า ทุกฺโข สมานสํวาโส ความว่า จริงอยู่ ชนเหล่าใดเป็นคฤหัสถ์ แม้เสมอกันโดยชาติ โคตร ตระกูลและโภคะก็ตาม เป็นบรรพชิต เสมอกันโดยคุณทั้งหลาย มีศีล อาจาระและพาหุสัจจะเป็นต้นก็ตาม (แต่) กล่าวคำเป็นต้นว่า "ท่านเป็นใคร? เราเป็นใคร?" เป็นผู้ขวนขวายในอธิกรณ์อยู่, ชนเหล่านั้น ชื่อว่าผู้ไม่เสมอกัน, ชื่อว่าการอยู่ร่วมกับชนเหล่านั้นเป็นทุกข์. บาทพระคาถาว่า ทุกฺขานุปติตทฺธคู ความว่า ชนเหล่าใด ชื่อว่าผู้เดินทางไกล เพราะความเป็นผู้ดำเนินไปสู่ทางไกล กล่าวคือวัฏฏะ ชนเหล่านั้นถูกทุกข์ติดตามแท้. สองบทว่า ตสฺมา น จทฺธคู ความว่า แม้ความเป็นผู้อันทุกข์ติดตาม ก็เป็นทุกข์ แม้ความเป็นผู้เดินทางไกล ก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น บุคคลไม่พึงเป็นผู้ชื่อว่าเดินทางไกล เพราะการเดินทางไกลกล่าวคือวัฏฏะด้วย ไม่พึงเป็นผู้อันทุกข์มีประการดังกล่าวแล้วติดตามด้วย. ในกาลจบเทศนา ภิกษุนั้นเบื่อหน่ายในทุกข์ที่พระองค์ตรัสในฐานะ ๕ แล้ว ทำลายสังโยชน์อันเป็นส่วนเบื้องต่ำ#- ๕ อันเป็นส่วนเบื้องสูง##- ๕ ดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว ดังนี้แล. ____________________________ #- สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ. ##- รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา. เรื่องภิกษุวัชชีบุตร จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปกิณณกวรรคที่ ๒๑ |