บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] [๘] [๙] [๑๐] [๑๑] [๑๒] หน้าต่างที่ ๑๐ / ๑๒. ข้อความเบื้องต้น ปัญหา ๔ ข้อของเทวดา บรรดาทานทั้งหลาย ทานชนิดไหนหนอแล? บัณฑิตกล่าวว่าเยี่ยม, บรรดารสทั้งหลาย รสชนิดไหน? บัณฑิตกล่าวว่ายอด, บรรดาความยินดีทั้งหลาย ความยินดีชนิดไหน? บัณฑิตกล่าวว่าเลิศ, ความสิ้นไปแห่งตัณหาแล บัณฑิตกล่าวว่าประเสริฐที่สุด เพราะเหตุไร? แม้เทพดาองค์หนึ่งก็มิสามารถจะวินิจฉัยปัญหาเหล่านั้นได้. ก็เทพดาองค์หนึ่งถามกะเทพดาองค์หนึ่ง, แม้เทพดาองค์นั้นก็ถามเทพดาองค์อื่นอีก, ก็เทพดาทั้งหลายถามกันและกันอย่างนี้ ด้วยอาการอย่างนี้ ได้ท่องเที่ยวไปในหมื่นจักรวาลถึง ๑๒ ปี. เทวดาพากันไปถามปัญหาท้าวมหาราชทั้ง ๔ เมื่อท้าวมหาราชกล่าวว่า "ชื่อปัญหาอะไรกัน? พ่อ" (จึงบอกเนื้อความนั้น) ว่า "พวกผมไม่สามารถวินิจฉัยปัญหาเหล่านี้ได้ คือ บรรดาทาน รสและความยินดี ทาน รสและความยินดีชนิดไหนหนอแล ประเสริฐสุด? ความสิ้นไป ท้าวมหาราชทั้ง ๔ กล่าวว่า "พ่อทั้งหลาย แม้พวกเราก็หารู้เนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ไม่ แต่พระราชาของพวกเรา ทรงดำริอรรถที่ชนตั้งพันคิดแล้ว ย่อมทรงทราบโดยขณะเดียวเท่านั้น พระองค์ประเสริฐวิเศษกว่าพวกเราทั้งหลาย ทั้งทางปัญญาและทางบุญ พวกเราจงไปยังสำนักของพระองค์เถิด" แล้วพาหมู่เทพดานั้นนั่นแลไปยังสำนักของท้าวสักกเทวราช ถึงเมื่อท้าวสักกเทวราชนั้นตรัสว่า "พ่อทั้งหลาย ทำไมจึงมีเทพสันนิบาตกันใหญ่?" ก็กราบทูลเนื้อความนั้น. ท้าวสักกะทรงพาพวกเทวดาไปเฝ้าพระศาสดา เมื่อพระศาสดาตรัสว่า "มหาบพิตร ทำไมพระองค์จึงเสด็จมาพร้อมกับหมู่เทพดามากมาย?" จึงกราบทูลว่า "พระเจ้าข้า หมู่เทพดาพากันตั้งปัญหาชื่อเหล่านี้ คนอื่นที่ชื่อว่าสามารถรู้เนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ได้ หามีไม่ ขอพระองค์ได้ทรงประกาศเนื้อความแห่งปัญหาเหล่านี้ แก่พวกข้าพระองค์เถิด." พระศาสดาทรงแก้ปัญหา บรรดาทานทุกชนิด ธรรมทานเป็นเยี่ยม, บรรดารสทุกชนิด รสแห่งพระธรรมเป็นยอด, บรรดาความยินดีทุกชนิด ความยินดีในธรรมประเสริฐ ส่วนความสิ้นไปแห่งตัณหาประเสริฐที่สุดแท้ เพราะความเป็นเหตุให้สัตว์บรรลุพระอรหัต" ____________________________ ๑- หมายถึงบริจาค ๕ คือ:- ๑. องฺคปริจฺจาค บริจาคอวัยวะ. ๒. ธนปริจฺจาค บริจาคทรัพย์. ๓. ปุตฺตปริจฺจาค บริจาคบุตร. ๔. ทารปริจฺจาค บริจาคเมีย. ๕. ชีวิตปริจฺจาค บริจาคชีวิต. ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า :-
แก้อรรถ ก็ถ้าบุคคลพึงถวายไตรจีวรเช่นกับใบตองอ่อนแด่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วพระขีณาสพทั้งหลาย ผู้นั่งติดๆ กันในห้องจักรวาล ตลอดถึงพรหมโลก. การอนุโมทนาเทียวที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงทำด้วยพระคาถา ๔ บาทในสมาคมนั้นประเสริฐ; ก็ทานนั้นหามีค่าถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งพระคาถานั้นไม่ การแสดงก็ดี การกล่าวสอนก็ดี การสดับก็ดีซึ่งธรรมเป็นของใหญ่ ด้วยประการฉะนี้. อนึ่ง บุคคลใดให้ทำการฟังธรรม อานิสงส์เป็นอันมากก็ย่อมมีแก่บุคคลนั้นแท้. ธรรมทานนั่นแหละที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นให้เป็นไปแล้ว แม้ด้วยอำนาจอนุโมทนา โดยที่สุดด้วยพระคาถา ๔ บาท ประเสริฐที่สุดกว่าทานที่ทายกบรรจุบาตรให้เต็มด้วยบิณฑบาต อันประณีตแล้วถวายแก่บริษัทเห็นปานนั้นนั่นแหละบ้าง กว่าเภสัชทานที่ทายกบรรจุบาตรให้เต็มด้วยเนยใสและน้ำมันเป็นต้น แล้วถวายบ้าง กว่าเสนาสนทานที่ทายกให้สร้างวิหารเช่นกับมหาวิหาร และปราสาทเช่น กว่าการบริจาคที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นต้นปรารภวิหารทั้งหลาย แล้วทำบ้าง. เพราะเหตุไร? เพราะว่า ชนทั้งหลายเมื่อจะทำบุญเห็นปานนั้น ต่อฟังธรรมแล้วเท่านั้นจึงทำได้ ไม่ อีกอย่างหนึ่ง เว้นพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าเสีย แม้พระสาวกทั้งหลายมีพระสารีบุตรเป็นต้นผู้ประกอบด้วยปัญญาซึ่งสามารถนับหยาดน้ำได้ ในเมื่อฝนตกตลอดกัลป์ทั้งสิ้น ก็ยังไม่สามารถจะบรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น โดยธรรมดาของตนได้ ต่อฟังธรรมที่พระอัสสชิเถระเป็นต้นแสดงแล้ว จึงทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล และทำให้แจ้งซึ่งสาวกบารมีญาณ ด้วยพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เพราะเหตุแม้นี้ มหาบพิตร๑- ธรรมทานนั่นแหละจึงประเสริฐที่สุด. เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า "สพฺพทานํ ธมฺมทานํ ชินาติ." อนึ่ง รสมีรสเกิดแต่ลำต้นเป็นต้นทุกชนิด โดยส่วนสูงแม้รสแห่งสุธาโภชน์ของเทพดาทั้งหลาย ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการยังสัตว์ให้ตกไปในสังสารวัฏ แล้วเสวยทุกข์โดยแท้. ส่วนพระธรรมรส กล่าวคือโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ และกล่าวคือโลกุตร เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า "สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ." อนึ่ง แม้ความยินดีในบุตร ความยินดีในธิดา ความยินดีในทรัพย์ ความยินดีในสตรี และความยินดีมีประเภทมิใช่อย่างเดียว อันต่างด้วยความยินดีในการฟ้อนการขับการประโคมเป็นต้น ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการยังสัตว์ให้ตกไปใน ส่วนความอิ่มใจซึ่งเกิดขึ้น ณ ภายในของผู้แสดงก็ดี ผู้ฟังก็ดี ผู้กล่าวสอนก็ดี ซึ่งธรรม ย่อมให้เกิดความเบิกบานใจ ให้น้ำตาไหล ให้เกิดขนชูชัน ความอิ่มใจนั้น ย่อมทำที่สุดแห่ง เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า "สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ." ____________________________ ๑- น่าจะเป็นบทเกิน, เพราะใครไม่สามารถทำเนื้อความเช่นนี้ ให้พระดำรัสของพระศาสดาได้. ส่วนความสิ้นไปแห่งตัณหา คือพระอรหัตซึ่งเกิดขึ้นในที่สุดแห่งความสิ้นไปแห่งตัณหา พระอรหัตนั้นประเสริฐกว่าทุกอย่างแท้ เพราะครอบงำวัฏทุกข์แม้ทั้งสิ้น. เพราะเหตุนั้น พระศาสดาจึงตรัสว่า "ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ." เมื่อพระศาสดาตรัสเนื้อความแห่งพระคาถานี้ ด้วยประการฉะนี้ อยู่นั่นแล ธรรมาภิสมัยได้มีแก่สัตว์ ๘ หมื่น ๔ พันแล้ว. แม้ท้าวสักกะทรงสดับธรรมกถาของพระศาสดา ถวายบังคมพระศาสดา แล้วทูลว่า "พระเจ้าข้า เพื่อประโยชน์อะไร พระองค์จึงไม่รับสั่งให้ให้ส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์ ในธรรมทานอันชื่อว่าเยี่ยมอย่างนี้? จำเดิมแต่นี้ไป ขอพระองค์ได้โปรดตรัสบอกแก่ภิกษุสงฆ์แล้วรับสั่งให้ๆ ส่วนบุญแก่พวกข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า." พระศาสดาทรงสดับคำของท้าวเธอแล้ว รับสั่งให้ภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเธอทำการฟังธรรมใหญ่ก็ดี การฟังธรรมตามปกติก็ดี กล่าวอุปนิสินนกถาก็ดี โดยที่สุดแม้การอนุโมทนา แล้วพึงให้ส่วนบุญแก่สัตว์ทั้งปวง." เรื่องท้าวสักกเทวราช จบ. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ตัณหาวรรคที่ ๒๔ |