ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 126อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 127อ่านอรรถกถา 26 / 128อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ มหาวรรคที่ ๔
๗. ราชปุตตเปตวัตถุ

               อรรถกถาราชปุตตเปตวัตถุที่ ๗               
               พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภเปรตราชบุตร ได้ตรัสพระคาถานี้มีคำเริ่มต้นว่า ปุพฺเพ กตานํ กมฺมานํ ดังนี้
               ในเรื่องนั้น ในอดีตกาล โอรสของพระเจ้ากิตวะ ผิดในพระปัจเจกพุทธเจ้าในอดีตไหม้ในนรกหลายพันปี ด้วยเศษแห่งวิบากของกรรมนั้นนั่นแหละ เขาจึงเกิดในหมู่เปรต ท่านประสงค์เอาว่า เปรตราชบุตร ในที่นี้.
               เรื่องของเปรตราชบุตรนั้นมาโดยพิสดารในเรื่องสานุวาสิเปรต ในหนหลังนั่นแล เพราะฉะนั้น ควรถือเอาโดยนัยที่กล่าวแล้วในเรื่องสานุวาสิเปรตนั่นเอง.
               จริงอยู่ ในกาลนั้น เมื่อพระเถระกล่าวประวัติของเปรตผู้เป็นญาติของตน พระศาสดาจึงตรัสว่า ไม่ใช่เปรตผู้เป็นญาติของท่านอย่างเดียวเท่านั้น โดยที่แท้ แม้ท่านก็จากโลกนี้ ไปเป็นเปรต เสวยทุกข์อย่างใหญ่ในอัตภาพ อันเป็นอดีตโดยลำดับ ดังนี้ อันพระเถระนั้นทูลอาราธนาแล้ว จึงตรัสเปตวัตถุนี้ว่า :-
               ผลแห่งกรรมทั้งหลายที่พระราชโอรสได้ทำไว้ในชาติก่อน พึงย่ำยีหัวใจ พระราชโอรสได้เสวยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันน่ารื่นรมย์ใจและการฟ้อนรำขับร้อง ความยินดี ความสนุกสนานเป็นอันมาก เสด็จเที่ยวไปในสวนแล้วเสด็จเข้าไปยังเมืองราชคฤห์ ได้ทรงเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าสุเนตตะ ผู้มีตนอันฝึกแล้ว มีจิตตั้งมั่น มักน้อย สมบูรณ์ด้วยหิริ ยินดีในอาหาร เฉพาะที่มีอยู่ในบาตร จึงเสด็จลงจากคอช้าง แล้วตรัสถามว่า ได้อะไรบ้าง พระผู้เป็นเจ้า แล้วจับบาตรของพระปัจเจกพุทธเจ้ายกขึ้นสูงแล้วทุ่มลงที่พื้นดินให้แตก ทรงพระศรวลหลีกไปหน่อยหนึ่ง ได้ตรัสกะพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้แลดูอยู่ด้วยอำนาจความกรุณา ว่าเราเป็นโอรสของพระเจ้ากิตวะ แน่ะภิกษุ ท่านจักทำอะไรเรา
               พระราชโอรสยัดเยียด (ตก) อยู่ในนรก ได้เสวยผลอันเผ็ดร้อนของกรรมอันหยาบช้านั้น พระราชโอรสผู้เป็นพาล ทำบาปหยาบช้าไว้ จึงได้ประสบทุกข์อันกล้าแข็งอยู่ในนรก ๘๔,๐๐๐ ปี นอนหงายบ้าง นอนคว่ำบ้าง นอนตะแคงซ้ายบ้าง นอนตะแคงขวาบ้าง เท้าชี้ขึ้นข้างบนบ้าง ยืนอยู่อย่างนั้นบ้าง หมกไหม้อยู่สิ้นกาลนาน ทำบาปหยาบช้าไว้ จึงได้ประสบทุกข์อันกล้าแข็งในนรก หลายหมื่นปีเป็นอันมาก
               บุคคลผู้มีการงานอันลามก พากันประทุษร้ายฤๅษีผู้ไม่ประทุษร้ายต่อผู้ประทุษร้าย ผู้มีวัตรอันงาม ได้เสวยทุกข์อันเผ็ดร้อนอย่างยิ่งเห็นปานนี้ และเปรตผู้เป็นพระราชโอรสเสวยทุกข์เป็นอันมากในนรกนั้นสิ้นหลายปี จุติจากนรกแล้วมาเกิดเป็นเปรตอดอยากอีก
               บุคคลรู้โทษอันเกิดเพราะอำนาจความมัวเมาในความเป็นใหญ่อย่างนี้แล้ว พึงละความมัวเมาในความเป็นใหญ่เสีย แล้วพึงประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ควรอ่อนน้อม
               ผู้ใดมีความเคารพในพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ ผู้นั้นอันบุคคลพึงสรรเสริญในปัจจุบัน เป็นคนมีปัญญา เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงสวรรค์.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปุพฺเพ กตานํ กมฺมานํ วิปาโกมถเย มนํ ความว่า ผลแห่งอกุศลกรรมที่พระราชโอรสกระทำไว้ในชาติก่อน เกิดเป็นผลอันยิ่ง ย่ำยี ครอบงำ จิตของคนอันธพาล. อธิบายว่า พึงยังประโยชน์ของตนให้เกิดขึ้น โดยมุ่งจะทำความพินาศให้แก่คนเหล่าอื่น.
               บัดนี้ เพื่อจะแสดงผลแห่งอกุศลกรรมนั้นอันเป็นเครื่องย่ำยีจิต พร้อมด้วยอารมณ์ ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า รูป เสียง ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รูเป ได้แก่ เพราะเหตุแห่งรูป. อธิบายว่า เพราะได้รูปารมณ์ตามที่ปรารถนา ที่น่าชอบใจเป็นนิมิต.
               แม้ในบทว่า สทฺเท ดังนี้เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
               เมื่อจะทรงแสดงกำหนดความที่กล่าวแล้วโดยทั่วไป โดยเป็นความไม่ทั่วไปอย่างนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า การฟ้อน การขับ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รตึ ได้แก่ ซึ่งความยินดีในกาม.
               บทว่า ขิฑฺฑํ ได้แก่ การเล่นด้วยสหายเป็นต้น.
               บทว่า คิริพฺพชํ ได้แก่ กรุงราชคฤห์.
               บทว่า อิสึ ความว่า ชื่อว่าฤๅษี เพราะอรรถว่าแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่มีศีลขันธ์เป็นต้น อันเปนของพระอเสกขะ.
               บทว่า สุเนตฺตํ ได้แก่ อตฺตทนฺตํ ได้แก่ ผู้มีจิตอันฝึกแล้วด้วยการฝึกอย่างสูง.
               บทว่า สมาหิตํ ได้แก่ ผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วด้วยสมาธิอันสัมปยุตต์ด้วยพระอรหัตตผล.
               บทว่า อุญฺเฉ ปตฺตคเต รตํ ได้แก่ ผู้ยินดี คือสันโดษในอาหารที่อยู่ในบาตร คือที่นับเนื่องในบาตร อันได้มาด้วยการแสวงหา คือด้วยการภิกษาจาร.
               บทว่า ลทฺธา ภนฺเตติ จาพฺรวิ ความว่า ตรัสเพื่อให้เกิดความคุ้นเคยว่า ท่านขอรับ ท่านภิกษาบ้างไหม.
               บทว่า อุจฺจํ ปคฺคยฺห ได้แก่ ยกบาตรขึ้นให้สูง.
               บทว่า ถณฺฑิเล ปตฺตํ ภินฺทิตฺวา ได้แก่ ทำลายบาตรให้แตกโยนไปในภูมิประเทศอันแข็ง.
               บทว่า อปกฺกมิ ได้แก่ หลีกไปหน่อยหนึ่ง.
               ก็พระราชโอรสเมื่อจะหลีกไปหน่อยหนึ่ง. ก็พระราชโอรสเมื่อจะหลีกไปจึงกล่าวว่า เราเป็นโอรสของพระเจ้ากิตวะ ดูก่อนภิกษุ ท่านจักทำอะไรเราดังนี้ กะพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้แลดูด้วยความกรุณาว่า คนอันธพาลได้ทำความพินาศอันใหญ่หลวงให้แก่ตน โดยเหตุอันไม่สมควรเลย.
               บทว่า ผรุสสฺส แปลว่า หยาบช้า.
               บทว่า กฏโก แปลว่า ไม่น่าปรารถนา.
               บทว่า ยํ โยควิปากํ แปลว่า วิบากใด.
               บทว่า สมปฺปิโต ได้แก่ ติดอยู่แล้ว.
               บทว่า ฉเฬว จตุราสีติ วสฺสานิ นหุตานิ จ ความว่า นอนหงาย นอนคว่ำ นอนตะแคงซ้าย นอนตะแคงขวา เอาเท้าขึ้นบนหัวห้อยลงและยืนอยู่ตามเดิม อย่างละ ๘๔,๐๐๐ ปีรวมเป็น ๖ ครั้งๆ ละ ๘๔,๐๐๐ ปี ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
               พระราชโอรสผู้เป็นอันธพาล หมกไหม้ในนรก คือนอนหงาย นอนคว่ำ นอนตะแคงซ้าย นอนตะแคงขวา เอาเท้าขึ้นข้างบนหัวลงล่างและยืนอยู่ตามปกติ สิ้นกาลนาน.
               ก็เพราะเหตุที่มีหลายหมื่นปี ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า นหุตานิ หลายหมื่นปี.
               บทว่า ภุสํ ทุกฺขํ นิคจฺฉิตฺโถ ความว่า ประสบทุกข์อย่างยิ่ง.
               บทว่า ปูคานิ ได้แก่ ในการประชุมแห่งปี แต่ในคาถานี้และในคาถาต้น พึงเห็นว่า เป็นทุติยาวิภัติลงในอรรถแห่งอัจจันตสังโยค แปลว่า ตลอด.
               บทว่า เอตาทิส คือ เห็นปานนั้น.
               บทว่า กฏกํ ได้แก่ ทุกข์หนักนี้ เป็นการแสดงออกแห่งนปุํสกลิงค์ เหมือนในประโยคว่า นั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่งเป็นต้น.
               มีวาจาประกอบความว่า บุคคลผู้มีการงานอันลามก พากันประทุษร้าย คือรุกรานฤๅษีผู้ไม่ประทุษร้ายต่อผู้ประทุษร้าย คือผู้มีวัตรดี ย่อมประสบทุกข์เห็นปานนี้ อันเผ็ดร้อนยิ่งนัก.
               บทว่า โส ได้แก่ เปรตราชบุตรนั้น.
               บทว่า ตตฺถ คือ ในนรก.
               บทว่า เวทยิตฺวา แปลว่า เสวย.
               บทว่า นาม ได้แก่ โดยความเป็นผู้ปรากฏโดยแจ้งชัด.
               บทว่า ตโต จุโต ได้แก่ จุติจากนรก.
               คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้มหาชนผู้ประชุมกันในที่นั้นเกิดความสังเวช ด้วยกถาว่าด้วยราชบุตรเปรตอย่างนี้แล้ว จึงประกาศสัจจะยิ่งๆ ขึ้นไป.
               ในเวลาจบสัจจะ ชนเป็นอันมากบรรลุโสดาปัตติผลเป็นต้น ฉะนี้แล.

               จบอรรถกถาราชปุตตเปตวัตถุที่ ๗               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ มหาวรรคที่ ๔ ๗. ราชปุตตเปตวัตถุ จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 126อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 127อ่านอรรถกถา 26 / 128อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=4759&Z=4785
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=31&A=6260
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=31&A=6260
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :