บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร? ได้ยินว่า ท่านได้ถวายน้ำดื่มให้เป็นทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ และแก่ภิกษุสงฆ์. ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิขี ได้เป็นอุบาสกอีก ได้กระทำบุญกรรมเป็นอันมาก อันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน ด้วยบุญกรรมเหล่านั้น ท่านท่องเที่ยวไปในสุคติภพนั้นๆ แล้ว เกิดเป็นบุตรของพราหมณ์นามว่าสมิทธิ ในนาลคาม แคว้นมคธ ในพุทธุปบาทกาลนี้. เขาจึงมีชื่อว่ามหาวัจฉะ. เขาเจริญวัยแล้ว สดับความที่ท่านพระสารีบุตรเป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วคิดว่าแม้ขึ้นชื่อว่าท่านพระสารีบุตรนั้นเป็นผู้มี สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ในภิกษุสงฆ์ผู้ยอดเยี่ยมของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ จึงได้ตักน้ำใส่หม้อน้ำฉันจนเต็ม ในเวลาที่เราจะต้องการน้ำ จะเป็นยอดภูเขา ยอดไม้ ในอากาศหรือพื้นดิน น้ำย่อมเกิดแก่เราทันที ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เราได้ให้ทานใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการให้น้ำเป็นทาน เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ภพทั้งปวงเราถอนขึ้นแล้ว ฯลฯ อภิญญา ๖ เรากระทำให้แจ้งแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้าเรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้. ก็ท่านครั้นบรรลุพระอรหัตอย่างนี้แล้ว เสวยวิมุตติสุขอยู่ เพื่อจะให้เกิดความอุตสาหะแก่เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย ด้วยการแสดงให้เห็นชัดซึ่งข้อที่พระศาสนาเป็นนิยยานิกธรรม จึงได้ภาษิตคาถาว่า ภิกษุมีกำลังปัญญา สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตร มีจิตตั้งมั่น ยินดีในฌาน มีสติ บริโภคโภชนะตามมี ตามได้ มีราคะไปปราศแล้ว พึงหวังได้ซึ่งกาลปริ นิพพานในศาสนานี้ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺญาพลี ความว่า ผู้ประกอบไปด้วยปัญญาอันดียิ่งเนืองๆ ด้วยสามารถแห่งปาริหาริกปัญญาและวิปัสสนาปัญญา. บทว่า สีลวตูปปนฺโน ความว่า เข้าถึงแล้ว คือ ประกอบแล้วด้วยจาตุปาริสุทธิศีลอันอุกฤษฏ์ และด้วยวัตรกล่าวคือธุดงคธรรม. บทว่า สมาหิโต ความว่า ประกอบด้วยสมาธิต่างด้วยอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ. บทว่า ฌานรโต ความว่า ต่อแต่นั้นไปจึงยินดี คือหมั่นประกอบติดต่อกันไปในอารัมมณูปนิชฌานและในลักขณูปนิชฌาน. ชื่อว่ามีสติ เพราะไม่อยู่ปราศจากสติในกาลทั้งปวง. บทว่า ยทตฺถิยํ ความว่า การบริโภคที่ไม่ปราศจากประโยชน์ ชื่อว่าอัตถิยะ ชื่อว่ายทัตถิยะ เพราะเหตุที่บริโภคโภชนะมีประโยชน์ หมายความว่า การบริโภคของผู้ที่บริโภคปัจจัยเช่นใด ย่อมชื่อว่ามีประโยชน์ ก็บริโภคโภชนะเช่นนั้น. คำว่า การบริโภคโภชนะที่มีประโยชน์ นั้นย่อมมีได้ด้วยสามีบริโภค หรือด้วยทายาทบริโภค ไม่ใช่บริโภคโดยประการอื่น นี้พึงเห็นเป็นเพียงตัวอย่าง. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าโภชนะ ด้วยอรรถว่าอันบุคคลพึงกินพึงบริโภค ได้แก่ปัจจัย ๔. ปาฐะว่า ยทตฺถิกํ ดังนี้บ้าง ปัจจัย ๔ อันพระศาสดาทรงอนุญาตแล้วเพื่ออันใด คือเพื่อประโยชน์อันใด เพื่อประโยชน์อันนั้น คือเพื่อประโยชน์มีการตั้งอยู่แห่งกายเป็นต้น และการตั้งอยู่แห่งกายนั้น ก็เพื่ออนุปาทิเสสนิพพาน เพราะฉะนั้น เมื่อภิกษุบริโภคปัจจัยคือโภชนะ เพื่อประโยชน์แก่อนุปาทาทิเสสปรินิพพาน ต่อแต่นั้นก็พึงหวังกาลปรินิพพาน คือพึงคอยท่าอนุปาทาปรินิพพานกาลของตน ชื่อว่ามีราคะไปปราศแล้วในที่นี้ คือในพระศาสนานี้. อธิบายว่า ก็คุณธรรมข้อนี้ย่อมไม่มีแก่คนภายนอกผู้แม้มีราคะในกามทั้งหลายปราศไปแล้ว. จบอรรถกถามหาวัจฉเถรคาถา ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ทุติยวรรค ๒. มหาวัจฉเถรคาถา จบ. |