ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 151อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 152อ่านอรรถกถา 26 / 153อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ทุติยวรรค
๕. กุณฑธานเถรคาถา

               อรรถกถากุณฑธานเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระกุณฑธานเถระ เริ่มต้นว่า ปญฺจ ฉินฺเท ปญฺจ ชเห.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร ?
               ได้ยินว่า ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านเกิดในเรือนมีตระกูล ในพระนครหงสาวดี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า โดยนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล ฟังธรรมอยู่ เห็นภิกษุรูปหนึ่งอันพระศาสดาทรงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งภิกษุผู้เลิศแห่งภิกษุผู้จับสลากก่อน ปรารถนาตำแหน่งนั้น กระทำสมควรแก่ฐานันดรนั้น ท่องเที่ยวไปแล้ว.
               ครั้นวันหนึ่ง เขาได้น้อมถวายเครือกล้วยใหญ่สีเหลืองเหมือนจุณแห่งมโนศิลาแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติแล้วประทับนั่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับเครือกล้วยนั้น แล้วทรงเสวย.
               ด้วยบุญกรรมนั้น เขาเสวยราชสมบัติทิพย์ในหมู่เทพ ๑๑ ครั้ง ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๔ ครั้ง เขากระทำบุญบ่อยๆ อย่างนี้ แล้วท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดเป็นภุมมเทวดา ในกาลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ.
               ก็ธรรมดาพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืนทั้งหลาย ย่อมไม่มีอุโบสถทุกๆ กึ่งเดือน จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี ได้มีอุโบสถในระหว่าง ๖ ปี. ส่วนพระทศพลทรงพระนามว่ากัสสปะ สวดปาฏิโมกข์ทุกๆ ๖ เดือน.
               ในการสวดพระปาฏิโมกข์นั้น ภิกษุผู้เป็นสหายกัน ๒ รูปผู้อยู่ประจำ เดินทางไปด้วยคิดว่าจักกระทำอุโบสถ. ภุมมเทวดาตนนี้คิดว่า ภิกษุ ๒ รูปนี้รักกันแน่นหนาเหลือเกิน เมื่อมีผู้ทำลาย (ให้แตกกัน) จะแตกกันหรือไม่หนอ มองหาโอกาส (ทำลาย) ภิกษุทั้งสองอยู่ เดินไปไม่ห่างภิกษุสองรูปนั้นนัก.
               ครั้งนั้น พระเถระรูปหนึ่งให้พระเถระอีกรูปหนึ่งถือบาตรและจีวรไว้ เดินไปสู่ที่ๆ มีน้ำสะดวก เพื่อขับถ่ายสรีระ ล้างมือล้างเท้าแล้ว ออกจากที่ใกล้พุ่มไม้.
               ภุมมเทวดาเดินตามหลังพระเถระนั้นไป แปลงเพศเป็นหญิงรูปงาม ทำประหนึ่งสยายผมแล้วเกล้าใหม่ ทำประหนึ่งปัดฝุ่นที่หลัง และ ทำเป็นประหนึ่งจัดผ้านุ่งใหม่ เดินตามรอยเท้าพระเถระไป ออกจากพุ่มไม้แล้ว.
               พระเถระผู้เป็นสหายยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง เห็นเหตุนั้นแล้วเกิดโทมนัสคิดว่า บัดนี้ ความรักที่ติดต่อกันมาเป็นเวลานานกับภิกษุนี้ ฉิบหายแล้ว ถ้าเราพึงรู้ว่าเธอเป็นผู้มีกิเลสมากอย่างนี้ เราจักไม่ทำความคุ้นเคยกับภิกษุนี้ ตลอดกาลนานประมาณเท่านี้ ดังนี้
               เมื่อพระเถระนั้นมาถึงเท่านั้นก็กล่าวว่า นิมนต์รับเอาบาตรจีวรของท่านไปเถิดอาวุโส เราไม่ปรารถนาจะร่วมทางกับผู้ที่ลามกเช่นท่าน หทัยของภิกษุผู้ลัชชีนั้นฟังถ้อยคำนั้นแล้ว ได้เป็นประหนึ่งถูกเขาเอาหอกที่คมกริบเสียบแล้ว.
               ลำดับนั้น ลัชชีภิกษุนั้นจึงพูดกับพระเถระผู้เป็นสหายว่า อาวุโส ท่านพูดอะไรเช่นนั้น เรายังไม่รู้ (ว่าต้อง) อาบัติ แม้เพียงทุกกฏตลอดเวลาที่ประมาณเท่านี้ ก็วันนี้ ท่านกล่าวเราเป็นคนลามก ท่านเห็นอะไรหรือ?
               พระเถระผู้เป็นสหายจึงพูดว่า เรื่องอื่นที่เห็นแล้ว จะมีประโยชน์อะไร ท่านออกในที่เดียวกันกับมาตุคามผู้ประดับแล้ว ตกแต่งแล้ว อย่างนี้ หรือ (มิใช่).
               พระเถระผู้ลัชชีกล่าวว่า อาวุโส เรื่องนี้ไม่มีแก่เราเลย เราไม่เห็นมาตุคามเห็นปานนี้เลย. แม้เมื่อพระเถระผู้ลัชชีจะกล่าวอย่างนี้ถึง ๓ ครั้ง พระเถระนอกนี้ ก็ไม่เชื่อถือถ้อยคำ ยึดถือเอาเหตุที่ตนเห็นแล้ว นั่นแหละว่าเป็นเรื่องจริง ไม่เดินร่วมทางเดียวกับภิกษุนั้น ไปสู่สำนักของพระศาสดาโดยทางอื่น.
               ต่อแต่นั้นมา ถึงเวลาที่ภิกษุสงฆ์เข้าสู่โรงอุโบสถ ภิกษุนั้นเห็นลัชชีภิกษุนั้นในโรงอุโบสถ รู้ชัดแล้วก็ออกไปเสียด้วยคิดว่า ภิกษุเช่นนี้มีอยู่ในโรงอุโบสถนี้ เราจักไม่กระทำอุโบสถร่วมกับเธอ ดังนี้แล้ว ได้ยืนอยู่ในภายนอก.
               ลำดับนั้น ภุมมเทวดาคิดว่า เราทำกรรมหนักหนอ แล้วแปลงเพศเป็นอุบาสกแก่ไปยังสำนักของภิกษุนั้น กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เหตุไฉน พระคุณเจ้าจึงยืนอยู่ในที่นี้.
               ภิกษุนั้นตอบว่า ดูก่อนอุบาสก ภิกษุลามกรูปหนึ่งเข้าไปสู่โรงอุโบสถนี้ เราไม่กระทำอุโบสถร่วมกับเธอ เราคิดดังนี้จึงออกมายืนอยู่ข้างนอก.
               ภุมมเทวดาจึงพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านอย่าถืออย่างนี้เลย ภิกษุนี้มีศีลบริสุทธิ์ ชื่อว่ามาตุคามที่ท่านเห็นแล้ว คือข้าพเจ้าเอง เพื่อจะทดลองไมตรีของท่านทั้งสองว่า ไมตรีของพระเถระทั้งสองรูปนี้จะมั่นคงหรือไม่มั่นคงหนอดังนี้ ข้าพเจ้าผู้อยากดูความที่ท่านทั้งสองจะแตกไมตรีกันหรือไม่ กระทำกรรมนั้นแล้ว.
               ภิกษุนั้นถามว่า ดูก่อนสัปบุรุษก็ท่านเป็นอะไร?
               ภุมมเทวดาตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นภุมมเทวดาตนหนึ่ง.
               เทวบุตร เมื่อชี้แจงเสร็จก็ไม่ดำรงอยู่ในทิพพานุภาพ หมอบลงแทบเท้าของพระเถระ อ้อนวอนพระเถระว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงอดโทษแก่ข้าพเจ้าเถิด พระเถระไม่รู้โทษนั้น ขอท่านจงทำอุโบสถเถิด ดังนี้แล้วนิมนต์ให้พระเถระเข้าสู่โรงอุโบสถ.
               พระเถระนั้นลงทำอุโบสถในที่เดียวกันเท่านั้น แต่ไม่นั่งในที่เดียวกันกับภิกษุนั้น ด้วยสามารถแห่งความสนิทสนมอย่างมิตรอีก ทั้งไม่พูดถึงกรรมของพระเถระนี้.
               ส่วนพระเถระที่ถูกโจทบำเพ็ญวิปัสสนาบ่อยๆ บรรลุพระอรหัตแล้ว.
               ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ภุมมเทวดาไม่รอดพ้นจากภัยในอบายตลอดพุทธันดรหนึ่ง. ก็ถ้าในเวลาไรมาสู่ความเป็นมนุษย์ โทษที่กระทำไว้ด้วยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งอื่นๆ จะหล่นทับถมเขาทีเดียว ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย เขาเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี คนทั้งหลายได้ขนานนามเขาว่า ธานมาณพ.
               ธานมาณพเจริญวัยแล้ว เรียนไตรเพท ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาในเวลาแก่ มีศรัทธา บวชแล้ว.
               จำเดิมแต่วันที่ท่านอุปสมบทแล้ว สตรีผู้ประดับแล้ว ตกแต่งแล้วนางหนึ่ง จะปรากฏติดตามท่านอยู่เป็นนิตย์ อย่างนี้คือ เมื่อท่านเข้าบ้านก็เข้าบ้านพร้อมกับท่าน เมื่อท่านออกก็ออกด้วย เมื่อท่านเข้าวิหารก็เข้าไปด้วย แม้เมื่อท่านยืนอยู่ ก็ยืนอยู่ด้วย.
               พระเถระไม่เห็นนางเลย แต่ด้วยกรรมเก่าของท่าน นางจึงปรากฏแก่คนเหล่าอื่น.
               สตรีทั้งหลาย เมื่อถวายข้าวยาคู ถวายภิกษาในบ้าน จะพากันพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าวยาคูกระบวยหนึ่งนี้ สำหรับท่าน อีกกระบวยหนึ่งสำหรับหญิงผู้เป็นสหายของเราทั้งหลายคนนี้ ดังนี้แล้วทำการเย้ยหยัน.
               เป็นความลำบากอย่างยอดยิ่งแก่พระเถระ. ทั้งสามเณรและภิกษุหนุ่มทั้งหลายก็พากันห้อมล้อมท่านผู้เข้าไปสู่วิหาร พูดเยาะเย้ยว่า พระธานะเป็นเหี้ย.
               ครั้นนั้น ท่านจึงเกิดมีนามเพิ่มว่า กุณฑธานเถระ๑- ด้วยเหตุนั้นเอง ท่านเพียรพยายามแล้วก็ไม่สามารถจะอดกลั้นความเยาะเย้ย อันสามเณรและภิกษุหนุ่มเหล่านั้นกระทำอยู่ได้เกิดบ้าขึ้นมา พูดว่า พวกท่านสิเป็นเหี้ย อุปัชฌาย์ของพวกท่านก็เป็นบ้า อาจารย์ก็เป็นบ้า.
____________________________
๑- ฉบับพม่าเป็น โกณฑธานเถระ

               ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกราบทูลฟ้องท่านแด่พระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระโกณฑธานะกล่าวคำหยาบอย่างนี้ กับภิกษุหนุ่มและสามเณรทั้งหลาย.
               พระศาสดาตรัสสั่งให้เรียกพระโกณฑธานะเถระมา ตรัสถามว่า ดูก่อนธานะ ได้ยินว่า เธอกล่าวคำหยาบกับสามเณรทั้งหลายหรือ เมื่อพระโกณฑธานะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นความจริงพระเจ้าข้า ดังนี้จึงตรัสว่า เหตุไฉน เธอจึงกล่าวอย่างนี้.
               พระโกณฑธานะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดกลั้นความลำบาก (ที่เกิดขึ้น) เป็นประจำไม่ได้ จึงกล่าวอย่างนี้.
               พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอไม่สามารถจะยังกรรมที่เธอทำไว้ในก่อนให้สลายไปได้จนถึงวันนี้ เธออย่ากล่าวคำหยาบเห็นปานนี้อีก ดังนี้แล้วตรัสว่า
               เธออย่าได้กล่าวคำหยาบกะใครๆ ผู้ที่เธอกล่าวแล้วพึงกล่าวตอบเธอ เพราะว่า ถ้อยคำแข่งดีให้เกิดทุกข์ อาชญาตอบพึงถูกต้องเธอ ถ้าเธอไม่ยังตนให้หวั่นไหวดุจกังสดาล ถูกขจัดแล้ว เธอจักเป็นผู้ถึงพระนิพพาน ความแข่งดีย่อมไม่มีแก่เธอ ดังนี้.
               และชาวเมืองทั้งหลายก็กราบทูลความที่พระเถระนั้นท่องเที่ยวไปกับมาตุคาม แม้แก่พระเจ้าโกศล.
               พระราชาส่งราชบุรุษไปด้วยตรัสว่า ดูก่อนพนาย พวกท่านจงไป จงใคร่ครวญดู ดังนี้แล้ว แม้พระองค์เองก็เสด็จไปสู่ที่อยู่ของพระเถระด้วยบริวารจำนวนน้อย แล้วเสด็จประทับยืนดูอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ในขณะนั้น พระเถระนั่งทำสูจิกรรมอยู่ แม้หญิงนั้นก็ปรากฏเป็นเหมือนยืนอยู่ในที่ไม่ไกล.
               พระราชาทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทรงพระดำริว่า เหตุนี้มีอยู่ จึงเสด็จไปยังที่หญิงนั้นยืนอยู่ เมื่อพระราชาเสด็จมา หญิงนั้นก็ทำเป็นเหมือนเข้าไปสู่บรรณศาลาอันเป็นที่อยู่ของพระเถระ.
               แม้พระราชาก็เสด็จเข้าไปสู่บรรณศาลานั้นแหละ พร้อมกับหญิงนั้น ทรงตรวจดูทั่วๆ ไป ก็ไม่เห็น จึงเข้าพระทัยว่า นี้ไม่ใช่มาตุคาม คงเป็นกรรมวิบากอย่างหนึ่งของพระเถระ แม้ถึงจะเสด็จเข้าไปใกล้พระเถระก่อนก็ไม่ไหว้พระเถระ ทรงรู้ว่าเหตุนั้นไม่เป็นจริง จึงเสด็จมาไหว้พระเถระ แล้วประทับนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ตรัสถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระคุณเจ้าไม่ลำบากด้วยอาหารบิณฑบาตบ้างหรือ?
               พระเถระทูลว่า พอสมควรอยู่ มหาบพิตร.
               พระราชาตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ กระผมเข้าใจคำพูดของพระคุณเจ้า เมื่อพระคุณเจ้าเที่ยวไปกับสิ่งที่ทำให้เศร้าหมองเช่นนี้ ใครเล่าจะเลื่อมใส จำเดิมแต่นี้ไป พระคุณเจ้าไม่ต้องมีกิจที่จะต้องไปในที่ไหนๆ โยมจะบำรุงพระคุณเจ้าด้วยปัจจัย ๔ ขอพระคุณเจ้าจงอย่าประมาทในโยนิโสมนสิการดังนี้แล้ว เริ่มถวายภิกษาเป็นประจำ.
               พระเถระได้พระราชาเป็นผู้อุปถัมภ์ เป็นผู้มีจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ เพราะมีโภชนะเป็นที่สบาย เจริญวิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต จำเดิมแต่นั้น หญิงนั้นก็หายไป.
               ครั้งนั้น มหาสุภัททาอุบาสิกาอยู่ในเรือนแห่งตระกูลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ในอุคคนคร อธิษฐานอุโบสถด้วยคิดว่า ขอพระศาสดาจงทรงอนุเคราะห์เรา เป็นหญิงปราศจากกลิ่นคาว ยืนอยู่บนพื้นปราสาทชั้นบน กระทำสัจจกิริยาว่า ดอกไม้เหล่านี้อย่าหยุดอยู่ในระหว่าง จงตั้งเป็นเพดาน ณ เบื้องบนของพระทศพล ด้วยสัญญานี้ขอพระทศพลจงรับภิกษาของเรา พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูปในวันพรุ่งนี้ แล้วเหวี่ยงกำแห่งดอกมะลิไป ๘ กำ.
               ดอกไม้ทั้งหลายลอยไปตั้งเป็นเพดาน ณ เบื้องบนของพระศาสดา ในเวลาที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนา.
               พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเพดานดอกมะลินั้นแล้ว ทรงรับภิกษาของนางสุภัททา ด้วยจิตอย่างเดียว ในวันรุ่งขึ้นเมื่ออรุณตั้งขึ้นแล้ว จึงตรัสกะพระอานนทเถระว่า ดูก่อนอานนท์ วันนี้พวกเราจักไปภิกษาจารในที่ไกล เธออย่าให้สลากแก่ภิกษุที่เป็นปุถุชน จงให้สลากแก่ภิกษุที่เป็นพระอริยะเท่านั้น
               พระเถระแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า อาวุโสทั้งหลาย วันนี้พระศาสดาจักเสด็จภิกษาจารในที่ไกล ภิกษุที่เป็นปุถุชนอย่ารับสลาก ภิกษุที่เป็นพระอริยเท่านั้นจงรับสลากดังนี้.
               พระกุณฑธานเถระเหยียดมือออกไปก่อนทีเดียว โดยพูดว่า อาวุโส ท่านจงนำสลากมา.
               พระอานนท์กล่าวว่า พระศาสดาไม่ตรัสสั่งให้ให้สลากแก่ภิกษุเช่นท่าน ตรัสสั่งให้ให้แก่ภิกษุที่เป็นพระอริยะเท่านั้น ดังนี้แล้วเกิดปริวิตก ไปกราบทูลพระศาสดาแล้ว.
               พระศาสดาตรัสว่า จงให้สลากแก่ผู้ที่ขอ.
               พระเถระคิดว่า ถ้าสลากไม่ควรให้แก่พระโกณฑธานะ เมื่อเป็นเช่นนั้น พระศาสดาพึงห้ามไว้ ในเรื่องนี้ชะรอยจักมีเหตุ จึงย้อนกลับไปด้วยคิดว่า เราจักให้สลากแก่พระกุณฑธานะ. ก่อนแต่พระอานนท์จะมาถึงนั่นแหละ พระกุณฑธานเถระเข้าจตุตถฌานมีอภิญญาเป็นบาท ยืนอยู่ในอากาศด้วยฤทธิ์ กล่าวว่า อาวุโสอานนท์ พระศาสดาทรงรู้จักเรา พระศาสดาไม่ทรงห้ามภิกษุเช่นเราผู้จับสลากก่อนหรอก ดังนี้แล้วยื่นมือไปจับสลาก.
               พระศาสดาทรงกระทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปบัติ แต่งตั้งพระเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้จับสลากก่อน.
               เพราะเหตุที่พระเถระนี้ได้พระราชาเป็นผู้อุปถัมภ์ เพราะได้อาหารเป็นที่สบายจึงมีจิตเป็นสมาธิ เจริญวิปัสสนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ เพราะเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคำเป็นคาถาประพันธ์ไว้ในอปทานว่า
               เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้บำรุงพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ตรัสรู้เอง เป็นอัครบุคคล ซึ่งทรงหลีกเร้นอยู่ตลอด ๗ วัน เรารู้เวลาที่พระองค์เสด็จออกจากที่หลีกเร้น ได้ถือผลกล้วยใหญ่เข้าไปถวายพระมหามุนีทรงพระนามว่าปทุมุตตระ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สัพพัญญู ผู้นำของโลก เป็นมหามุนี ทรงยังจิตของเราให้เลื่อมใส ทรงรับไว้แล้วเสวย
               พระสัมพุทธเจ้าผู้ทรงนำหมู่ยอดเยี่ยม เสวยแล้วประทับนั่งบนอาสนะของพระองค์ ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
               ยักษ์เหล่าใดประชุมกันอยู่ที่ภูเขานี้และคณะภูตในป่าทั้งหมดนั้น จงฟังคำเรา ผู้ใดบำรุงพระพุทธเจ้าผู้เพียงดังไกรสรราชสีห์ เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว ผู้นั้นจักได้เป็นท้าวเทวราช ๑๑ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓๔ ครั้ง
               ในกัปที่แสน พระศาสดาทรงพระนามว่าโคดมโดยพระโคตร ซึ่งมีสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกากราชจักเสด็จอุบัติในโลก ผู้นั้นได้ด่าสมณะทั้งหลายผู้มีศีล หาอาสวะมิได้ จักได้ชื่อ (อันเหมาะสม) ด้วยวิบากแห่งกรรมอันลามก เขาจักได้เป็นโอรสทายาทในธรรมของพระศาสดาพระองค์นั้น อันธรรมนิรมิตแล้ว จักเป็นสาวกมีชื่อว่า กุณฑธานะ
               เราประกอบเนืองๆ ซึ่งความสงัด เพ่งฌาน ยินดีในฌาน ยังพระศาสดาให้ทรงโปรดปราน ไม่มีอาสวะอยู่.
               พระชินเจ้าอันพระสาวกทั้งหลายแวดล้อม ห้อมล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางสงฆ์แล้ว ทรงให้เรารับการแจกสลาก เราห่มผ้าเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ถวายบังคมพระศาสดาผู้นำของโลก
               เมื่อภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอยู่ได้รับสลากที่ ๑ ไว้ข้างหน้าของผู้ประเสริฐ ด้วยกรรมนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังหมื่นโลกธาตุให้หวั่นไหว ประทับนั่ง ณ ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงตั้งเราไว้ในอรรคฐาน
               เรามีความเพียรอันนำมาซึ่งธุระ นำความเกษมจากโยคะมาให้ เราทรงกายเป็นที่สุดไว้ในพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณพิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เรากระทำให้แจ้งแล้ว เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เราทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
               ภิกษุทั้งหลายผู้เป็นปุถุชนเหล่าใด ไม่รู้คุณของพระเถระนี้ แม้ผู้เป็น (พระอรหันต์) แล้วเช่นนี้ ในการจับสลากที่ ๑ ในครั้งนั้นต่างพากันคิดเหมือนกันว่า นี้อะไรหนอแล. พระเถระเพื่อจะกำจัดความสงสัยของภิกษุเหล่านั้น จึงเหาะขึ้นสู่อากาศแล้วแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล โดยการอ้างถึงพระอรหัตผล จึงได้ภาษิตคาถานี้ว่า
                                   ภิกษุพึงตัดสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ พึงละสังโยชน์
                         เบื้องสูง ๕ พึงเจริญอินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้นให้ยิ่ง
                         ขึ้นไป ภิกษุผู้ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้อง ๕ ประการ
                         ได้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ข้ามโอฆะได้แล้ว
                         ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจ ฉินฺเท ความว่า ภิกษุพึงตัดคือพึงละสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อันจะยังสัตว์ให้อุบัติและบังเกิดในอบาย ด้วยศาสตราคือด้วยมรรคทั้ง ๓ เบื้องต่ำ ดุจบุรุษตัดเชือกที่ผูกไว้ที่เท้าออกไปฉะนั้น.
               บทว่า ปญฺจ ชเห ความว่า พึงละหรือพึงตัดสังโยชน์เบื้องสูง ๕ อันเป็นเหตุให้เข้าถึงเทวโลกชั้นสูงด้วยพระอรหัตมรรค ดุจบุรุษตัดเชือกที่ผูกไว้ที่คอฉะนั้น.
               บทว่า ปญฺจ จุตฺตริ ภาวเย ความว่า พึงเจริญอินทรีย์ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น เพื่อละสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องสูงเหล่านั้นแหละให้ยิ่งขึ้นไป คือให้สูงกว่าการได้บรรลุพระอนาคามิมรรค ได้แก่พึงเจริญด้วยสามารถแห่งการได้บรรลุมรรคอันสูงสุด.
               บทว่า ปญฺจสงฺคาติโค ความว่า ภิกษุผู้เป็นอย่างนี้ คือผู้ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้อง ๕ ประการได้แล้ว ด้วยการก้าวล่วง คือละเครื่องข้อง คือราคะ โทสะ โมหะ มานะและทิฏฐิ ๕ อย่างได้.
               บทว่า ภิกฺขุ โอติณฺโณ วุจฺจติ ความว่า ท่านเรียกว่าภิกษุ เพราะทำลายกิเลสได้โดยประการทั้งปวง และเพราะข้ามโอฆะคือกาม โอฆะคือภพ โอฆะคือทิฏฐิ และโอฆะคืออวิชชา แล้วตั้งอยู่ในพระนิพพานอันเป็นฝั่งของกิเลสเหล่านั้น.

               จบอรรถกถากุณฑธานเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต ทุติยวรรค ๕. กุณฑธานเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 151อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 152อ่านอรรถกถา 26 / 153อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=5068&Z=5073
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=2097
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=2097
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :