บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร? ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เสด็จไปทางอากาศ ท่านถือหม้อน้ำเย็นไปด้วยคิดว่า เราจักถวายน้ำเป็นทาน แล้วเกิดปีติโสมนัส แหงนหน้าขึ้น โยนหม้อน้ำขึ้นไป (บนอากาศ). พระศาสดาทรงทราบอัธยาศัยของท่าน แล้วประทับยืนอยู่ในอากาศรับหม้อน้ำ เพื่อเจริญศรัทธาปสาทะ. ด้วยการรับน้ำนั้น ท่านเสวยปีติโสมนัสมิใช่น้อย. ข้อความที่เหลือคล้ายกับที่กล่าวไว้ในเรื่องของพระอัญชนวนียเถระทั้งนั้น. ส่วนข้อที่แปลกกันมีดังนี้ ได้ยินว่า ท่านบวชโดยนัยดังกล่าวแล้วกระทำบุรพกิจเสร็จแล้ว ขวนขวายวิปัสสนา ในเวลาเย็นเดินทางไปใกล้ที่นา เมื่อฝนลงเม็ด เห็นกุฎีอันเกิดด้วยบุญของคนเฝ้านา จึงนั่งบนอาสนะที่ลาดด้วยหญ้า. พอท่านนั่งลงก็ได้ฤดูเป็นที่สบาย ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว. สมดังคำที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า เราได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณดังทอง ผู้รุ่งเรืองดังกองไฟ เหมือนพระอาทิตย์ เป็นที่รับรองเครื่องบูชา เสด็จไปในอากาศ จึงเอามือทั้งสองกอบน้ำแล้วโยนขึ้นไปในอากาศ พระพุทธเจ้าผู้มหาวีระมีพระกรุณาในเรา ทรงรับไว้. พระศาสดาทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ประทับยืนอยู่ในอากาศ ทรงทราบ ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นจอมประชาเชษฐบุรุษของโลก ผู้นราสภ ด้วยกรรมนั้น ข้าพระองค์ละความชนะและความแพ้แล้ว บรรลุฐานะอันไม่หวั่นไหว. ในกัปที่ ๖,๕๐๐ แต่ภัทรกัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๓ พระองค์มีพระนามว่าสหัสสราช เป็นจอมคนปกครองแผ่นดินมีสมุทรสาครเป็นที่สุด. กิเลสทั้งหลายเราเผาแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้. ก็เมื่อพระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว นั่งอยู่ในกระท่อมนั้น คนเฝ้านากลับมาถามว่า ใครอยู่ในกระท่อม. พระเถระได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคำมีอาทิว่า ภิกษุอยู่ในกระท่อม. คำของคนเฝ้านาและของพระเถระนี้นั้น ท่านรวบรวมไว้เป็นหมวดเดียวกันแล้ว ยกขึ้นสู่สังคีติโดยรูปอย่างนั้นว่า ใครนั่งอยู่ในกระท่อม ภิกษุผู้ปราศจากราคะ มีจิต ตั้งมั่น อยู่ในกระท่อม ขอท่านจงรู้อย่างนี้เถิดอาวุโส กระท่อมที่ท่านทำไว้แล้ว ไม่ไร้ประโยชน์เลย ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก กุฏิกายํ เป็นคำถามของคนเฝ้านาว่า ใครนั่งอยู่ในกุฏินี้. บทว่า ภิกฺขุ กุฏิกายํ เป็นคำให้คำตอบของพระเถระแก่คนเฝ้านา. ลำดับนั้น พระเถระยังคนเฝ้านาให้อนุโมทนา การใช้สอยกระท่อมโดยความที่ตนเป็นพระทักขิไณยบุคคลผู้เลิศ เพื่อจะทำบุญนั้นให้ดำรงมั่นคง โอฬาร จึงกล่าวคำมีอาทิว่า วีตราโค. คาถานั้นมีใจความดังนี้ ภิกษุผู้ทำลายกิเลสได้แล้วรูปหนึ่ง นั่งอยู่แล้วในกระท่อมของท่าน เพราะเหตุนั้นแหละ ภิกษุนั้นจึงชื่อว่าผู้ปราศจากราคะแล้ว เพราะมีราคะอันถอนขึ้นแล้วโดยประการทั้งปวง ด้วยมรรคอันเลิศ ชื่อว่าผู้มีจิตตั้งมั่นแล้ว เพราะเป็นผู้มีจิต ตั้งมั่นแล้วด้วยดี โดยกระทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ ด้วยสมาธิอันยอดเยี่ยม ดูก่อนคนเฝ้านา ผู้มีอายุ เรากล่าวความนี้อย่างไร ท่านจงรู้คือจงเชื่ออย่างนั้น ท่านจงพ้น (ทุกข์). กระท่อมอันท่านทำแล้ว ไม่ไร้ประโยชน์เลย คือกระท่อมที่ท่านสร้างไว้ ไม่เป็นโมฆะ ไม่เป็นหมัน มีแต่ผล มีแต่กำไร เพราะพระอรหันตขีณาสพได้ใช้สอย. ถ้าท่านจะอนุโมทนา ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและเพื่อความสุขแก่ท่านตลอดกาลนาน. คนเฝ้านาฟังดังนั้นแล้ว คิดว่า เป็นลาภของเราแล้วหนอ เพราะในกุฎีของเรามีพระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้เข้าไปนั่ง แล้วมีจิตเลื่อมใส ได้ยืนอนุโมทนาแล้ว. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับถ้อยคำสนทนาของพระเถระและคนเฝ้านาเหล่านั้นนี้ด้วยทิพโสตธาตุ และทรงทราบการอนุโมทนาของคนเฝ้านา เมื่อจะทรงยังสมบัติอันคนเฝ้านาจะพึงได้เสวยให้แจ้งชัด จึงได้ตรัสกะคนเฝ้านาด้วยคาถาเหล่านี้ว่า ด้วยผลแห่งการที่ภิกษุผู้มีจิตสงบแล้ว ไม่มีอาสวะ อยู่ในกระท่อมของท่านนั้น ท่านจักได้เป็นจอมเทพ ท่านจะได้เป็นจอมเทวัญ เสวยราชสมบัติในหมู่เทพ ๓๖ ครั้ง จักได้เป็นจอม จำเดิมแต่นั้นมา พระเถระก็ได้เกิดสมัญญานามว่ากุฏิวิหารีเถระ ทีเดียว เพราะเป็นนามพิเศษที่ท่านได้ในกระท่อม. ก็คาถานี้แหละได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถระ ฉะนี้แล. จบอรรถกถากุฏิวิหารีเถรคาถา ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต วรรคที่ ๖ ๖. กุฏิวิหารีเถรคาถา จบ. |