ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 209อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 210อ่านอรรถกถา 26 / 211อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต วรรคที่ ๘
๓. มาณวเถรคาถา

               อรรถกถามาณวเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระมาณวเถระ เริ่มต้นว่า ชิณฺณญฺจ ทิสฺวา ทุกฺขิตญฺจ พฺยาธิตํ.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               แม้พระเถรนี้ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เข้าไปสั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เป็นหมอดูลักษณะ ตรวจดูลักษณะแห่งพระอภิชาติของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี ประกาศบุรพนิมิตแล้วพยากรณ์ว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าโดยส่วนเดียวดังนี้ แล้วชมเชยโดยนัยต่างๆ ถวายบังคมแล้ว กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป.
               ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวอยู่แต่ในสุคติอย่างเดียว เกิดในเรือนแห่งพราหมณ์มหาศาล ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ เจริญเติบโตอยู่แต่ภายในเรือนอย่างเดียว จนถึง ๗ ปี ในปีที่ ๗ พวกบริวารนำพาไปชมสวน เห็นคนแก่ คนเจ็บและคนตายในระหว่างทาง จึงถามบริวารชนเหล่านั้น เพราะไม่เคยเห็นคนแก่ คนเจ็บและคนตาย ฟังสภาพของชรา พยาธิและมรณะ แล้วเกิดความสลดใจหันหลังกลับ ไปสู่วิหารฟังธรรมในสำนักของพระบรมศาสดา ให้มารดาบิดาอนุญาตแล้วบวช เริ่มตั้งวิปัสสนา บรรลุพระอรหัต ต่อกาลไม่นานนัก.
               สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
               เมื่อพระวิปัสสีโพธิสัตว์ประสูติ เราได้พยากรณ์นิมิตว่า จักยังหมู่ชนให้ดับเข็ญ จักเป็นพระพุทธเจ้าในโลก.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดประสูติ หมื่นโลกธาตุย่อมหวั่นไหว บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดประสูติ ได้มีแสงสว่างอันไพบูลย์ บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดประสูติ แม่น้ำทั้งหลายไม่ไหล บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดประสูติ ไฟในอเวจีนรก ไม่ลุกโพลง บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่. เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ หมู่นกไม่สัญจรไป บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดประสูติ กองลมย่อมไม่พัดฟุ้งไป บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์ใดประสูติ แก้วทุกชนิดส่งแสงโชติช่วง บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่.
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใดประสูติ ทรงย่างพระบาทก้าวไป ๗ ก้าว บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงแสดงธรรมอยู่.
               พอพระสัมพุทธเจ้าประสูติแล้วเท่านั้นก็ทรงเหลียวแลดูทิศทั้งปวง ทรงเปล่งอาสภิวาจา นี้เป็นธรรมดาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
               เรายังหมู่ชนให้เกิดสังเวช ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำของโลก ถวายบังคมพระสัมพุทธเจ้าแล้ว บ่ายหน้ากลับไปทางทิศปราจีน ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราชมเชยพระพุทธเจ้าใด ด้วยการชมเชยนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการชมเชย
               ในกัปที่ ๙๐ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่าสัมมุขาถวิกะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก.
               ในกัปที่ ๘๙ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่า ปฐวี ทุนทุภิ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก.
               ในกัปที่ ๘๘ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิจอมกษัตริย์มีนามว่าโอภาส สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก.
               ในกัปที่ ๘๗ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่าสริตัจเฉทนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก.
               ในกัปที่ ๘๖ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ มีนามว่า อัคคินิพพาปนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก
               ในกัปที่ ๘๕ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่ากติปัจฉาทนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก
               ในกัปที่ ๘๗ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่าวาตสมะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก
               ในกัปที่ ๘๓ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่ารัตนปัชชละ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก
               ในกัปที่ ๘๒ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีนามว่าปทวิกกมนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก
               ในกัปที่ ๘๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชมีนามว่าวิโลกนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก
               ในกัปที่ ๘๐ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิมีนามว่าคิรสาระ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก.
               เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
               ก็พระเถระผู้บรรลุพระอรหัตแล้ว อันภิกษุทั้งหลายถามว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านยังเป็นเด็กนัก บวชด้วยความสลดใจอะไร.
               เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล โดยอ้างถึงการสรรเสริญนิมิตแห่งบรรพชาด้วยตน ได้กล่าวคาถาว่า
                         ข้าพเจ้าเห็นคนแก่ คนเจ็บหนักและคนที่ตาย
                         ตามอายุขัยแล้ว จึงได้ละซึ่งกามารมณ์ อันเป็น
                         ของรื่นรมย์ใจ แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชิณฺณํ ความว่า อันชราครอบงำแล้ว คือเป็นร่างอันชราธรรม มีฟันหัก ผมหงอก และความเป็นผู้มีหนังเหี่ยวย่นเป็นต้นประชุมแล้ว.
               บทว่า ทุกฺขิตํ ได้แก่ ถึงความลำบากที่หมายรู้กันว่าเป็นทุกข์.
               บทว่า พฺยาธิตํ ได้แก่ คนเจ็บ. ก็ในบทว่า พฺยาธิตํ นี้ย่อมให้สำเร็จ (ความหมายถึง) ความประสบทุกข์ แม้ในเวลาพูดว่า ถึงความเจ็บไข้.
               คำว่า ทุกฺขิตํ ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงถึงความเป็นผู้มีไข้หนักของผู้ที่ถึงทุกข์นั้น.
               บทว่า มตํ แปลว่า คนผู้ตายแล้ว เพราะเหตุที่ผู้ที่กระทำกาละแล้ว ย่อมชื่อว่าถึงความสิ้น ความเสื่อม ความแตกดับแห่งอายุ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า คตมายุสงฺขยํ คนที่ตายตามอายุขัย ดังนี้.
               เพราะเหตุนั้น คือเพราะเหตุที่คนแก่ คนเจ็บและคนตาย ท่านได้เห็นแล้ว ได้แก่เพราะเหตุที่ท่านถึงความสลดใจว่า ขึ้นชื่อว่าความแก่เป็นต้นเหล่านี้ ไม่มีเฉพาะแก่สัตว์เหล่านี้เท่านั้น โดยที่แท้มีทั่วไปแก่สัตว์ทั้งปวง เพราะฉะนั้น แม้เราก็ไม่ล่วงพ้นความแก่เป็นต้นไปได้.
               บทว่า นิกฺขมิตูน แปลว่า ออกแล้ว. ถึงบาลีก็อย่างนี้เหมือนกัน. (ความก็ว่า) ออกจากเรือน ด้วยความประสงค์จะบรรพชา.
               บทว่า ปพฺพชึ ความว่า เข้าถึงบรรพชาในพระศาสนาของพระศาสดา.
               บทว่า ปหาย กามานิ มโนรมานิ ความว่า ละวัตถุกามที่ชื่อว่าเป็นของรื่นรมย์ใจ เพราะทำใจของผู้ที่ยังไม่ปราศจากราคะให้ยินดี โดยความเป็นของน่าปรารถนาน่าใคร่เป็นต้น.
               อธิบายว่า ละทิ้งฉันทราคะ อันเนื่องด้วยวัตถุกามนั้น โดยตัดขาดด้วยพระอริยมรรค คือโดยความไม่เพ่งเล็ง.
               ก็คำเป็นคาถานี้ ได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถระ โดยมุขคือการชี้ชัดถึงการละกามทั้งหลาย.
               พระเถระนี้เกิดสมัญญานามว่า มาณวะ ดังนี้เทียว เพราะเหตุที่ท่านบวชแล้วในเวลาที่ยังเป็นมาณพ ฉะนี้แล.

               จบอรรถกถามาณวเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต วรรคที่ ๘ ๓. มาณวเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 209อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 210อ่านอรรถกถา 26 / 211อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=5403&Z=5406
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=5628
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=5628
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :