ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 210อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 211อ่านอรรถกถา 26 / 212อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต วรรคที่ ๘
๔. สุยามนเถรคาถา

               อรรถกถาสุยามนเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระสุยามนเถระ เริ่มต้นว่า กามจฺฉนฺโท จ พฺยาปาโท.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้ ก็มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ เป็นอันมาก เกิดในตระกูลพราหมณ์ในธัญญวดีนคร ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ สำเร็จการศึกษาในศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ เป็นอาจารย์สอนมนต์แก่พวกพราหมณ์.
               ก็โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี เสด็จเข้าไปสู่พระนครธัญญวดี เพื่อบิณฑบาต พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่.
               พราหมณ์เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุทั้งหลายก็มีจิตเลื่อมใส นำเสด็จไปสู่เรือนของตน ตกแต่งอาสนะ ลาดเครื่องลาดคือดอกไม้บนอาสนะนั้น ถวายแล้ว. เมื่อพระศาสดาประทับนั่งบนอาสนะนั้นแล้ว อังคาสให้ทรงอิ่มหนำสำราญ ด้วยอาหารอันประณีต แล้วบูชาพระศาสดาผู้เสวยเสร็จแล้วด้วยดอกไม้และของหอม.
               พระศาสดาทรงกระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จหลีกไป.
               ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวโลก กระทำบุญทั้งหลายแล้วท่องเที่ยวไปๆ มาๆ อยู่ ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย แล้วเกิดเป็นบุตรของพราหมณ์คนหนึ่ง ในพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ เขาได้มีนามว่า สุยามนะ.
               สุยามนพราหมณ์เจริญวัยแล้ว เป็นผู้ถึงฝั่งแห่งไตรเพท เป็นผู้ประกอบไปด้วยความใคร่ครวญอย่างยิ่ง รังเกียจการซ่องเสพกามารมณ์ มีอัธยาศัยน้อมไปในฌาน ได้มีศรัทธาจิต ในคราวที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปพระนครเวสาลี บวชแล้ว บรรลุพระอรหัต ขณะจรดมีดโกนทีเดียว.
               สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า
               ในกาลนั้น เราเป็นพราหมณ์อยู่ในนครธัญญวดี รู้จบไตรเพท เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ เป็นผู้ฉลาดในตำรา ทำนายลักษณะ คัมภีร์อิติหาสและตำราทายนิมิต พร้อมทั้งคัมภีร์นิคัณฑุและคัมภีร์เกฏุภะ บอกมนต์กะศิษย์ทั้งหลาย
               เราวางดอกอุบล ๕ กำไว้บนหลัง เราประสงค์จะบวงสรวงบูชายัญในสมาคมบิดามารดา
               ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าวิปัสสี ผู้ประเสริฐกว่านระ แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ทรงยังทิศทั้งปวงให้สว่างไสว เสด็จมา เราปูลาดอาสนะแล้ว ลาดดอกอุบลนั้นแล้ว นิมนต์พระมหามุนี นำมาสู่เรือนของตน อามิสอันใดที่เราเตรียมไว้ มีอยู่ในเรือนของตน เราเลื่อมใสได้ถวายอามิสนั้นแด่พระพุทธเจ้าด้วยมือทั้งสองของตน
               เราทราบเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้ว ได้ถวายดอกอุบลกำหนึ่ง พระสัพพัญญูทรงอนุโมทนาแล้ว บ่ายพระพักตร์กลับไปยังทิศอุดร.
               ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายดอกไม้ใดในกาลนั้น ด้วยการถวายดอกไม้นั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวาย ดอกไม้.
               ในกัปลำดับต่อแต่กัปนี้ ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชพระนามว่าวรทัสสนะ สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ มีพลมาก. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
               ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล โดยมุขคือการชี้ถึงการละนิวรณ์ ได้กล่าวคาถาว่า
                                   ความพอใจในเบญจกามคุณ ความพยาบาท
                         ความง่วงเหงาหาวนอน ความฟุ้งซ่าน รำคาญใจและ
                         ความสงสัย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุ โดยประการทั้งปวง ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามจฺฉนฺโท ได้แก่ ความพอใจในกามทั้งหลาย ชื่อว่ากามฉันทะ แม้เพราะเป็นทั้งกามและเป็นทั้งความพอใจ ได้แก่ กามราคะ ความกำหนัดในกาม ก็ราคะแม้ทั้งหมด ชื่อว่ากามฉันทะ ในคาถานี้ เพราะท่านประสงค์เอาแม้ราคะที่ถูกฆ่าด้วยมรรคอันเลิศ ด้วยเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า ย่อมไม่มีแก่ภิกษุโดยประการทั้งปวง ดังนี้.
               อธิบายว่า ธรรมอันเป็นไปในภูมิ ๓ แม้ทั้งหมด ชื่อว่ากาม เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้งแห่งความใคร่ ราคะที่เป็นไปในกามนั้น ชื่อว่ากามฉันทะ.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า๑- เพราะอาศัยกามฉันทนิวรณ์ ถีนมิทธนิวรณ์ อุทธัจจนิวรณ์ อวิชชานิวรณ์ จึงเกิดขึ้นในอรูปภพ ดังนี้.
____________________________
๑- อภิ. ป. เล่ม ๔๒/ข้อ ๕๘๐

               ที่ชื่อว่าพยาบาท เพราะอรรถว่าเป็นเหตุถึงความเสื่อมเสีย คือถึงความเน่าแห่งจิต ได้แก่ อาฆาตที่เป็นไปแล้วโดยนัยมีอาทิว่า ผู้นี้ได้ประพฤติความฉิบหายแก่เรา ดังนี้.
               ที่ชื่อว่าถีนะ คือความที่จิตไม่ควรแก่การงาน ได้แก่ ความหดหู่ ไม่มีอุตสาหะ.
               ที่ชื่อว่ามิทธะ คือความที่กายไม่ควรแก่การงาน ได้แก่ ขาดความกระตือรือร้น.
               ทั้งถีนะและมิทธะแม้ทั้งสองอย่าง รวมเรียกว่า ถีนมิทธะ ท่านกล่าวรวมกันไว้ เพราะความเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่การงานอย่างเดียวกัน.
               ความที่จิตฟุ้งขึ้น ชื่อว่าอุทธัจจะ คือ จิตถูกยกขึ้น คือไม่สงบด้วยธรรมใด ธรรมนั้นจัดว่าเป็นความฟุ้งซ่านแห่งใจ ได้แก่ อุทธัจจะ.
               ก็แม้กุกกุจจะ (ความรำคาญ) พึงทราบว่าท่านถือเอาแล้วด้วยศัพท์ว่า อุทธัจจะ ในคาถานี้ เพราะความที่กุกกุจจะนั้นเหมือนกันโดยเป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่การงาน กุกกุจจะนั้นมีการทำให้เดือดร้อนในภายหลังเป็นลักษณะ.
               อธิบายว่า กุกกุจจะนั้นได้แก่ความเดือดร้อนที่เข้าไปอาศัยความดีความชั่วที่กระทำแล้วและยังไม่ได้กระทำ.
               บทว่า วิจิกิจฺฉา ความว่า ชื่อว่าวิจิกิจฉา เพราะเป็นเหตุให้ถึงความสงสัยว่า เป็นอย่างนี้หรือหนอแล ไม่ใช่อย่างนี้หรือหนอแล.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าวิจิกิจฉา เพราะเมื่อค้นคว้าหาสภาพธรรม ย่อมเป็นเหตุให้ยุ่งยากคือลำบาก ได้แก่ ความสงสัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเป็นวัตถุ.
               บทว่า สพฺพโส ความว่า โดยไม่มีส่วนเหลือ.
               บทว่า น วิชฺชติ แปลว่า ย่อมไม่มี คือ พระเถระพยากรณ์พระอรหัตผล โดยชี้ถึงพระอรหัตผลว่า กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะและวิจิกิจฉา ย่อมไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะความที่กิเลสเหล่านั้นอันมรรคถอนขึ้นได้หมดแล้ว กิจที่จะพึงกระทำอย่างอื่นไม่มีแก่เธอ หรือกิจที่เธอทำแล้ว ไม่มีผลตอบสนอง ดังนี้.
               อธิบายว่า เมื่อนิวรณ์ทั้ง ๕ อันเธอถอนขึ้นแล้วด้วยมรรค กิเลสแม้ทั้งปวงย่อมชื่อว่าเป็นอันเธอถอนขึ้นได้หมดแล้ว เพราะตั้งอยู่ในที่เดียวกันกับนิวรณ์นั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านี้ทั้งปวง ละนิวรณ์ ๕ อันเป็นอุปกิเลสแห่งใจได้แล้ว ดังนี้.

               จบอรรถกถาสุยามนเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา เอกกนิบาต วรรคที่ ๘ ๔. สุยามนเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 210อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 211อ่านอรรถกถา 26 / 212อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=5407&Z=5411
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=5715
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=5715
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :