ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 272อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 273อ่านอรรถกถา 26 / 274อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๒
๖. มหากาลเถรคาถา

               อรรถกถามหากาฬเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระมหากาฬเถระ เริ่มต้นว่า กาฬี อิตฺถี.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้ก็สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ บรรลุนิติภาวะแล้ว ไปป่าด้วยกรณียกิจบางอย่าง เห็นผ้าบังสุกุลจีวรห้อยอยู่ที่กิ่งไม้ มีจิตเลื่อมใสว่า ผ้ากาสาวพัสตร์อันเป็นธงชัยของพระอริยเจ้าห้อยอยู่ แล้วเก็บเอาดอกกระดึงมาบูชาผ้าบังสุกุลจีวร.
               ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บังเกิดในตระกูลของพ่อค้าเกวียน ในเสตัพยนคร ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้มีนามว่ามหากาฬ บรรลุนิติภาวะแล้วอยู่ครองเรือน บรรทุกสินค้าด้วยเกวียน ๕๐๐ เล่มไปสู่พระนครสาวัตถี ด้วยกิจของการค้า พักกองเกวียนไว้ ณ ที่แห่งหนึ่ง บรรเทาความเหน็ดเหนื่อยในการเดินทาง นั่งอยู่กับบริษัทของตน เห็นพวกอุบาสกถือเอาของหอมและระเบียบเป็นต้นไปสู่พระเชตวันวิหาร ในเวลาเย็น แม้ตนเองก็ไปสู่วิหารกับพวกอุบาสกเหล่านั้น ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาแล้ว เป็นผู้มีจิตศรัทธาบวชแล้ว อธิษฐานโสสานิกังคธุดงค์ (ธุดงค์คือการถืออยู่ป่าช้าเป็นวัตร) แล้วอยู่ในป่าช้า.
               ครั้นวันหนึ่งมีหญิงคนหนึ่งนามว่า กาฬี เป็นคนเผาศพ (สัปเหร่อ) หักขา หักแขนของศพที่ตายใหม่ๆ อย่างละ ๒ ข้าง และทุบศีรษะให้มันสมองไหลออกดังหม้อทธิ แล้วต่ออวัยวะทุกชิ้นส่วนให้เหมือนเดิม เพื่อให้พระเถระปลงกรรมฐาน ตั้งไว้ให้พระเถระพิจารณา ในที่สำหรับประกอบความเพียร แล้วนั่ง ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง.
               พระเถระเห็นชิ้นส่วนของซากศพแล้ว เมื่อจะสอนตน ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า
                         หญิงชื่อกาฬี มีร่างกายใหญ่ ดำดังกา หักขาซ้ายขาขวา
                         แขนซ้ายแขนขวาและทุบศีรษะของซากศพให้มันสมอง
                         ไหลออกดังหม้อทธิ แล้ววางไว้ตามเดิมนั่งอยู่
                         ผู้ใดแลไม่รู้แจ้ง เป็นคนเขลาก่อให้เกิดกิเลส ผู้นั้นย่อม
                         เข้าถึงทุกข์ร่ำไป เพราะฉะนั้น บุคคลรู้ว่าอุปธิเป็นเหตุ
                         เกิดทุกข์จึงไม่ควรก่อกิเลสให้เกิด เราอย่าถูกเขาทุบศีรษะ
                         นอนอยู่อย่างนี้อีกต่อไป ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาฬี เป็นชื่อของหญิงนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ท่านเรียกชื่อ (ว่ากาฬี) อย่างนี้ เพราะความเป็นหญิง มีร่างกายสีดำ.
               บทว่า พฺรหตี ได้แก่ มีร่างกายใหญ่ คือมีร่างกายกำยำล่ำสัน.
               บทว่า ธงฺกรูปา ความว่า ชื่อว่า มีรูปเหมือนกา เพราะมีร่างกายสีดำนั่นเอง.
               บทว่า สตฺถิญฺจ เภตฺวา ความว่า หักขาซ้ายของคนตายโดยวิธีหักด้วยเข่า.
               บทว่า อปรญฺจ สตฺถึ ความว่า และหักขาขวาอีกด้วย.
               บทว่า พาหญฺจ เภตฺวา ความว่า หักกระดูกแขนที่ปลายแขนนั่นแหละ.
               บทว่า สีลญฺจ เภตฺวา ทธิกาลกํว ความว่า ทุบศีรษะของซากศพ เหมือนหม้อใส่นมส้มที่ไหลเยิ้มออก เพราะถูกทุบด้วยก้อนดินและท่อนไม้นั่นเทียว. อธิบายว่า ทุบให้มีมันสมองไหลออก.
               บทว่า เอสา นิสินฺนา อภิสนฺทหิตฺวา ความว่า รวบรวมซากศพที่มีอวัยวะถูกตัด ถูกหัก (กระจัดกระจาย) อยู่นั่นแล ทำให้ติดต่อกันโดยวางอวัยวะเหล่านั้นไว้ในตำแหน่งเดิมนั่นแหละ เหมือนกองทิ้งอยู่ตลาดเนื้อสดนั่งอยู่แล้ว.
               บทว่า โย เอว อวิทฺวา อุปธึ กโรติ ความว่า บุคคลใดแม้เห็นกรรมฐานอันปรากฏโดยสภาพของซากศพนี้แล้ว (แต่) ไม่รู้แจ้ง ไม่ฉลาดทิ้งกรรมฐาน ยังอุปธิคือกิเลสให้เกิดโดยไม่กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย บุคคลนั้นเป็นคนเขลา คือมีปัญญาอ่อน ชื่อว่าย่อมเข้าถึงทุกข์ในอบายมีนรกเป็นต้นบ่อยๆ คือวนไปเวียนมา เพราะยังไม่ล่วงพ้นสงสาร. เพราะฉะนั้น บุคคลรู้ว่าอุปธิเป็นเหตุเกิดทุกข์ จึงไม่ควรก่อกิเลสให้เกิด.
               บทว่า ตสฺมา ได้แก่ เพราะเหตุนั้นเป็นอย่างนี้.
               บทว่า ปชานํ อุปธึ ความว่า บุคคลใดรู้ว่า อุปธิเป็นเหตุให้เกิดทุกข์กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ไม่พึงกระทำ คือไม่พึงก่ออุปธิให้เกิด.
               เพราะเหตุไร?
               เพราะเราอย่าถูกเขาทุบศีรษะ นอนอยู่อย่างนี้อีกต่อไป.
               อธิบายว่า ซากศพนี้ถูกเขาทุบศีรษะ นอนอยู่ฉันใด เราอย่าเป็นคนรกป่าช้า ถูกทุบศีรษะนอนอยู่ ด้วยการบังเกิดขึ้นบ่อยๆ ในสงสาร ด้วยการก่ออุปธิคือกิเลสเหมือนอย่างนั้นเลย.
               เมื่อพระเถระกล่าวสอนตนอยู่อย่างนี้แล ขวนขวายวิปัสสนา บรรลุพระอรหัตแล้ว.
               สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑-
               ในที่ไม่ไกลภูเขาหิมวันต์มีภูเขาลูกหนึ่งชื่ออุทังคณะ ที่ภูเขานั้น เราได้เห็นผ้าบังสุกุลจีวรห้อยอยู่บนยอดไม้. ครั้งนั้น เราร่าเริง มีจิตยินดี เลือกเก็บดอกกระดึงทอง ๓ ดอกมาบูชาผ้าบังสุกุลจีวร ด้วยกรรมที่ทำไว้ดีแล้วนั้น และด้วยการตั้งเจตน์จำนงไว้ เราละร่างมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
               ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น เพราะบูชาผ้าบังสุกุลจีวร อันเป็นธงชัยของพระอรหันต์ เราไม่รู้จักทุคติเลย. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๘๒

               จบอรรถกถามหากาฬเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๒ ๖. มหากาลเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 272อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 273อ่านอรรถกถา 26 / 274อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=5782&Z=5788
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=9308
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=9308
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :