บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อรรถกถาอุตตรเถรคาถา เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร? แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เข้าไปสั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ใน ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลพราหมณ์ เมืองสาเกต ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้นามว่าอุตตระ เจริญวัยแล้วไปสู่ สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- เมื่อพระโลกนาถผู้นำของโลกทรงพระนามว่าสิทธัตถะ ปรินิพพานแล้ว เราได้นำพวกญาติของเรามาทำการบูชาพระธาตุ. ในกัปที่ ๙๔ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้บูชาพระธาตุใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการบูชาพระธาตุ. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระ ____________________________ ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๗๖ ก็พระเถระเป็นผู้มีอภิญญา ๖ แล้ว เมื่อพระศาสดาเสด็จประทับอยู่ในพระนครสาวัตถี ก็ออกจากกรุงราชคฤห์ไปพระนครสาวัตถี เพื่อจะทำพุทธอุปัฎฐาก อันภิกษุทั้งหลายถามว่า ดูก่อนอาวุโส กิจแห่งบรรพชิตอันท่านให้ถึงที่สุดแล้วหรือ? เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผล ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า ขันธ์ทั้งหลายเรากำหนดรู้แล้ว ตัณหาเราถอนขึ้นแล้ว โพชฌงค์เราเจริญแล้ว ความสิ้นไปแห่งอาสวะเราบรรลุแล้ว ครั้นเรากำหนดรู้ขันธ์ทั้งหลายแล้ว ถอนข่ายคือตัณหาได้แล้ว ยังโพชฌงค์ให้เจริญแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ขนฺธา ได้แก่ อุปาทานขันธ์ ๕. บทว่า ปริญฺญาตา ความว่า กำหนดรู้ คือยังทุกขสัจให้เจริญแล้วว่า นี้ทุกข์ ทุกข์ บทว่า ตณฺหา ความว่า กิเลสชาติชื่อว่าตัณหา เพราะอรรถว่าสะดุ้ง คือหวั่นไหว. บทว่า สุสมูหตา แปลว่า อันเราเพิกถอนขึ้นแล้ว. พระเถระกล่าวถึงการตรัสรู้ ด้วยการละสมุทยสัจด้วยบทว่า สุสมูหตา นั้น. บทว่า ภาวิตา มม โพชฺฌงฺคา ความว่า ธรรม ๗ ประการชื่อว่าโพชฌงค์ เพราะ ก็ในคาถานี้พึงทราบว่า ธรรมในองค์มรรคทั้งปวงก็ดี โพธิปักขิยธรรมทั้งหมดก็ดี พึงทราบว่า ท่านถือเอาแล้ว ด้วยศัพท์ว่าโพชฌังคะ เพราะเป็นประเภทธรรมที่ไปร่วมกับโพชฌงค์นั้น. พระเถระแสดงความถึงพร้อมเฉพาะซึ่งภาวนาแห่งมรรคสัจด้วยบทว่า ภาวิตา มม โพชฺ บทว่า ปตฺโต เม อาส พระเถระกล่าวความถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งการทำให้แจ้งนิโรธสัจ ด้วยบทว่า ปตฺโต เม อาสวกฺขโย นี้. พระเถระแสดงสมบัติคือสอุปาทิเสสนิพพานของตน ด้วยคำมีประมาณเท่านี้. ก็บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงสมบัติคืออนุปาทิเสสนิพพาน จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ด้วยคำมีอาทิว่า โสหํ ดังนี้. คาถาที่ ๒ นั้น มีอธิบายดังนี้ เรานั้นรู้แล้ว คือกำหนดรู้ขันธ์ทั้งหลาย โดยนัยดังกล่าวแล้วอย่างนี้ และเมื่อกำหนดรู้อย่างนั้นแล้ว จึงถอนคือยกขึ้นซึ่งตัณหาอันได้นามว่า ชาลินี เพราะมีข่ายกล่าวคือความเกิดบ่อยๆ มีอาการร้อยรัดเหล่าสัตว์ไว้ในอัตภาพของตนและอัตภาพของคนอื่น ในอายตนะภายในและอายตนะภายนอก อันต่างโดยประเภทมีอดีตเป็นต้นจากจิตสันดานของเรา เมื่อยกข่ายคือตัณหานั้นขึ้นได้อย่างนั้น ก็ยังโพชฌงค์มีประเภทดังกล่าวแล้วให้เจริญ คือยังโพชฌงค์เหล่านั้นให้ถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนา ต่อแต่นั้นไป จึงเป็นผู้ไม่มีอาสวะตั้งอยู่แล้ว บัดนี้ เราจักนิพพานคือจักดับรอบ ด้วยการดับแห่งจิตดวงสุดท้าย เหมือนเปลวไฟหมดเชื้อดับไปฉะนั้น. จบอรรถกถาอุตตรเถรคาถา ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๓ ๑. อุตตรเถรคาถา จบ. |