ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 279อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 280อ่านอรรถกถา 26 / 281อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๓
๓. โสภิตเถรคาถา

               อรรถกถาโสภิตเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระโสภิตเถระ เริ่มต้นว่า สติมา ปญฺญวา.
               เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ เกิดในเรือนแห่งตระกูล ในพระนครหงสาวดี ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ เจริญวัยแล้วฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ได้บุพเพนิวาสญาณ กระทำความปรารถนามุ่งตำแหน่งนั้นแม้ด้วยตนเอง ท่องเที่ยวไปในสุคติภพเท่านั้น.
               เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสุเมธะ บรรลุนิติภาวะแล้ว ถึงความสำเร็จในภาควิชาการและศิลปศาสตร์ของพราหมณ์ทั้งหลาย มีใจน้อมไปในเนกขัมมะ ละฆราวาสวิสัยแล้วบวชเป็นดาบส ให้เขาสร้างอาศรมไว้ที่ชัฏแห่งป่า ใกล้ภูเขาหิมวันต์ ยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยมูลผลาผลในป่า สดับข่าวความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้า เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ที่ภัททวดีนคร ด้วยการพักอยู่ร่วมกันเพียงราตรีเดียวเท่านั้น ก็เป็นผู้มีใจเลื่อมใส ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถา ๖ คาถามีอาทิว่า ตุวํ สตฺถา จ เกตุ จ พระองค์เป็นศาสดา เป็นจอมเกตุ ดังนี้ และพระศาสดาก็ทรงประกาศยกย่องพระดาบส.
               ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลพราหมณ์ พระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้. คนทั้งหลายได้ตั้งชื่อเขาว่า โสภิตะ.
               โดยสมัยต่อมา เขาฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ได้เป็นผู้มีจิตศรัทธา บวชแล้วเจริญวิปัสสนา ได้เป็นผู้มีอภิญญา ๖ และได้เป็นผู้มีวสีอันปฏิบัติแล้ว (มีความชำนาญพิเศษ) ในบุพเพนิวาสญาณ.
               สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑-
               เราสร้างอาศรมอย่างสวยงามไว้ ณ ทิศทักษิณแห่งภูเขาหิมวันต์ ครั้งนั้น เราแสวงหาประโยชน์อันสูงสุด จึงอยู่ในป่าใหญ่ เรายินดีด้วยลาภและความเสื่อมลาภ คือด้วยเหง้ามันและผลไม้ ไม่เบียดเบียนใครๆ เที่ยวไป เราอยู่คนเดียว.
               ครั้งนั้น พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระองค์กำลังรื้อขนมหาชน ประกาศสัจจะอยู่ เรามิได้สดับข่าวพระสัมพุทธเจ้า ถึงใครๆ ที่จะบอกกล่าวให้เรารู้ก็ไม่มี เมื่อล่วงไปได้ ๘ ปี เราจึงได้สดับข่าวพระนายกของโลก เรานำเอาไฟและฟืนออกไปแล้ว กวาดอาศรม ถือเอาหาบสิ่งของออกจากป่าไป.
               ครั้งนั้น เราพักอยู่ในบ้านและนิคมแห่งละคืน เข้าไปใกล้พระนครจันทวดีโดยลำดับ.
               สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นำของโลกพระนามว่าสุเมธะ กำลังรื้อขนเป็นอันมาก ทรงแสดงอมตบท เราได้ผ่านหมู่ชนไป ถวายบังคมพระชินเจ้าผู้เสด็จมาดี ทำหนังสัตว์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แล้วสรรเสริญพระผู้นำของโลกว่า
               พระองค์เป็นพระศาสดา เป็นจอมเกตุ เป็นธงชัยและเป็นเสายัญของหมู่สัตว์ เป็นที่ยึดหน่วง เป็นที่พึ่งและเป็นที่เกาะของหมู่สัตว์ เป็นผู้สูงสุดกว่าประชา. พระองค์เป็นผู้ฉลาด เป็นนักปราชญ์ในทัสสนะ ทรงช่วยประชุมชนให้ข้ามพ้นไปได้.
               ข้าแต่พระมุนี ผู้อื่นที่จะช่วยให้สัตว์ข้ามพ้นไปได้ ยิ่งกว่าพระองค์ไม่มีในโลก สาครแสนลึกที่สุด ก็พึงอาจที่จะประมาณได้ด้วยปลายหญ้าคา.
               ข้าแต่พระสัพพัญญู ส่วนพระญาณของพระองค์ ใครๆ ไม่อาจประมาณได้เลย แผ่นดินก็อาจที่จะวางในตราชั่งแล้วกำหนดได้. ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ แต่สิ่งที่เสมอกับพระปัญญาของพระองค์ไม่มีเลย อากาศก็อาจจะวัดได้ด้วยเชือกและนิ้วมือ.
               ข้าแต่พระสัพพัญญู ส่วนศีลของพระองค์ใครๆ ไม่อาจจะประมาณได้เลย น้ำในมหาสมุทร อากาศและพื้นภูมิภาค ๓ อย่างนี้ ประมาณเอาได้. ข้าแต่พระองค์ผู้มีจักษุ พระองค์ย่อมเป็นผู้อันใครๆ จะประมาณเอาไม่ได้.
               เรากล่าวสรรเสริญพระสัพพัญญูผู้มีพระยศใหญ่ ด้วยคาถา ๖ คาถาแล้ว ประนมกรอัญชลี ยืนนิ่งอยู่ในเวลานั้น
               พระพุทธเจ้าผู้มีพระปัญญาเสมอด้วยแผ่นดินเป็นเมธีชั้นดี เขาขนานพระนามว่าสุเมธะ ประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์แล้ว ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า ผู้ใดมีใจเลื่อมใส ได้กล่าวสรรเสริญญาณของเรา เราจักพยากรณ์ผู้นั้น ท่านทั้งหลายจงฟังเรากล่าว
               ผู้นี้จะรื่นรมย์อยู่ในเทวโลก ๗๗ กัป จักเป็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติอยู่ในเทวโลก ๑,๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิเกิน ๑๐๐ ครั้ง และจักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับมิได้ เขาเป็นเทวดาหรือมนุษย์ จักเป็นผู้ตั้งมั่นในบุญกรรม จักเป็นผู้มีความดำริแห่งใจไม่บกพร่อง มีปัญญากล้า.
               ในสามหมื่นกัป พระศาสดาทรงพระนามว่า โคตมะ ซึ่งสมภพในวงศ์พระเจ้าโอกากราช จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ผู้นี้จักไม่มีความกังวล ออกบวชเป็นบรรพชิต จักบรรลุพระอรหัตแต่อายุ ๗ ขวบ.
               ในระหว่างที่เราระลึกถึงตน และได้บรรลุศาสนธรรม เจตนาที่ไม่น่ารื่นรมย์ใจ เราไม่รู้จักเลย เราท่องเที่ยวไปเสวยสมบัติในภพน้อยภพใหญ่ ความบกพร่องในโภคทรัพย์ไม่มีแก่เราเลย นี้เป็นผลในการสรรเสริญพระญาณ.
               ไฟ ๓ กอง เราดับสนิทแล้ว เราถอนภพทั้งปวงขึ้นหมดแล้ว เราเป็นผู้สิ้นอาสวะทุกอย่างแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มีอีก
               ในกัปที่สามหมื่น เราได้สรรเสริญพระญาณใดด้วยการสรรเสริญนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการสรรเสริญพระญาณ. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระพุทธเจ้า เรากระทำสำเร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๗๔

               ก็พระเถระ ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อระลึกถึงบุพเพนิวาสญาณของตนโดยลำดับ ได้เห็นจนถึงอจิตตกปฏิสนธิ ในอสัญญภพ แต่นั้นก็ไม่เห็นจิตตประวัติตลอด ๕๐๐ กัป เห็นเฉพาะในชาติสุดท้ายเท่านั้น เมื่อตรวจดูอยู่ว่า นี้อะไร? จึงเข้าใจว่าจักเป็นอสัญญภพ ด้วยสามารถแห่งนัย.
               สมดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เทวดาผู้มีอายุยืนชื่อว่าอสัญญสัตว์ มีอยู่ พระโสภิตะจุติจากอสัญญภพนั้นแล้วมาบังเกิดในภพนี้ เธอย่อมรู้ภพนั่น โสภิตะย่อมระลึกได้.
               พระศาสดาทรงเห็นความเป็นผู้ฉลาดในการระลึกชาติของพระเถระผู้ระลึกชาติอยู่ ด้วยสามารถแห่งนัยอย่างนี้ จึงทรงตั้งพระเถระไว้ในตำแหน่งแห่งภิกษุผู้เลิศของภิกษุผู้ระลึกบุพเพนิวาสญาณ.
               ก็ต่อแต่นั้นมา ท่านพระโสภิตะนี้พิจารณาบุพเพนิวาสานุสติญาณของตน พร้อมด้วยคุณพิเศษและข้อปฏิบัติอันเป็นปัจจัยแห่งบุพเพนิวาสานุสติญาณนั้น แล้วเกิดความโสมนัส
               เมื่อเปล่งอุทานอันแสดงถึงเหตุทั้งสองนั้น ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า
                         เราเป็นภิกษุผู้มีสติ มีปัญญา ปรารภความเพียร
                         เป็นกำลัง ระลึกชาติก่อนได้ ๕๐๐ กัปดุจคืนเดียว
                         เราเจริญสติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ ระลึก
                         ชาติก่อนได้ ๕๐๐ กัป ดุจคืนเดียว ดังนี้.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สติมา ความว่า ชื่อว่าผู้มีสติ เพราะความบริบูรณ์ด้วยสติปัฏฐานภาวนา และเพราะถึงความไพบูลย์แห่งสติอันถึงพร้อมแล้วด้วยกาลเป็นที่ประชุมขึ้นเอง.
               บทว่า ปญฺญวา ความว่า ชื่อว่าผู้มีปัญญา เพราะความบริบูรณ์ด้วยอภิญญา ๖ และเพราะถึงความบริบูรณ์ด้วยปัญญา. ชื่อว่าภิกษุ เพราะทำลายกิเลสได้แล้ว. ภิกษุชื่อว่ามีความเพียร คือพลธรรมอันปรารภแล้ว เพราะมีพละ ๕ มีศรัทธาเป็นต้น และความเพียรอันประกอบด้วยสัมมัปปธาน ๔ อย่างสำเร็จบริบูรณ์ดีแล้ว.
               อธิบายว่า แม้ถึงสติเป็นต้นจะเป็นพลธรรมในคาถานี้ ท่านก็ถือเอาศรัทธาเป็นต้นด้วยพลศัพท์ เหมือนในประโยคว่า โคพลิพทฺธา ปุญฺญญาณสมฺภารา โคพลิพัทธ์ เป็นองค์แห่งบุญและปัญญา.
               บทว่า ปญฺจ กปฺปสตานาหํ เอกรตฺตึ อนุสฺสรึ ความว่า ระลึกชาติก่อนได้ ๕๐๐ กัปดุจคืนเดียว
               ก็วิริยศัพท์ในคาถานี้ แสดงถึงการลบออก ตัดออก พระเถระแสดงความที่ตนเป็นผู้ชำนาญญาณในบุพเพนิวาสญาณด้วยวิริยศัพท์นี้.
               บัดนี้ เพื่อจะแสดงข้อปฏิบัติอันเป็นเหตุแห่งความเป็นผู้มีสติเป็นต้นของตน และเป็นเหตุให้สำเร็จบุพเพนิวาสญาณอันยอดเยี่ยมนั้น พระเถระจึงกล่าวคาถาที่ ๒ ด้วยคำมีอาทิว่า จตฺตาโร ดังนี้.
               พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๒ ดังต่อไปนี้
               บทว่า จตฺตาโร สติปฏฺฐาเน ได้แก่ สติปัฏฐานกล่าวคือสติอันเจือด้วยโลกิยะและโลกุตระ มี ๔ อย่างโดยความต่างแห่งอารมณ์ของตนมีกายานุปัสสนาเป็นต้น.
               บทว่า สตฺต ได้แก่ โพชฌงค์ ๗.
               บทว่า อฏฺฐ ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘.
               อธิบายว่า โพชฌงค์ ๗ ของพระอริยบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐานทั้งหลาย ย่อมถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนาแน่นอน มรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อันประเสริฐก็เหมือนกัน.
               สมจริงดังที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า
               ในบรรดาโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการอันประกอบด้วยโกฏฐาส ๗ เมื่อโกฏฐาสหนึ่งถึงความบริบูรณ์แห่งภาวนา ขึ้นชื่อว่าโกฏฐาสนอกนี้จะไม่ถึงความบริบูรณ์ด้วยภาวนาไม่มี เพราะพระบาลีมีอาทิว่า พระอริยบุคคลผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในสติปัฏฐาน ๔ ยังโพชฌงค์ ๗ ให้เจริญแล้วตามความเป็นจริง ดังนี้.
               บทว่า ภาวยํ ความว่า มีการเจริญเป็นเหตุ.
               คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วทั้งนั้น.

               จบอรรถกถาโสภิตเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๓ ๓. โสภิตเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 279อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 280อ่านอรรถกถา 26 / 281อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=5833&Z=5837
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=9927
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=9927
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :