ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 2อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 3อ่านอรรถกถา 26 / 4อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปิฐวรรคที่ ๑
๓. ปิฐวิมานที่ ๓

               อรรถกถาตติยปีฐวิมาน               
               ตติยปีฐวิมาน มีคาถาว่า ปีฐนฺเต โสวณฺณมยํ เป็นต้น.
               เรื่องของตติยปีฐวิมานนั้นเกิดขึ้นในกรุงราชคฤห์.
               ดังได้สดับมา พระเถระขีณาสพรูปหนึ่งเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ ได้อาหารแล้วประสงค์จะฉันในเวลาจวนแจ จึงเข้าไปยังเรือนหลังหนึ่งซึ่งเปิดประตูไว้.
               ในเรือนหลังนั้น สตรีเจ้าของเรือนมีศรัทธาปสาทะ สังเกตรู้อาการของพระเถระ จึงกล่าวว่า มาเถิดเจ้าข้า ขอท่านโปรดนั่งตรงนี้ฉันอาหารเถิดค่ะ แล้วจัดตั่งอย่างดี ปูผ้าสีเหลืองข้างบน ได้บริจาคโดยมิได้มุ่งอะไร และตั้งความปรารถนาว่า ขอบุญของเรานี้จงเป็นปัจจัยให้ได้ตั่งทองในอนาคตกาลเถิด.
               เมื่อพระเถระนั่งฉันอาหาร ณ ที่นั้น ล้างบาตรแล้วก็ลุกไป.
               นางจึงกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า อาสนะนี้ ดีฉันบริจาคแก่ท่านแล้ว ขอได้โปรดใช้สอยเพื่ออนุเคราะห์ดีฉันด้วยเถิดเจ้าค่ะ.
               พระเถระรับตั่งนั้น เพื่ออนุเคราะห์นาง แล้วให้ถวายแก่สงฆ์.
               สมัยต่อมา นางเป็นโรคอย่างหนึ่งตายไปบังเกิดในภพดาวดึงส์.
               คำดังกล่าวมาเป็นต้นทั้งหมด พึงทราบตามนัยที่กล่าวมาแล้วในกถาพรรณนาปฐมวิมานนั่นแล.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านพระโมคคัลลานะจึงถามว่า
                         ดูก่อนเทพธิดาผู้ประดับองค์ ทรงมาลัย ทรง
               พัสตราภรณ์อันสวยงาม วิมานตั่งทองของท่านโอฬาร
               เร็วดังใจ ไปได้ตามปรารถนา ท่านส่องแสงประกาย
               คล้ายสายฟ้าแลบลอดหลืบเมฆ เพราะบุญอะไร
               วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญอะไร ผลนี้จึง
               สำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.
                         ดูก่อนเทพี ผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน
               ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไร เพราะบุญอะไร
               ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่าน
               จึงสว่างไสวไปทุกทิศ.
                         เทวดาองค์นั้นถูกท่านพระโมคคัลลานะถามแล้ว
               ดีใจ ครั้นแล้วก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
                         นี้เป็นผลของกรรมเล็กน้อยของดีฉันอันเป็นเหตุ
               ให้ดีฉันมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ ครั้งเกิดเป็นมนุษย์
               ในหมู่มนุษย์ในชาติก่อน ในมนุษยโลก ดีฉันได้พบ
               ภิกษุผู้ปราศจากกิเลสดุจธุลี ผู้ผ่องใส ไม่หม่นหมอง
               ก็เลื่อมใส จึงได้ถวายตั่งแก่ท่านด้วยมือตนเอง เพราะ
               บุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น
               ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารักจึง
               เกิดแก่ดีฉัน.
                         ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
               แก่ท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ดีฉันได้ทำบุญใด เพราะ
               บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะ
               ของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

               ก็ในคำคาถาที่ ๕ เป็นต้นว่า ปุริมาย ชาติยา มนุสฺสโลเก ในชาติก่อนในมนุษยโลก นี้ ชาติศัพท์ใช้ในอรรถว่าสังขตลักษณะ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า ชาติ ทฺวีหิ ขนฺเธหิ สงฺคหิตา ชาติจัดเข้ากับขันธ์ ๒.
               ใช้ในอรรถว่านิกาย ได้ในบาลีเป็นต้นว่า นิคณฺฐา นาม สมณชาติ นิกาย [หมู่] สมณะ ชื่อนิครนถ์.
               ใช้ในอรรถว่าปฏิสนธิ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า ยํ มาตุกุจฺฉิยํ ปฐมํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ ปฐมํ วิญฺญาณํ ปาตุภูตํ ตทุปาทาย สาวสฺส ชาติ ปฐมจิต ปฐมวิญญาณอันใดเกิดปรากฏในท้องมารดา ความอาศัยปฐมจิตปฐมวิญญาณอันนั้นเกิด ชื่อว่าชาติ.
               ใช้ในอรรถว่าตระกูล ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อกฺขิตฺโต อนุปกฏฺโฐ ชาติวาเทน เป็นผู้อันเขาไม่คัดค้าน ไม่รังเกียจ โดยกล่าวถึงชาติคือตระกูล.
               ใช้ในอรรถว่าประสูติ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า สมฺปติชาโต อานนฺท โพธิสตฺโต ดูก่อนอานนท์ พระโพธิสัตว์เกิดแล้ว ณ เดี๋ยวนี้.
               ใช้ในอรรถว่าภพ ได้ในบาลีเป็นต้นว่า เอกํปิ ชาตึ เทฺวปิ ชาติโย ชาติ [ภพ] ๑ บ้าง ๒ ชาติ [ภพ] บ้าง.
               แม้ในที่นี้ ชาติศัพท์พึงเห็นว่า ใช้ในอรรถว่าภพอย่างเดียว. เพราะฉะนั้น จึงมีความว่าในชาติก่อนคือในภพก่อน. อธิบายว่า ในอัตภาพก่อนที่ล่วงมาติดต่อกัน.
               ก็คำนี้เป็นตติยาวิภัตติ ใช้ในอรรถสัตตมีวิภัตติ.
               บทว่า มนุสฺสโลเก ได้แก่ ภพ คือมนุษยโลก. ท่านกล่าวหมายถึงกรุงราชคฤห์. ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาโอกาสโลก. ส่วนสัตวโลก ท่านกล่าวด้วยบทว่า มนุสฺเสสุ นี้แล้ว.
               บทว่า อทฺทสํ แปลว่า เห็นแล้ว [พบแล้ว].
               บทว่า วิรชํ ได้แก่ ชื่อว่าวิรชะ เพราะท่านปราศจากกิเลสดุจธุลีมีราคะเป็นต้นแล้ว.
               บทว่า ภิกฺขุํ ได้แก่ ชื่อว่าภิกษุ เพราะท่านทำลายกิเลสเสียแล้ว. ชื่อว่าวิปปสันนะ เพราะท่านมีจิตผ่องใส เหตุไม่มีความขุ่นมัวด้วยกิเลส. ชื่อว่าอนาวิละ เพราะท่านมีความดำริไม่หม่นหมอง.
               บทต้นๆ ในคำนี้เป็นคำกล่าวเหตุของบทหลังๆ ว่า เพราะเหตุที่ท่านปราศจากกิเลสดุจธุลีมีราคะเป็นต้น จึงชื่อว่าภิกษุ เพราะทำลายกิเลสเสียแล้ว เพราะเหตุที่ทำลายกิเลสเสียแล้ว จึงชื่อว่าวิปปสันนะ เพราะไม่มีความขุ่นมัวด้วยกิเลส ชื่อว่าอนาวิละ เพราะท่านเป็นผู้มีใจผ่องใสแล้ว.
               หรือว่า บทหลังๆ เป็นคำกล่าวเหตุของบทต้นๆ. ชื่อว่าวิรชะ เพราะประกอบด้วยความไม่อาลัยในคุณเครื่องเป็นภิกษุ. จริงอยู่ ภิกษุเป็นผู้ทำลายกิเลสเสียแล้ว ชื่อว่าภิกษุ เพราะเป็นผู้ผ่องใสแล้ว. จริงอยู่ ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้มีใจผ่องใสแล้ว เพราะไม่มีความขุ่นมัวด้วยกิเลส. ชื่อว่าวิปปสันนะ เพราะเป็นผู้มีความดำริไม่หม่นหมอง.
               อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่าวิรชะ เพราะไม่มีกิเลสดุจธุลีคือราคะ. กล่าวว่าวิปปสันนะ เพราะไม่มีความขุ่นมัวด้วยโทสะ. กล่าวว่าอนาวิละ เพราะไม่มีความเกลือกกลั้วด้วยโมหะ. กล่าวว่าภิกษุ เพราะท่านผู้เป็นอย่างนี้ ชื่อว่าภิกษุโดยปรมัตถ์.
               คำว่า อทาสหํ ตัดบทว่า อทาสึ อหํ เราได้ถวายแล้ว.
               บทว่า ปีฐํ ได้แก่ ตั่งอย่างดี [ภัทรบิฐ] ที่มีอยู่ในสำนักของดีฉันในครั้งนั้น.
               บทว่า ปสนฺนา ได้แก่ มีจิตเลื่อมใส เพราะเชื่อในผลกรรมและเชื่อในพระรัตนตรัย.
               บทว่า เสหิ ปาณิภิ ความว่า ดีฉันไม่ใช้คนอื่น จัดตั่งที่ควรน้อมเข้าไปด้วยมือของตนถวาย.
               ในคาถานั้น เทวดาแสดงเขตสมบัติด้วยบทว่า วิรชํ ภิกขุํ วิปฺปสนฺนมนาวิลํ นี้. แสดงเจตนาสมบัติด้วยบทว่า ปสนฺนา นี้. แสดงประโยคสมบัติด้วยบทว่า เสหิ ปาณิภิ นี้.
               อนึ่ง เทวดาแสดงคุณแห่งทาน ๒ นี้ คือ ถวายโดยเคารพและถวายใกล้ชิด ด้วยบทว่า ปสนฺนา นี้. แสดงคุณแห่งทาน ๒ นี้ คือ ถวายด้วยมือตนเองและตามเข้าไปถวาย ด้วยบทว่า เสหิ ปาณิภิ นี้.
               พึงทราบว่า เทวดาแสดงคุณแห่งทาน ๒ นี้ คือ ทำความยำเกรงถวาย ถวายตามกาล เพราะเป็นผู้รู้จักเวลานั่ง ด้วยการลาดผ้าสีเหลือง.
               คำที่เหลือมีนัยที่กล่าวมาแล้วในหนหลังทั้งนั้น.

               จบอรรถกถาตติยปีฐวิมาน               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ปิฐวรรคที่ ๑ ๓. ปิฐวิมานที่ ๓ จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 2อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 3อ่านอรรถกถา 26 / 4อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=46&Z=67
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=30&A=588
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=30&A=588
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๑  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :