บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องราวของท่านเป็นอย่างไร? แม้พระเถระนี้ก็เป็นผู้มีอธิการอันกระทำแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ทั้งหลาย สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในภพนั้นๆ เกิดในตระกูลที่ยากจนในปัจจันตคาม ในพุทธกัปต่อแต่นี้ บรรลุ ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เกิดในตระกูลของพระเจ้ามัณฑลิกะ แคว้นมคธ ในพุทธุปบาทกาลนี้ได้มีนามว่าวิสาขะ ภายหลังปรากฏนามว่าปัญจาลปุตตะ เพราะความเป็นพระโอรสแห่งราชธิดาของพระเจ้าปัญจาละ. เมื่อพระชนกสวรรคตแล้ว เขาก็เสวยราชสมบัติ. เมื่อพระศาสดาเสด็จมาใกล้วังของพระ สมดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- ในกาลนั้น ชนทั้งปวงชักชวนกันมาสู่ป่า เขาเหล่านั้นแสวงหาผลไม้ ก็หาผลไม้ได้ในกาลนั้น ในป่านั้น เราได้เห็นพระสัมพุทธเจ้าผู้สยัมภูผู้ไม่เคยพ่ายแพ้ เรามีจิตเลื่อมใส มีใจโสมนัส ได้ถวายผลวัลลิ. ในกัปที่ ๓๑ แต่ภัทรกัปนี้ เราได้ถวายผลไม้ใดในกาลนั้น ด้วยทานนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการถวายผลไม้. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ฯลฯ คำสอนของพระ ____________________________ ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๒/ข้อ ๓๘๘ ก็พระเถระเป็นผู้มีอภิญญา ๖ แล้วได้กลับไปภูมิลำเนาเดิมเพื่ออนุเคราะห์หมู่ญาติ มนุษย์ทั้งหลายในที่นั้นเข้าไปหาพระเถระแล้ว ฟังธรรมตามกาลตามโอกาส. วันหนึ่งถามพระเถระถึงลักษณะของพระธรรมกถึกว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์คุณเท่าไรหนอแล จึงจะเป็นพระธรรมกถึกได้. พระเถระเมื่อจะบอกลักษณะของพระธรรมกถึกแก่เขาเหล่านั้น ได้กล่าวคาถา ๒ คาถาความว่า พระธรรมกถึกประกอบด้วยองค์ดังนี้ คือไม่พึงยกตน ๑ ไม่พึงข่มบุคคลเหล่าอื่น ๑ ไม่พึงกระทบกระทั่งบุคคล เหล่าอื่น ๑ ไม่กล่าวคุณความดีของตนในที่ชุมนุมชน เพื่อมุ่งลาภผล ๑ ไม่มีจิตฟุ้งซ่าน กล่าวแต่พอประมาณ มีวัตร ๑ ภิกษุผู้เป็นธรรมกถึกพึงเป็นผู้มีปกติ เห็นเนื้อ ความอันสุขุมละเอียด มีปัญญาเฉลียวฉลาด ประพฤติ อ่อนน้อม มีศีลตามเยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้านั้น พึง ได้นิพพานไม่ยากเลย ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น อุกฺขิเป ความว่า ไม่พึงยกขึ้นซึ่งตน คือไม่พึงทำการยกตน ด้วยตระกูลมีชาติเป็นต้น และด้วยคุณสมบัติมีพาหุสัจจะเป็นต้น. บทว่า โน จ ปริกฺขิเป ปเร ความว่า ไม่พึงข่มผู้อื่นคือบุคคลอื่น ด้วยชาติเป็นต้นเหล่านั้นนั่นแล คือไม่พึงกดผู้อื่นโดยปกปิดคุณ หรือไม่พึงกดผู้อื่นด้วยสามารถแห่งการทำลายคุณความดี. พึงเชื่อมความอย่างนี้ว่า ไม่พึงกระทบกระทั่งบุคคลเหล่าอื่น คือไม่กระทบกระทั่งบุคคลอื่นด้วยสามารถแห่งการเพ่งโทษ ได้แก่ไม่พึงมองผู้อื่นอย่างเหยียดหยาม. อธิบายว่า น อุกฺขิเป ความก็อย่างนั้นแหละ. บทว่า ปารคตํ ความว่า ไม่พึงกระทบกระทั่ง คือไม่พึงห้าม ไม่พึงเสียดสี ได้แก่ไม่พึงดูหมิ่นซึ่งพระขีณาสพผู้ถึงฝั่งแห่งวิชชา ดุจถึงฝั่งแห่งสงสาร ผู้มีวิชชา ๓ หรือมีอภิญญา ๖. บทว่า น จตฺตวณฺณํ ปริสาสุ พฺยาหเร ความว่า ผู้มุ่งลาภสักการะและความสรรเสริญ ไม่พึงกล่าวสรรเสริญคุณของตนในบริษัทของกษัตริย์เป็นต้น. บทว่า อนุทฺธโต ความว่า เว้นจากความฟุ้งซ่าน. อธิบายว่า พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ยินดีด้วยคำของผู้ที่ฟุ้งซ่าน. บทว่า สมฺมิตภาณี ความว่า กล่าวด้วยคำพอประมาณ โดยชอบนั่นเทียว. อธิบายว่า มีปกติกล่าวถ้อยคำที่ประกอบไปด้วยประโยชน์เท่านั้น มีที่อ้างอิง มีที่สุด ตามกาล. ถ้อยคำของผู้ที่กล่าวนอกเหนือไปจากนี้ ย่อมไม่เป็นที่เชื่อถือ. บทว่า สุพฺพโต ผู้มีวัตรอันงาม คือสมบูรณ์ด้วยศีล. พึงนำบทกิริยาว่า สิยา มาประกอบเข้าด้วย. พระเถระกล่าวลักษณะของพระธรรมกถึกโดยสังเขปเท่านั้นอย่างนี้แล้ว น้อมใจนึกถึงความที่คุณเหล่านั้นเป็นเหตุให้ตนได้รับความยกย่องนับถือรู้ว่า มหา ความแห่งคาถาที่สองนั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในหนหลังแล้วทั้งนั้น. จบอรรถกถาวิสาขปัญจาลปุตตเถรคาถา ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทุกนิบาต วรรคที่ ๕ ๕. วิสาขปัญจาลีปุตตเถรคาถา จบ. |