ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 312อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 313อ่านอรรถกถา 26 / 314อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติกนิบาต
๗. วารณเถรคาถา

               อรรถกถาวารณเถรคาถา               
               คาถาของพระวารณเถระ มีคำเริ่มต้นว่า โยธ โกจิ มนุสฺเสสุ.
               มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร?
               แม้ท่านพระวารณเถระนี้มีบุญญาธิการที่ได้ทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เมื่อทำบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกัปที่ ๙๒ (นับถอยหลัง) แต่กัปนี้ไป ก่อนแต่การเสด็จอุบัติขึ้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าติสสะนั่นเอง ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นผู้ถึงฝั่งในวิชาและศิลปะของพราหมณ์ บวชเป็นฤาษี บอกมนต์แก่อันเตวาสิกประมาณ ๕๔,๐๐๐ คนอยู่.
               ก็สมัยนั้น ได้มีการไหวแห่งมหาปฐพี เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าติสสะ ผู้ยังเป็นพระโพธิสัตว์ จุติจากหมู่เทพชั้นดุสิต ก้าวลงสู่คัพโภทรของพระพุทธมารดาในภพสุดท้าย.
               มหาชนเห็นเหตุการณ์นั้นแล้วตกใจกลัว จึงพากันไปหาฤาษี ถามถึงเหตุที่ทำให้แผ่นดินไหว. ท่านบอกถึงบุรพนิมิตแห่งการอุบัติขึ้นของพระพุทธเจ้าว่า พระมหาโพธิสัตว์ก้าวลงสู่คัพโภทรของพระพุทธมารดา แผ่นดินไหวนี้มีด้วยเหตุนั้น เพราะฉะนั้น อย่าพากันกลัวแล้วให้เขาเบาใจกัน และได้ประกาศให้ทราบถึงปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์.
               เขาท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก ด้วยบุญกรรมนั้น มาในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้เกิดในตระกูลพราหมณ์ ในแคว้นโกศล มีชื่อว่าวารณะ เจริญวัยแล้วได้ฟังธรรมในสำนักของพระเถระผู้อยู่ป่ารูปหนึ่ง ได้ความเลื่อมใส บวชบำเพ็ญสมณธรรม.
               อยู่มาวันหนึ่ง ท่านไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เห็นงูเห่ากับพังพอนต่อสู้กัน ตายที่ระหว่างทาง สังเวชสลดใจว่า สัตว์เหล่านี้ถึงความสิ้นชีวิต เพราะโกรธกันดังนี้แล้ว ได้ไปถึงสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงทราบอาจาระอันงามของท่านแล้ว เมื่อจะทรงประทานพระโอวาทให้เหมาะกับอาจาระนั้นนั่นแหละ จึงได้ทรงภาษิตพระคาถา ๓ คาถาว่า
                                   บรรดามนุษย์ในโลกนี้ นรชนใดเบียดเบียน
                         สัตว์เหล่าอื่น นรชนนั้นย่อมกำจัดหิตสุขในโลกทั้ง ๒
                         คือทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ส่วนนรชนใดมีเมตตาจิต
                         อนุเคราะห์สัตว์ทั้งมวล นรชนนั้นผู้เช่นนั้นย่อมประสบ
                         บุญตั้งมากมาย เขาควรศึกษาธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัส
                         ไว้ดีแล้ว การเข้าไปนั่งใกล้สมณะ การอยู่แต่ผู้เดียวใน
                         ที่ลับ และธรรมเครื่องสงบระงับจิต.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โยธ โกจิ มนุสฺเสสุ ความว่า บรรดามนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ คนใดคนหนึ่งจะเป็นกษัตริย์ก็ตาม พราหมณ์ก็ตาม แพศย์ก็ตาม ศูทรก็ตาม คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม.
               ศัพท์ว่า มนุสฺส ในคำว่า โยธ มนุสฺเสสุ นี้พึงทราบว่า เป็นตัวอย่างของสัตว์ชั้นอุกฤษฏ์.
               บทว่า ปรปาณานิ หึสติ ความว่า ฆ่าและเบียดเบียนสัตว์อื่น.
               บทว่า อสฺมา โลกา ความว่า ในโลกนี้.
               บทว่า ปรมฺหา ความว่า ในโลกหน้า.
               บทว่า อุภยา ธํสเต ความว่า ย่อมกำจัด (หิตสุข) ในโลกทั้ง ๒.
               อธิบายว่า ย่อมเสื่อมจากความเกื้อกูลและความสุขที่นับเนื่องในโลกทั้ง ๒.
               บทว่า นโร ได้แก่ สัตว์.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงบาปธรรมที่มีลักษณะเบียดเบียนผู้อื่นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงกุศลธรรมที่มีลักษณะห้ามการเบียดเบียนผู้อื่น จึงได้ตรัสคาถาที่ ๒ ไว้โดยนัยมีอาทิว่า โย จ เมตฺเตน ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เมตฺเตน จิตฺเตน ความว่า มีจิตที่ประกอบด้วยเมตตา หรือมีจิตนอกจากนี้ ที่ถึงอัปปนา.
               บทว่า สพฺพปาณานุกมฺปติ ความว่า เมตตาสัตว์ทั้งหมดเหมือนบุตรเกิดแต่อกของตน.
               บทว่า พหุํ หิ โส ปสวติ ปุญฺญํ ตาทิโส นโร ความว่า บุคคลนั้นคือผู้อยู่ด้วยเมตตาแบบนั้น ย่อมประสบคือได้เฉพาะ ได้แก่บรรลุกุศลมาก คือมากมาย ได้แก่ไม่น้อย.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกอบท่านไว้ในธรรมคือสมถะและวิปัสสนา พร้อมด้วยองค์ประกอบ จึงได้ตรัสคาถาที่ ๓ ไว้โดยนัยมีอาทิว่า สุภาสิตสฺส ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุภาสิตสฺส สิกฺเขถ ความว่า พึงศึกษาสุภาษิตซึ่งแยกเป็นกถาของผู้มักน้อยเป็นต้น คือปริยัติธรรม ด้วยสามารถแห่งการฟัง การทรงจำและการสอบถามเป็นต้น.
               บทว่า สมณูปาสนสฺส จ ความว่า พึงศึกษาการเข้าไปนั่งใกล้สมณะผู้ระงับบาปแล้ว (และ) อุบาสกผู้เป็นกัลยาณมิตร ตามกาลเวลาที่สมควรและจริยาที่ใกล้เคียงของท่านเหล่านั้นด้วยข้อปฏิบัติ.
               บทว่า เอกาสนสฺส จ รโห จิตฺตวูปสมสฺส จ ความว่า พึงศึกษาอาสนะ คือที่นั่งของคนๆ เดียวผู้ไม่มีเพื่อน หมั่นพอกพูนกายวิเวกด้วยอำนาจการหมั่นประกอบกรรมฐานในที่ลับ.
               เมื่อหมั่นประกอบกรรมฐานอยู่อย่างนี้ และยังภาวนาให้ถึงที่สุด ศึกษาความสงบแห่งกิเลส และความสงบแห่งจิต ด้วยอำนาจการตัดขาด (สมุจเฉทปหาน). กิเลสทั้งหลายที่สงบไปแล้วโดยส่วนเดียวนั่นเอง เป็นอันท่านละได้แล้วด้วยสิกขาเหล่าใดมีอธิสีลสิกขาเป็นต้น. เมื่อท่านศึกษาสิกขาเหล่านั้น คือสิกขาที่เกี่ยวเนื่องกับมรรคและผล จิตก็ชื่อว่าสงบไปแล้วโดยส่วนเดียว.
               ในที่สุดแห่งคาถา ท่านเจริญวิปัสสนาแล้ว ได้บรรลุพระอรหัตผล.
               ด้วยเหตุนั้น ในอปทานท่านจึงได้กล่าวไว้ว่า๑-
               ครั้งนั้น ข้าพเจ้ายึดอาศัยป่าหิมพานต์ สอนมนต์ ศิษย์ของข้าพเจ้าจำนวน ๕๔,๐๐๐ คนได้อุปัฏฐากข้าพเจ้า เขาเหล่านั้นทั้งหมดได้สำเร็จ จบพระเวทถึงบารมี มีองค์ ๖ ควรจะบรรลุด้วยวิชาของตน จึงพากันอยู่ในป่าหิมพานต์.
               เทพบุตรผู้มียศมากจุติจากหมู่เทวดาชั้นดุสิต มีสติมีสัมปชัญญะ เกิดในท้องของมารดา เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นมา หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว คนตาบอดได้ดวงตา ในเมื่อพระผู้เป็นนายกโลกเสด็จอุบัติขึ้น ผืนแผ่นดินนี้ทั้งผืน หวั่นไหวไปทั่วทุกอาการ
               มหาชนได้สดับเสียงกึกก้อง หวาดกลัว มวลชนหลั่งมาชุมนุมกันยังสำนักของข้าพเจ้า (ถามว่า) พสุธานี้ไหว จักมีผลอย่างไร?
               ครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้บอกพวกเขาว่า สูเจ้าทั้งหลายอย่าพากันนอน สูเจ้าทั้งหลายจะไม่มีภัย สูเจ้าแม้ทุกคนจะประเสริฐ นี้เป็นการเกิดขึ้นที่อำนวยความสวัสดี พสุธานี้ไหวต้องด้วยเหตุ ๘ ประการ นิมิตอย่างนั้นแสดงให้เห็น จะมีแสงสว่างที่ไพบูลย์มาก
               พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ผู้มีพุทธจักษุ จักเสด็จอุบัติขึ้นแน่ไม่ต้องสงสัย พระองค์จะตรัสบอกศีล ๕ ให้ชุมนุมชนเข้าใจ
               เขาเหล่านั้นได้ยินศีล ๕ และการเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าที่หาได้ยาก เกิดความตื่นเต้นดีใจ ได้พากันร่าเริงหรรษา
               ในกัปที่ ๙๒ แต่กัปนี้ ข้าพเจ้าได้พยากรณ์นิมิตใดไว้ ด้วยการพยากรณ์นิมิตนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการพยากรณ์. กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าเผาแล้ว ฯลฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๕๙

               จบอรรถกถาวารณเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติกนิบาต ๗. วารณเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 312อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 313อ่านอรรถกถา 26 / 314อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6104&Z=6110
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=12179
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=12179
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :