ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 314อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 315อ่านอรรถกถา 26 / 316อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติกนิบาต
๙. ยโสชเถรคาถา

               อรรถกถายโสชเถรคาถา               
               คาถาของท่านพระยโสชเถระ มีคำเริ่มต้นว่า กาลปพฺพงฺคสงฺกาโส.
               มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร?
               แม้ท่านพระยโสชเถระนี้มีบุญญาธิการที่ได้ทำไว้แล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ เมื่อสั่งสมบุญทั้งหลายในภพนั้นๆ มาในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้เกิดในตระกูลของผู้เฝ้าสวน รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี กำลังเสด็จมาทางอากาศ มีใจเลื่อมใส ได้ถวายผลขนุนสำมะลอ (แด่พระองค์).
               ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก มาในพุทธุปบาทกาลนี้ จึงได้เกิดเป็นบุตรของชาวประมงผู้เป็นหัวหน้าของคน ๕๐๐ สกุลในหมู่บ้านของชาวประมง ใกล้ประตูพระนครสาวัตถี. มารดาบิดาได้ขนานนามท่านว่ายโสชะ.
               ท่านเจริญวัยแล้วได้ไปลงอวนที่แม่น้ำอจิรวดี เพื่อจะเอาปลาพร้อมกับลูกชาวประมงที่เป็นเพื่อนของตน. บรรดาปลาเหล่านั้น ปลาใหญ่ตัวหนึ่งมีสีเหมือนทองเข้าอวน. ชาวประมงเหล่านั้นพากันเอาปลาไปให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตร.
               พระองค์ตรัสว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า (เท่านั้น) จึงจะทรงทราบเหตุแห่งสีของปลาสีทองตัวนี้ แล้วทรงให้พวกเขาเอาปลาไปให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตร.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปลาตัวนี้ เมื่อพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าเสื่อมถอยลง บวชแล้วปฏิบัติผิด ทำให้ศาสนาเสื่อมถอยลง (มรณภาพแล้ว) ไปเกิดในนรก ไหม้อยู่ในนรกสิ้นพุทธันดรหนึ่ง จุติจากนรกนั้นแล้ว จึงมาเกิดเป็นปลาในแม่น้ำอจิรวดี แล้วทรงให้ปลานั้นนั่นเอง บอกความที่เขาและน้องของเขาเกิดในนรก และบอกความที่พระเถระผู้เป็นพี่ชายของเขาปรินิพพานแล้ว จึงทรงแสดงกบิลสูตร เพราะเกิดเรื่องนี้ขึ้น.
               นายยโสชะ ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว เกิดสังเวชสลดใจ จึงได้บวชในสำนักของพระศาสดา พร้อมด้วยสหายของตน พักอยู่ ณ ที่ๆ สมควร.
               อยู่มาวันหนึ่งเป็นผู้มีบริวารได้ไปยังพระเชตวัน เพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า. ในการมาของท่านได้มีเสียงอึกทึกคึกโครมไปด้วยการปูเสนาสนะเป็นต้นในวิหาร
               ผู้ศึกษาควรทราบเรื่องทั้งหมดโดยนัยที่มีมาแล้วในคัมภีร์อุทานว่า พระศาสดาครั้นได้ทรงสดับเสียงนั้นแล้วได้ทรงประณามท่านยโสชะพร้อมด้วยบริวาร.
               ส่วนท่านยโสชะผู้ถูกประณามแล้วสลดใจ เหมือนม้าอาชาไนยตัวดีถูกหวดด้วยแส้ จึงพักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา พร้อมด้วยบริษัทบริวาร พยายามสืบต่อบำเพ็ญวิปัสสนา แล้วได้เป็นพระอริยเจ้าผู้มีอภิญญา ๖ ในภายในพรรษานั่นเอง.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้กล่าวไว้ในอปทานว่า๑-
               ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เป็นคนเฝ้าสวน ในนครพันธุมดี ได้เห็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงปราศจากความกำหนัด กำลังเสด็จดำเนินไป ข้าพเจ้าไม่ได้หลีกไป ได้เอาผลขนุนสำมะลอไปถวายพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐที่สุด.
               พระองค์ผู้มีพระยศยิ่งใหญ่ มีพระทัยสงบแล้ว ประทับบนอากาศนั่นเอง ทรงรับเอาผลไม้นั้น พระองค์ทรงยังความปลื้มใจให้เกิดแก่ข้าพเจ้า ทรงนำความสุขในปัจจุบันมาให้ข้าพเจ้า เพราะถวายผลไม้แด่พระพุทธเจ้า ด้วยใจเลื่อมใส ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าจึงประสบปีติที่ไพบูลย์ และความสุขอย่างสูงสุด รัตนะเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้าผู้เกิดในภพนั้นๆ ทีเดียว
               ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย เพราะเหตุที่ได้ถวายผลไม้แก่พระพุทธเจ้าในครั้งนั้น นี้คือผลแห่งการให้ทานผลไม้. กิเลสทั้งหลายข้าพเจ้าได้เผาแล้ว ฯลฯ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติแล้ว.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๕๗

               ก็พระศาสดาได้ตรัสสั่งให้หาท่านยโสชะ พร้อมด้วยบริวารผู้มีอภิญญา ๖ แล้ว ได้ทรงทำการต้อนรับด้วยอาเนญชสมาบัติ (สมาบัติที่ไม่หวั่นไหว)
               ท่านสมาทานธุดงค์ธรรมแม้ทุกข้อแล้วประพฤติ. ด้วยเหตุนั้น ร่างกายของท่านจึงผ่ายผอม เศร้าหมอง ผิวพรรณคล้ำไป.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงสรรเสริญท่าน ด้วยความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง จึงได้ตรัสพระคาถาที่ ๑ ไว้ว่า
                         นรชนผู้มีใจไม่ย่อท้อ เป็นผู้รู้จักประมาณในข้าวและน้ำ
                         ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหมือนกับเถาหญ้านาง.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาลปพฺพงฺคสงฺกาโส ความว่า มีตัวคล้ายข้อเถาหญ้านาง เพราะมีอวัยวะร่างกายผอม ดำรงอยู่โดยยาก โดยปราศจากกล้ามเนื้อ ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงได้ตรัสไว้ว่า กิโส ธมนิสนฺถโต ผอมมีตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น.
               บทว่า กิโส ได้แก่ มีรูปร่างผอม เพราะบำเพ็ญโมเนยยปฏิปทา ข้อปฏิบัติเพื่อเป็นมุนีให้บริบูรณ์.
               บทว่า ธมนิสนฺถโต ความว่า มีตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น. อธิบายว่า มีรูปร่างเกลื่อนไปด้วยเส้นเอ็นใหญ่ๆ ที่ปรากฏชัด เพราะมีเนื้อและเลือดน้อย.
               บทว่า มตฺตญฺญู ได้แก่ เป็นผู้รู้ประมาณในการแสวงหา การรับการฉันและการเสียสละ.
               บทว่า อทีนมานโส ได้แก่ ผู้มีใจไม่หดหู่ เพราะไม่ถูกความเกียจคร้านเป็นต้นครอบงำ คือเป็นผู้มีพฤติกรรมไม่เกียจคร้าน.
               บทว่า นโร ได้แก่ ผู้ชาย คือผู้สมบูรณ์ด้วยลักษณะของผู้ชาย เพราะนำธุระของลูกผู้ชายไปได้. อธิบายว่า ชายที่เอางานเอาการ.
               พระเถระผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญอย่างนี้แล้ว เมื่อจะกล่าวธรรมที่เหมาะสมกับความที่ตนเป็นผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย โดยการสรรเสริญอธิวาสนขันติ วิริยารัมภะและความยินดีในวิเวกของตนเป็นสำคัญ จึงได้ภาษิตคาถา ๒ คาถาไว้ว่า
                                   ภิกษุถูกเหลือบและยุงในป่าใหญ่กัด ควรเป็นผู้มี
                         สติอดกลั้นในอันตรายเหล่านั้น เหมือนช้างในสงคราม
                                   ภิกษุอยู่รูปเดียวย่อมเป็นเหมือนพรหม อยู่ ๒ รูป
                         เหมือนเทวดา อยู่ ๓ รูปเหมือนชาวบ้าน อยู่ด้วยกันมาก
                         กว่านั้น ย่อมมีความโกลาหลมากขึ้น เพราะฉะนั้น ภิกษุ
                         ควรเป็นผู้อยู่แต่รูปเดียว.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาโค สงฺคามสีเสว ความว่า อุปมาเสมือนหนึ่งว่า ช้างตัวประเสริฐอาชาไนยสู้ทนเครื่องประหัตประหารมีดาบหอกแทงและหอกซัดเป็นต้นในสนามรบแล้ว กำจัดแสนยานุภาพฝ่ายข้าศึก (ปรเสนา) ได้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น ควรมีสติสัมปชัญญะ อดทนอันตรายมีเหลือบเป็นต้นในป่าใหญ่ คือพงไพรไว้ และครั้นทนได้แล้วก็จะพึงกำจัดมารและพลมารได้ ด้วยกำลังแห่งภาวนา.
               บทว่า ยถา พฺรหฺมา ความว่า พระพรหมโดดเดี่ยวเดียวดาย เว้นจากผู้กวนใจ อยู่สำราญด้วยฌานสุขเนืองนิจทีเดียวฉันใด.
               บทว่า ตถา เอโก ความว่า แม้ภิกษุอยู่รูปเดียว ไม่มีเพื่อนก็เช่นนั้นเหมือนกัน จะเพิ่มพูนความสุขเกิดแต่วิเวกอยู่อย่างสำราญ.
               จริงดังที่กล่าวไว้ว่า ความสุขธรรมดาสามัญของคนๆ เดียว เป็นความสุขที่ประณีต.
               ด้วยคำว่า ยถา พฺรหฺมา ตถา เอโก นี้ พระเถระชื่อว่าให้โอวาทว่า ภิกษุผู้อยู่รูปเดียวเป็นปกติ เป็นผู้เสมอเหมือนพระพรหม.
               บทว่า ยถา เทโว ตถา ทุเว ความว่า เทวดาทั้งหลายก็คงมีความวุ่นวายใจเป็นระยะๆ ฉันใด แม้การกระทบกระทั่งกัน เพราะการอยู่ร่วมกันก็คงมีแก่ภิกษุ ๒ รูป ฉันนั้น. เพราะฉะนั้น ภิกษุท่านกล่าวว่า เป็นผู้เสมอเหมือนเทวดา โดยการอยู่มีเพื่อนสอง.
               บทว่า ยถา คาโม ตถา ตโย ความว่า ในบาลีแห่งนี้เท่านั้น การอยู่ร่วมกันของภิกษุ ๓ รูปเป็นเสมือนการอยู่ของชาวบ้าน. อธิบายว่า ไม่ใช่การอยู่อย่างวิเวก.
               บทว่า โกลาหลํ ตรุตฺตรึ ความว่า การอยู่ร่วมกันเกิน ๓ คนหรือมากกว่านั้นเป็นความโกลาหล. อธิบายว่า เป็นเสมือนการชุมนุมของคนจำนวนมาก ที่มีเสียงอึกทึกครึกโครม เพราะฉะนั้น ภิกษุควรจะเป็นผู้อยู่คนเดียวเป็นปกติ.

               จบอรรถกถายโสชเถรคาถา               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติกนิบาต ๙. ยโสชเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 314อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 315อ่านอรรถกถา 26 / 316อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6119&Z=6127
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=32&A=12306
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=32&A=12306
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :