บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
มีเรื่องเกิดขึ้นอย่างไร? แม้ท่านพระยโสชเถระนี้มีบุญญาธิการที่ได้ทำไว้แล้วในพระพุทธ ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปมาในเทวโลกและมนุษยโลก มาในพุทธุปบาทกาลนี้ จึงได้เกิดเป็นบุตรของชาวประมงผู้เป็นหัวหน้าของคน ๕๐๐ สกุลในหมู่บ้านของชาวประมง ใกล้ประตูพระนครสาวัตถี. มารดาบิดาได้ขนานนามท่านว่ายโสชะ. ท่านเจริญวัยแล้วได้ไปลงอวนที่แม่น้ำอจิรวดี เพื่อจะเอาปลาพร้อมกับลูกชาวประมงที่เป็นเพื่อนของตน. บรรดาปลาเหล่านั้น ปลาใหญ่ตัวหนึ่งมีสีเหมือนทองเข้าอวน. ชาวประมงเหล่านั้นพากันเอาปลาไปให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทอดพระเนตร. พระ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ปลาตัวนี้ เมื่อพระศาสนาของพระ นายยโสชะ ครั้นได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว เกิดสังเวชสลดใจ จึงได้บวชในสำนักของพระศาสดา พร้อมด้วยสหายของตน พักอยู่ ณ ที่ๆ สมควร. อยู่มาวันหนึ่งเป็นผู้มีบริวารได้ไปยังพระเชตวัน เพื่อถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า. ในการมาของท่านได้มีเสียงอึกทึกคึกโครมไปด้วยการปูเสนาสนะเป็นต้นในวิหาร ผู้ศึกษาควรทราบเรื่องทั้งหมดโดยนัยที่มีมาแล้วในคัมภีร์อุทานว่า พระศาสดาครั้นได้ทรงสดับเสียงนั้นแล้วได้ทรงประณามท่านยโสชะพร้อมด้วยบริวาร. ส่วนท่านยโสชะผู้ถูกประณามแล้วสลดใจ เหมือนม้าอาชาไนยตัวดีถูกหวดด้วยแส้ จึงพักอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำวัคคุมุทา พร้อมด้วยบริษัทบริวาร พยายามสืบต่อบำเพ็ญวิปัสสนา แล้วได้เป็นพระอริยเจ้าผู้มีอภิญญา ๖ ในภายในพรรษานั่นเอง. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงได้กล่าวไว้ในอปทานว่า๑- ในครั้งนั้น ข้าพเจ้าได้เป็นคนเฝ้าสวน ในนครพันธุมดี ได้เห็นพระ พระ ในกัปที่ ๙๑ แต่ภัทรกัปนี้ ข้าพเจ้าไม่รู้จักทุคติเลย เพราะเหตุที่ได้ ____________________________ ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๕๗ ก็พระศาสดาได้ตรัสสั่งให้หาท่านยโสชะ พร้อมด้วยบริวารผู้มีอภิญญา ๖ แล้ว ได้ทรงทำการต้อนรับด้วยอาเนญชสมาบัติ (สมาบัติที่ไม่หวั่นไหว) ท่านสมาทานธุดงค์ธรรมแม้ทุกข้อแล้วประพฤติ. ด้วยเหตุนั้น ร่างกายของท่านจึงผ่ายผอม เศร้าหมอง ผิวพรรณคล้ำไป. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงสรรเสริญท่าน ด้วยความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยอย่างยิ่ง จึงได้ตรัสพระคาถาที่ ๑ ไว้ว่า นรชนผู้มีใจไม่ย่อท้อ เป็นผู้รู้จักประมาณในข้าวและน้ำ ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น เหมือนกับเถาหญ้านาง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาลปพฺพงฺคสงฺกาโส ความว่า มีตัวคล้ายข้อเถาหญ้านาง เพราะมีอวัยวะร่างกายผอม ดำรงอยู่โดยยาก โดยปราศจากกล้ามเนื้อ ด้วยเหตุนั้น พระ บทว่า กิโส ได้แก่ มีรูปร่างผอม เพราะบำเพ็ญโมเนยยปฏิปทา ข้อปฏิบัติเพื่อเป็นมุนีให้บริบูรณ์. บทว่า ธมนิสนฺถโต ความว่า มีตัวสะพรั่งด้วยเส้นเอ็น. อธิบายว่า มีรูปร่างเกลื่อนไปด้วยเส้นเอ็นใหญ่ๆ ที่ปรากฏชัด เพราะมีเนื้อและเลือดน้อย. บทว่า มตฺตญฺญู ได้แก่ เป็นผู้รู้ประมาณในการแสวงหา การรับการฉันและการเสียสละ. บทว่า อทีนมานโส ได้แก่ ผู้มีใจไม่หดหู่ เพราะไม่ถูกความเกียจคร้านเป็นต้นครอบงำ คือเป็นผู้มีพฤติกรรมไม่เกียจคร้าน. บทว่า นโร ได้แก่ ผู้ชาย คือผู้สมบูรณ์ด้วยลักษณะของผู้ชาย เพราะนำธุระของลูกผู้ชายไปได้. อธิบายว่า ชายที่เอางานเอาการ. พระเถระผู้อันพระศาสดาทรงสรรเสริญอย่างนี้แล้ว เมื่อจะกล่าวธรรมที่เหมาะสมกับ ภิกษุถูกเหลือบและยุงในป่าใหญ่กัด ควรเป็นผู้มี สติอดกลั้นในอันตรายเหล่านั้น เหมือนช้างในสงคราม ภิกษุอยู่รูปเดียวย่อมเป็นเหมือนพรหม อยู่ ๒ รูป เหมือนเทวดา อยู่ ๓ รูปเหมือนชาวบ้าน อยู่ด้วยกันมาก กว่านั้น ย่อมมีความโกลาหลมากขึ้น เพราะฉะนั้น ภิกษุ ควรเป็นผู้อยู่แต่รูปเดียว. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาโค สงฺคามสีเสว ความว่า อุปมาเสมือนหนึ่งว่า ช้างตัวประเสริฐอาชาไนยสู้ทนเครื่องประหัตประหารมีดาบหอกแทงและหอกซัดเป็นต้นในสนามรบแล้ว กำจัดแสนยานุภาพฝ่ายข้าศึก (ปรเสนา) ได้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้น ควรมีสติสัมปชัญญะ อดทนอันตรายมีเหลือบเป็นต้นในป่าใหญ่ คือพงไพรไว้ และครั้นทนได้แล้วก็จะพึงกำจัดมารและพลมารได้ ด้วยกำลังแห่งภาวนา. บทว่า ยถา พฺรหฺมา ความว่า พระพรหมโดดเดี่ยวเดียวดาย เว้นจากผู้กวนใจ อยู่สำราญด้วยฌานสุขเนืองนิจทีเดียวฉันใด. บทว่า ตถา เอโก ความว่า แม้ภิกษุอยู่รูปเดียว ไม่มีเพื่อนก็เช่นนั้นเหมือนกัน จะเพิ่มพูนความสุขเกิดแต่วิเวกอยู่อย่างสำราญ. จริงดังที่กล่าวไว้ว่า ความสุขธรรมดาสามัญของคนๆ เดียว เป็นความสุขที่ประณีต. ด้วยคำว่า ยถา พฺรหฺมา ตถา เอโก นี้ พระเถระชื่อว่าให้โอวาทว่า ภิกษุผู้อยู่รูปเดียวเป็นปกติ เป็นผู้เสมอเหมือนพระพรหม. บทว่า ยถา เทโว ตถา ทุเว ความว่า เทวดาทั้งหลายก็คงมีความวุ่นวายใจเป็นระยะๆ ฉันใด แม้การกระทบกระทั่งกัน เพราะการอยู่ร่วมกันก็คงมีแก่ภิกษุ ๒ รูป ฉันนั้น. เพราะฉะนั้น ภิกษุท่านกล่าวว่า เป็นผู้เสมอเหมือนเทวดา โดยการอยู่มีเพื่อนสอง. บทว่า ยถา คาโม ตถา ตโย ความว่า ในบาลีแห่งนี้เท่านั้น การอยู่ร่วมกันของภิกษุ ๓ รูปเป็นเสมือนการอยู่ของชาวบ้าน. อธิบายว่า ไม่ใช่การอยู่อย่างวิเวก. บทว่า โกลาหลํ ตรุตฺตรึ ความว่า การอยู่ร่วมกันเกิน ๓ คนหรือมากกว่านั้นเป็นความโกลาหล. อธิบายว่า เป็นเสมือนการชุมนุมของคนจำนวนมาก ที่มีเสียงอึกทึกครึกโครม เพราะฉะนั้น ภิกษุควรจะเป็นผู้อยู่คนเดียวเป็นปกติ. จบอรรถกถายโสชเถรคาถา ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ติกนิบาต ๙. ยโสชเถรคาถา จบ. |