ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 336อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 337อ่านอรรถกถา 26 / 338อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ปัญจกนิบาต
๓. คิริมานันทเถรคาถา

               อรรถกถาคิริมานันทเถรคาถาที่ ๓               
               คาถาของท่านพระคิริมานันทเถระ มีคำเริ่มต้นว่า วสฺสติ เทโว ดังนี้.
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               พระเถระแม้นี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าสุเมธ บังเกิดในเรือนมีตระกูล เจริญวัยแล้วอยู่ครองฆราวาส เมื่อภรรยาและบุตรของตนทำกาละแล้ว เพียบพร้อมไปด้วยลูกศรคือความโศก เข้าไปสู่ป่า.
               เมื่อพระศาสดาเสด็จไปในที่นั้นแสดงธรรม ถอนลูกศรคือความโศกได้แล้ว มีจิตเลื่อมใสบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ประคองอัญชลีขึ้นเหนือเศียรแล้วกล่าวชมเชย.
               ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ เกิดเป็นบุตรแห่งปุโรหิตของพระเจ้าพิมพิสารในกรุงราชคฤห์ ท่านได้นามว่าคิริมานันทะ.
               ท่านถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เห็นอานุภาพของพระพุทธเจ้าในการเสด็จไปกรุงราชคฤห์แห่งพระศาสดา ได้ศรัทธาบรรพชา กระทำสมณธรรมอยู่ในหมู่บ้านสิ้น ๒-๓ วัน แล้วได้ไปยังกรุงราชคฤห์เพื่อถวายบังคมพระศาสดา.
               พระเจ้าพิมพิสารมหาราชทรงทราบการมาของท่าน จึงเสด็จเข้าไปหา ทรงปวารณาว่า ท่านขอรับ ขอท่านจงอยู่ในที่นี้แหละ ข้าพเจ้าจะอุปัฏฐากด้วยปัจจัย ๔ ดังนี้แล้วเสด็จไปไม่ทรงระลึกถึงความที่พระองค์มีกิจมาก. เทวดาทั้งหลายคิดว่า พระเถระย่อมอยู่ในโอกาสกลางแจ้งจึงห้ามฝน เพราะกลัวพระเถระจะเปียก.
               พระราชาทรงกำหนดถึงเหตุที่ฝนไม่ตก จึงให้สร้างกระท่อมสำหรับพระเถระ. พระเถระอยู่ในกระท่อมได้ทำความเพียรชอบ โดยได้เสนาสนะเป็นสัปปายะ ประกอบความเพียรสม่ำเสมอ บำเพ็ญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัต.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑-
               ภริยาของเราทำกาละแล้ว บุตรของเราก็ไปสู่ป่าช้า มารดาบิดาและพี่ชายของเราเผาที่เชิงตะกอนเดียวกัน เพราะความเศร้าโศกนั้น เราเป็นผู้เร่าร้อน เป็นผู้ผอมเหลือง จิตเราฟุ้งซ่าน เพราะเราประกอบด้วยความเศร้าโศกนั้น เรามากด้วยลูกศรคือความโศก จึงเข้าไปสู่ชายป่า บริโภคผลไม้ที่หล่นเองอยู่ที่โคนต้นไม้.
               พระสัมพุทธชินเจ้าพระนามว่าสุเมธ ผู้กระทำที่สุดทุกข์ พระองค์ประสงค์จะช่วยเหลือเรา จึงเสด็จมาในสำนักของเรา เราได้ยินเสียงพระบาทของพระพุทธเจ้าพระนามว่าสุเมธ ผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ยิ่ง จึงชะเง้อศีรษะดูพระมหามุนี พระมหาวีรเจ้าเสด็จเข้ามา ปีติเกิดขึ้นแก่เรา ในกาลนั้น เราได้เห็นพระองค์ผู้เป็นนายกของโลก แล้วมีใจไม่ฟุ้งซ่านกลับได้สติ แล้วได้ถวายใบไม้กำมือหนึ่ง.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีจักษุประทับนั่งบนใบไม้นั้นด้วยความอนุเคราะห์ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสุเมธ ผู้เป็นนายกของโลก ผู้ตรัสรู้แล้ว ครั้นประทับนั่งบนใบไม้นั้นแล้ว ทรงแสดงธรรมเครื่องบรรเทาลูกศรคือความโศกแก่เราว่า
               ชนเหล่านั้น ใครไม่ได้เชื้อเชิญให้มาก็มาจากปรโลกนั้นเอง ใครไม่ได้อนุญาตให้ไปก็ไปจากมนุษย์โลกนี้แล้ว เขามาแล้วฉันใดก็ไปฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขานั้น
               สัตว์มีเท้า เมื่อฝนตกลงมา เขาก็เข้าไปอาศัยในโรงเพราะฝนตก เมื่อฝนหายแล้วเขาก็ไปตามปรารถนาฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขานั้น
               แขกผู้จรไปมา เป็นผู้สั่นหวั่นไหวฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขานั้น
               งูละคราบเก่าแล้ว ย่อมไปสู่กายเดิมฉันใด มารดาบิดาของท่านก็ฉันนั้น จะปริเทวนาไปทำไมในการตายของเขานั้น
               เราได้ฟังพระพุทธเจ้าตรัสแล้วเว้นลูกศรคือความโศกได้ ยังความปราโมทย์ให้เกิดแล้ว ได้ถวายบังคมพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ครั้นถวายบังคมแล้วได้บูชาพระพุทธเจ้าผู้ล่วงพ้นภูเขาคือกิเลส เป็นพระมหานาค ทรงสมบูรณ์ด้วยกลิ่นหอมอันเป็นทิพย์ พระนามว่าสุเมธ เป็นนายกของโลก ครั้นบูชาพระสัมพุทธเจ้าแล้ว ประนมกรอัญชลีขึ้นเหนือเศียร อนุสรณ์ถึงคุณอันเลิศแล้ว ได้สรรเสริญพระองค์ผู้เป็นนายกของโลกว่า
               ข้าแต่พระมุนีมหาวีรเจ้า พระองค์เป็นสัพพัญญู เป็นนายกของโลก ทรงข้ามพ้นแล้วยังทรงรื้อขนสรรพสัตว์ด้วยพระญาณอีก ข้าแต่พระมหามุนีผู้มีจักษุ พระองค์ตัดความเคลือบแคลงสงสัยแล้ว ได้ทรงยังมรรคให้เกิดแก่ข้าพระองค์ ด้วยพระญาณของพระองค์ พระอรหันต์ผู้ถึงความสำเร็จได้อภิญญา ๖ มีฤทธิ์มากเที่ยวไปในอากาศได้ เป็นนักปราชญ์ ห้อมล้อมอยู่ทุกขณะ พระเสขะผู้กำลังปฏิบัติ และผู้ตั้งอยู่ในผลเป็นสาวกของพระองค์ สาวกทั้งหลายของพระองค์ย่อมบาน เหมือนดอกปทุมเมื่ออาทิตย์อุทัย มหาสมุทรประมาณไม่ได้ ไม่มีอะไรเหมือน ยากที่จะข้ามได้ฉันใด แต่ข้าพระองค์ผู้มีจักษุ พระองค์สมบูรณ์ด้วยพระญาณก็ประมาณไม่ได้ฉันนั้น
               เราถวายบังคมพระพุทธเจ้าผู้ชนะโลกมีจักษุ มียศมาก นมัสการทั่ว ๔ ทิศแล้วได้กลับไป เราเคลื่อนจากเทวโลกแล้วรู้สึกตัว กลับมีสติ ท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยใหญ่ลงสู่ครรภ์มารดา ออกจากเรือนแล้วบวชเป็นบรรพชิต เป็นผู้มีความเพียร มีปัญญา มีการหลีกเร้นอยู่เป็นอารมณ์ ตั้งความเพียร ยังพระมหามุนีให้ทรงโปรดปราน พ้นแล้วจากกิเลส ดังพระจันทร์พ้นแล้วจากกลีบเมฆอยู่ทุกเมื่อ
               เราเป็นผู้ขวนขวายในวิเวก สงบระงับ ไม่มีอุปธิ กำหนดรู้อาสวะทั้งปวงแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่
               ในกัปที่ ๓ หมื่นแต่กัปนี้ เราได้บูชาพระพุทธเจ้าใด ด้วยการบูชานั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๒/ข้อ ๓๙๙

               ครั้นเมื่อพระเถระบรรลุพระอรหัตแล้ว เมื่อฝนตกอยู่ดุจมีเสียงร่าเริงยินดี เมื่อจะพยากรณ์พระอรหัตผลนั้น โดยประกอบข้อที่ฝนหลั่งลงมาแต่เบื้องบน จึงได้กล่าวคาถา ๕ คาถานี้
                                   ฝนตกเสียงไพเราะเหมือนเพลงขับ กุฎีของเรามุงดี
                         แล้ว มีประตูหน้าต่างมิดชิดดี เราเป็นผู้สงบอยู่ในกุฎีนั้น
                         ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมาเถิดฝน ฝนตกไพเราะเหมือน
                         เพลงขับ กุฎีของเรามุงดีแล้ว มีประตูหน้าต่างมิดชิดดี
                         เราเป็นผู้มีจิตสงบอยู่ในกุฎีนั้น ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมา
                         เถิดฝน. ฯลฯ เราเป็นผู้ปราศจากราคะอยู่ในกุฏีนั้น ฯลฯ
                         เราเป็นผู้ปราศจากโทสะอยู่ในกุฎีนั้น ฯลฯ เราเป็นผู้
                         ปราศจากโมหะอยู่ในกุฎีนั้น ถ้าประสงค์จะตกก็ตกลงมา
                         เถิดฝน.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยถาสุคีตํ แปลว่า สมควรแก่เพลงขับที่ไพเราะ. อธิบายว่า สมควรแก่เพลงขับแห่งเมฆฝนอันดีนั่นเอง.
               จริงอยู่ เมฆเมื่อตั้งขึ้นโดยชั้นพันชั้นแล้วคำรนร้องกระหึ่ม แม้แลบออกจากสายฟ้าไม่ตกลงย่อมงาม เหมือนเมื่อไม่ร้องกระหึ่มตกลงอย่างเดียว ย่อมไม่งามฉะนั้น แต่เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วตกลงย่อมงาม เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วสฺสติ เทโว ยถาสุคีตํ ฝนตกลงเหมือนเสียงเพลงขับ.
               เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เมฆที่เปล่งเสียงน่าชมเชยยิ่ง และว่าคำรามร้องและตกลง.
               บทว่า ตสฺสํ วิหรามิ ความว่า ย่อมอยู่ในกระท่อมนั้น โดยห้องอริยวิหารธรรม คือโดยอิริยาบถวิหาร.
               บทว่า วูปสนฺตจิตฺโต ได้แก่ มีจิตสงบโดยชอบด้วยสมาธิอันสัมปยุตด้วยอรหัตผล.
               วลาหกเทวบุตรรับการขวนขวายที่พระเถระกระทำหลายครั้งด้วยเศียรเกล้าอย่างนี้ ยังที่ลุ่มและที่ดอนให้เต็ม ยังฝนใหญ่ให้ตก.

               จบอรรถกถาคิริมานันทเถรคาถาที่ ๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ปัญจกนิบาต ๓. คิริมานันทเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 336อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 337อ่านอรรถกถา 26 / 338อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6363&Z=6371
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=1090
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=1090
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :