ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 358อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 359อ่านอรรถกถา 26 / 360อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ฉักกนิบาต
๑๓. สิริมัณฑเถรคาถา

               อรรถกถาสิริมัณฑเถรคาถาที่ ๑๓               
               คาถาของท่านพระสิริมัณฑเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ฉนฺนมติวสฺสติ ดังนี้.
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าปางก่อนทั้งหลาย สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ ในสุงสุมารคีรนคร ได้นามว่าสิริมัณฑะ เจริญวัยแล้ว เมื่อขณะพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในเภสกลาวัน จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมได้ศรัทธาจึงบวช แล้วได้อุปสมบทกระทำสมณธรรมอยู่.
               ในวันอุโบสถวันหนึ่ง นั่งอยู่ในที่ที่แสดงปาติโมกข์ ในตอนจบนิทานุทเทส พิจารณาใจความของบาลีที่ว่า ก็ภิกษุนั้นทำให้แจ้ง (อาบัติ) แล้วย่อมมีความผาสุก ไม่ทำให้แจ้งอาบัติที่ต้องแล้วปกปิดไว้ จึงต้องอาบัติเพิ่มขึ้นๆ ครั้นมนสิการถึงความข้อนี้ว่า ด้วยเหตุนั้น ภิกษุนั้นย่อมไม่มีความผาสุก
               ก็ภิกษุผู้ทำให้แจ้งแล้วปลงอาบัติตามธรรมย่อมมีความผาสุก ดังนี้ จึงได้ความเลื่อมใสว่า น่าอัศจรรย์ คำสอนของพระศาสดาบริสุทธิ์จริง จึงข่มปีติที่เกิดขึ้นอย่างนั้นแล้วเจริญวิปัสสนาก็ได้บรรลุพระอรหัต พิจารณาข้อปฏิบัติของตนแล้วมีใจเลื่อมใส
               เมื่อจะให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
                         มุงบังไว้ ฝนยิ่งรั่วรด เปิดไว้ ฝนกลับไม่รั่วรด เพราะฉะนั้น
                         ท่านทั้งหลายจงเปิดที่มุงบังเสียเถิด ฝนจักไม่รั่วรดท่าน
                         ด้วยอาการอย่างนี้
                         โลกถูกมัจจุกำจัด ถูกชรารุมล้อม ถูกลูกศรคือตัณหาทิ่มแทง
                         ถูกความปรารถนาแผดเผาทุกเมื่อ โลกถูกมัจจุกำจัด และถูก
                         ชรารุมล้อม ไม่มีสิ่งใดต้านทานได้ ย่อมเดือดร้อนอยู่เป็นนิตย์
                         เหมือนคนกระทำความผิดได้รับอาชญาเดือดร้อนอยู่ฉะนั้น
                         ชราพยาธิ และมรณะทั้ง ๓ เป็นดุจกองไฟตามครอบงำอยู่
                         สัตวโลกเหล่านั้นไม่มีกำลังต่อต้าน ไม่มีกำลังจะหนีไป ควร
                         ทำวันไม่ให้ไร้ประโยชน์ ด้วยมนสิการวิปัสสนากรรมฐาน
                         น้อยบ้างมากบ้าง เพราะราตรีล่วงไปเท่าใด ชีวิตของสัตว์ก็
                         ล่วงไปเท่านั้น เวลาตายย่อมรุกร้นเข้าไปใกล้บุคคลผู้เดิน
                         ยืน นั่งหรือนอน เพราะฉะนั้น ท่านไม่ควรประมาทเวลา.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺนํ ได้แก่ ทุจริตที่ปิดบังไว้ คือไม่เปิดเผย ไม่ประกาศตามเป็นจริง.
               บทว่า อติวสฺสติ ความว่า ฝนคืออาบัติและฝนคือกิเลส ย่อมตกรดจนโชกโชน. ท่านกล่าวการปกปิด คือเหตุแห่งการรั่วรดไว้ว่า จริงอยู่ การปิดอาบัติเป็นเช่นกับความเป็นคนอลัชชีเป็นต้นทีเดียว เพราะการปิดอาบัติไว้ จึงพึงต้องอาบัติโดยประการอื่นจากนั้น หรืออาบัติเห็นปานนั้นซ้ำอีก หรืออาบัติที่ลามกกว่านั้น.
               บทว่า วิวฏํ ได้แก่ เปิดเผย คือไม่ปิดบัง.
               ศัพท์ว่า อติ ในบทว่า นาติวสฺสติ นี้เป็นเพียงนิบาต. อธิบายว่า ย่อมไม่รั่วรด.
               ก็ในที่นี้ พึงทราบการไม่รั่วรด โดยปริยายผิด ตรงกันข้ามกับการรั่วรดที่กล่าวมาแล้ว เพราะทำจิตสันดานให้บริสุทธิ์.
               บทว่า ตสฺมา ย่อมบ่งถึงเนื้อความที่กล่าวแล้วนั่นแหละ โดยความเป็นเหตุ. อธิบายว่า เพราะฝนคืออาบัติเป็นต้น รั่วรดทุจริตที่ปิดบังไว้ และเพราะไม่รั่วรดทุจริตที่เปิดเผยแล้ว.
               บทว่า ฉนฺนํ วิวเรถ ความว่า แม้เมื่อเกิดความประสงค์จะปิด โดยภาวะที่เป็นปุถุชน ท่านก็อย่าอนุวรรตน์ตามความประสงค์ พึงเปิด คือพึงทำให้แจ้ง พึงปลงอาบัติตามธรรม.
               บทว่า เอวํ ได้แก่ ด้วยการเปิด คือด้วยการปฏิบัติตามธรรม.
               บทว่า ตํ ได้แก่ ทุจริตนั้น คือที่ปกปิดไว้.
               ฝนย่อมไม่รั่วรด คือ ฝนคืออาบัติและฝนคือกิเลส ย่อมไม่รั่วรด. อธิบายว่า ย่อมยังบุคคลให้ดำรงอยู่ในความบริสุทธิ์.
               บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงวัตถุที่ตั้งแห่งความสลดใจอันเป็นเหตุแห่งการปิดบังว่า พึงทำตนให้บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงและโดยรวดเร็ว ไม่ควรทำความประมาท จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สัตวโลกถูกมัจจุกำจัด ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มจฺจุนาพฺภาหโต โลโก ความว่า สัตวโลกนี้ทั้งหมดถูกมัจจุคือความตายผู้มีปกติทำสัตว์ให้ตกลงในวัฏฏะทั้งปวงกำจัดแล้ว ประดุจโจรถูกคนผู้ทำหน้าที่ฆ่าโจร ประหารชีวิตฉะนั้น คือย่อมไม่พ้นเงื้อมหัตถ์ของมัจจุนั้น.
               บทว่า ชราย ปริวาริโต ความว่า สัตวโลกนี้ถูกความชราอันมีหน้าที่นำเข้าหาความตายยิ่งกว่าการให้เกิด รุมล้อมคือครอบงำ. อธิบายว่า หุ้มห่อด้วยกองชรา.
               บทว่า ตณฺหาสลฺเลน โอติณฺโณ ความว่า ถูกลูกศรคือตัณหาอันมีลักษณะยึดติด เหมือนลูกธนูกำซาบยาพิษ จมอยู่ในภายในร่างกายเสียบคือแทงลงตรงหัวใจ.
               จริงอยู่ ตัณหาท่านเรียกว่าลูกศร เพราะให้เกิดการบีบคั้น เพราะทิ่มแทงอยู่ภายใน และเพราะถอนได้ยาก.
               บทว่า อิจฺฉาธูปายิโต ความว่า ถูกความอยากอันมีลักษณะปรารถนาอารมณ์แผดเผา.
               จริงอยู่ บุคคลผู้ปรารถนาอารมณ์นั้น เมื่อได้อารมณ์ตามที่ปรารถนา หรือไม่ได้ก็ตาม ย่อมเป็นผู้เร่าร้อน คือได้รับความเร่าร้อน ด้วยความปรารถนาอันมีลักษณะตามเผานั้นนั่นแหละ.
               บทว่า สทา แปลว่า ทุกเวลา.
               ก็บทว่า สทา นี้ พึงประกอบเข้าทุกบท.
               บทว่า ปริกฺขิตฺโต ชราย จ ความว่า ไม่ใช่มัจจุกำจัดอย่างเดียวเท่านั้น โดยที่แท้ถูกชรารุมล้อมด้วย. อธิบายว่า ถูกชรากั้นไว้ ได้แก่ล้อมด้วยกำแพงคือชรา ไม่ล่วงพ้นชรานั้นไปได้.
               บทว่า หญฺญติ นิจฺจมตฺตาโณ ความว่า เป็นผู้ไม่มีใครต้านทาน คือไม่มีใครเป็นที่พึ่ง ย่อมเดือดร้อน คือถูกชราและมรณะเบียดเบียนเป็นนิตยกาล.
               เหมือนอะไร? เหมือนคนทำความผิดได้รับอาชญาเดือดร้อนอยู่ฉะนั้น
               ท่านแสดงว่า โจรผู้กระทำความชั่ว กระทำความผิดไว้ ได้รับการประหารชีวิตไม่มีใครต้านทาน ย่อมเดือดร้อนด้วยราชอาชญาฉันใด สัตวโลกนี้ก็ฉันนั้น ย่อมเดือดร้อนด้วยชราและมรณะ.
               บทว่า อาคจฺฉนฺตคฺคิขนฺธาว ความว่า ธรรม ๓ ประการนี้คือมัจจุ พยาธิและชรา ชื่อว่ากองไฟเพราะอรรถว่าตามเผา ย่อมตามมาครอบงำสัตวโลกนี้ไว้ เหมือนกองไฟใหญ่ เมื่อป่าใหญ่ถูกไหม้อยู่ก็ครอบงำ (เผา) ป่าใหญ่นั้นฉะนั้น,
               ก็สัตวโลกนี้ไม่มีกำลัง คือความอุตสาหะที่จะเป็นผู้สามารถต่อต้าน คือครอบงำธรรมทั้งสามนั้นได้, ไม่มีกำลังที่จะหนีไป คือสัตวโลกนี้ เมื่อธรรมมีมัจจุเป็นต้นแล่นไปครอบคลุม ไม่มีกำลังแข้งที่จะแสดงให้เห็นด้านหลัง หนีไปยังที่ที่มัจจุเป็นต้นครอบงำไม่ได้.
               หากจะมีคำถามสอดเข้ามาว่า ตนเองไม่สามารถอย่างนั้น เมื่อมีปัจจามิตรผู้มีกำลัง ๓ จำพวก ซึ่งไม่มีใครโต้ตอบด้วยอุบายทั้งหลายมีการลวงเป็นต้น ปรากฏอยู่เป็นนิตย์ สัตวโลกควรกระทำอย่างไร?
               ตอบว่า ควรทำวันไม่ให้ไร้ประโยชน์ด้วยมนสิการน้อยบ้างมากบ้าง.
               อธิบายว่า ควรทำวันไม่ให้เปล่าประโยชน์คือไม่ให้เป็นหมัน ด้วยการใส่ใจถึงวิปัสสนาน้อยบ้าง คือเป็นไปโดยชั้นที่สุดชั่วกาลสักว่างูฉก มากบ้าง คือเป็นไปตลอดวันและคืน เพราะเหตุที่ราตรีล่วงไปเท่าใด ชีวิตของสัตว์ก็ล่วงไปเท่านั้น คือสัตว์นี้ละราตรีใดๆ ไป คือทำให้พินาศไป ให้สิ้นไป ชีวิตของสัตว์นั้นก็พร่องไปเท่าราตรีนั้น ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงแสดงว่า ชื่อว่าการสิ้นไปแห่งราตรีเป็นการสิ้นไปแห่งอายุ เพราะราตรีนั้นจะไม่หวนกลับมา.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
                         สัตว์อยู่ในครรภ์มารดาก่อนตลอดราตรีใด
                         ราตรีนั้นตั้งขึ้นแล้วก็ไป ราตรีนั้นเมื่อไป
                         แล้ว ย่อมไม่หวนกลับมา.

               มิใช่ด้วยอำนาจราตรีอย่างเดียวเท่านั้น โดยที่แท้แม้ด้วยอำนาจอิริยาบถ ก็พึงรองรับความสิ้นไปแห่งชีวิต เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เดินเป็นต้น.
               บทว่า จรโต ได้แก่ เดินไป.
               บทว่า ติฏฺฐโต ได้แก่ สำเร็จการยืน.
               บทว่า อาสีนสยนสฺส วา แยกเป็น อาสีนสฺส สยนสฺส วา แปลว่า นั่งหรือนอน.
               บางอาจารย์กล่าวว่า อาสีทนํ ดังนี้ก็มี,
               ในบาลีว่า อาสีทนํ นั้น พึงเห็นทุติยาวิภัตติใช้ในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ.
               บทว่า อุเปติ จริมา รตฺติ ความว่า ราตรีประกอบด้วยจิตดวงสุดท้าย ย่อมเข้าถึง.
               ก็ศัพท์ว่า รตฺติ ในบทนั้น เป็นเพียงหัวข้อเทศนา.
               เวลาสุดท้าย (คือเวลาตาย) ย่อมมีแก่คนผู้พรั่งพร้อมด้วยอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาอิริยาบถมีการเดินเป็นต้น ด้วยเหตุนั้นนั่นแล ขณะแห่งอิริยาบถของบุคคลนั้น จึงทำชีวิตให้หมดสิ้นไปด้วย. เพราะเหตุนั้น ท่านไม่ควรประมาทเวลา คือท่านไม่ควรถึงความประมาทเวลานี้ เพราะไม่ทราบได้ว่า ความตายจะมีในเวลาชื่อนี้.
               สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า
                         ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่มีเครื่องหมาย
                         กำหนดรู้ไม่ได้เป็นของฝืดเคือง เป็นของเล็กน้อย
                         และประกอบด้วยทุกข์.

               อธิบายว่า เพราะฉะนั้น ผู้ไม่ประมาทโอวาทตนอย่างนี้แล้ว พึงกระทำความเพียรเนืองๆ ในสิกขาทั้ง ๓ เถิด.

               จบอรรถกถาสิริมัณฑเถรคาถาที่ ๑๓               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ฉักกนิบาต ๑๓. สิริมัณฑเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 358อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 359อ่านอรรถกถา 26 / 360อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6672&Z=6684
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=2960
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=2960
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :