ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 365อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 366อ่านอรรถกถา 26 / 367อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา อัฏฐกนิบาต
๑. มหากัจจายนเถรคาถา

               อรรถกถาอัฏฐกนิบาต               
               อรรถกถามหากัจจายนเถรคาถาที่ ๑               
               ในอัฏฐกนิบาต คาถาของท่านพระมหากัจจายนเถระ มีคำเริ่มต้นว่า กมฺมํ พหุกํ ดังนี้.
               เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               ท่านพระมหากัจจายนเถระแม้นี้เป็นผู้มีอธิการได้บำเพ็ญมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่าปทุมุตตระ บังเกิดในตระกูลคฤหบดีมหาศาล เจริญวัยแล้ว วันหนึ่งกำลังฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา พบภิกษุรูปหนึ่งที่พระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งที่เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้จำแนกอรรถที่พระศาสดาตรัสไว้โดยย่อ ให้พิสดาร แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น.
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสุเมธะ เป็นผู้ทรงวิชา ไปทางอากาศ เห็นพระศาสดาประทับนั่งในไพรสณฑ์แห่งหนึ่ง ใกล้ภูเขาหิมวันต์ มีใจเลื่อมใส ทำการบูชาด้วยดอกกรรณิการ์หลายดอก.
               ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านวนเวียนไปๆ มาๆ ในสุคตินั้นนั่นแหละ ในกาลแห่งพระทศพลเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ (ท่าน) ได้บังเกิดในเรือนมีตระกูล ในกรุงพาราณสี เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ทำการบูชาในที่สร้างเจดีย์ทองคำ ด้วยแผ่นอิฐทองคำอันมีค่าแสนหนึ่งแล้วตั้งความปรารถนาไว้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอให้สรีระของข้าพระองค์จงมีสีเหมือนทองคำ ในที่ที่ข้าพระองค์เกิดแล้วเถิด.
               ต่อแต่นั้นมาก็บำเพ็ญแต่กุศลกรรมจนตลอดชีวิต ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ตลอดพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปบาทกาลนี้ ท่านบังเกิดในบ้านปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ในกรุงอุชเชนี. ในวันตั้งชื่อทารกนั้น มารดาคิดว่า บุตรของเรามีสีกายเหมือนทองคำ พาเอาชื่อของตนมาแล้วดังนี้ จึงตั้งชื่อว่กัญจนมาณพ นั่นแล. ทารกนั้นเจริญวัยแล้วก็ศึกษาเล่าเรียนไตรเพทจนจบ พอบิดาล่วงไปก็ได้ตำแหน่งเป็นปุโรหิต. เขาปรากฏชื่อว่ากัจจายนะ ด้วยอำนาจแห่งโคตร.
               พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงสดับว่า พระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้น จึงส่งเขาไปว่า อาจารย์ ท่านจงไปในที่นั้น นำเสด็จพระศาสดามาในที่นี้เถิด.
               กัจจายนะนั้นมีตนเป็นที่ ๘ เข้าไปเฝ้าพระศาสดา. พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่เขา ในที่สุดแห่งเทศนา เขาพร้อมทั้งชนอีก ๗ คนก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- :-
               พระพิชิตมารพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ปราศจากตัณหา ทรงชำนะสิ่งที่ใครๆ เอาชนะไม่ได้ เป็นพระผู้นำ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในกัปที่แสนแต่ภัทรกัปนี้ พระองค์เป็นผู้แกล้วกล้าสามารถ มีพระอินทรีย์เสมือนใบบัว มีพระพักตร์ปราศจากมลทินคล้ายพระจันทร์ มีพระฉวีวรรณปานดังทองคำ มีพระรัศมีซ่านออกจากพระองค์ เหมือนรัศมีพระอาทิตย์ เป็นที่ติดตาตรึงใจของสัตว์ ประดับด้วยพระลักษณะอันประเสริฐ ล่วงทางแห่งคำพูดทุกอย่าง อันหมู่มนุษย์และอมรเทพสักการะ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ทรงยังสัตว์ให้ตรัสรู้ ทรงนำไปได้อย่างรวดเร็ว มีพระสุรเสียงไพเราะ มีพระสันดานมากไปด้วยพระกรุณา ทรงแกล้วกล้าในที่ประชุม พระองค์ทรงแสดงธรรมอันไพเราะ ซึ่งประกอบด้วยสัจจะ ๔ ทรงฉุดขึ้นซึ่งหมู่สัตว์ที่จมอยู่ในเปือกตมคือโมหะ.
               ครั้งนั้น เราเป็นดาบสสัญจรไปแต่คนเดียว มีป่าหิมพานต์เป็นที่อยู่อาศัย เมื่อไปสู่มนุษยโลกทางอากาศ ก็ได้พบพระพิชิตมาร เราได้เข้าไปเฝ้าพระองค์ แล้วสดับพระธรรมเทศนาของพระธีรเจ้าผู้ทรงพรรณนาคุณอันใหญ่ของพระสาวกอยู่ว่า เราไม่เห็นสาวกองค์อื่นใดใน พระธรรมวินัยนี้ที่จะเสมอเหมือนกับกัจจายนภิกษุนี้ผู้ซึ่งประกาศธรรมที่เราแสดงแล้วแต่โดยย่อ ได้โดยพิสดาร ทำบริษัทและเราให้ยินดี เพราะฉะนั้น กัจจายนภิกษุนี้จึงเลิศกว่าภิกษุผู้เลิศในการกล่าวธรรมได้โดยพิสดาร ซึ่งอรรถแห่งภาษิตที่เรากล่าวไว้แต่โดยย่อนั้น ภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงทรงจำไว้อย่างนี้เถิด.
               ครั้งนั้น เราได้ฟังพระดำรัสอันรื่นรมย์ใจแล้ว เกิดความอัศจรรย์ จึงไปป่าหิมพานต์ นำเอากลุ่มดอกไม้มาบูชาพระผู้เป็นที่พึ่งของโลก แล้วปรารถนาฐานันดรนั้น.
               ครั้งนั้น พระผู้ทรงละกิเลสเป็นเหตุให้ร้องไห้ ทรงทราบอัธยาศัยของเราแล้ว ได้ทรงพยากรณ์ว่า จงดูฤาษีผู้ประเสริฐนี้ ซึ่งเป็นผู้มีผิวพรรณเหมือนทองคำที่ไล่มลทินออกแล้ว มีโลมชาติชูชันและใจโสมนัส ยืนประณมอัญชลีนิ่งไม่ไหวติง ร่าเริง มีนัยน์ตาเต็มดี มีอัธยาศัยน้อมไปในคุณของพระพุทธเจ้า มีธรรมเป็นธง มีหทัยร่าเริง เหมือนกับถูกรดด้วยน้ำอมฤต เขาได้สดับคุณของกัจจายนภิกษุเข้าจึงได้ปรารถนาฐานันดรนั้น
               ในอนาคตกาล ฤาษีผู้นี้จักได้เป็นธรรมทายาทของพระโคดมมหามุนี เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต จักเป็นพระสาวกของพระศาสดา มีนามว่ากัจจายนะ เขาจักเป็นพหูสูตมีญาณใหญ่ รู้อธิบายแจ้งชัด เป็นนักปราชญ์ จักถึงฐานันดรนั้น ดังที่เราได้พยากรณ์ไว้แล้ว.
               ในกัปที่แสนแต่กัปนี้ เราได้ทำกรรมใดในกาลนั้น ด้วยกรรมนั้น เราไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราท่องเที่ยวอยู่แต่ในสองภพ คือในเทวดาและมนุษย์ คติอื่นเราไม่รู้ นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา. เราเกิดในสองสกุล คือสกุลกษัตริย์และสกุลพราหมณ์ เราไม่เกิดในสกุลที่ต่ำทราม นี้เป็นผลแห่งพุทธบูชา.
               และในภพสุดท้าย เราเกิดเป็นบุตรของติริติวัจฉพราหมณ์ ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑปัชโชต ในพระนครอุชเชนีอันน่ารื่นรมย์ เราเป็นคนฉลาดเรียนจบไตรเพท ส่วนมารดาของเราชื่อจันทนปทุมา๒- เราชื่อกัจจายนะ เป็นผู้มีผิวพรรณงาม เราอันพระเจ้าแผ่นดินทรงส่งไปเพื่อพิจารณาพระพุทธเจ้า ได้พบพระผู้นำซึ่งเป็นประตูของโมกขบุรี เป็นที่สั่งสมคุณ และได้สดับพระพุทธภาษิตอันปราศจากมลทิน เป็นเครื่องชำระล้างเปือกตมคือคติ จึงได้บรรลุอมตธรรมอันสงบระงับ พร้อมกับบุรุษ ๗ คนที่เหลือ เราเป็นผู้รู้อธิบายในพระมติอันใหญ่ของพระสุคตเจ้าได้แจ้งชัด และพระศาสดาทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ เราเป็นผู้มีความปรารถนาสำเร็จด้วยดีแล้ว เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๑๒๑
๒- บางแห่งเป็น จันทิมา.

               ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นภิกษุมาเถิด. ในขณะนั้นนั่นเอง ท่านเหล่านั้นมีผมและหนวดเพียง ๒ องคุลี ทรงบาตรและจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ ได้เป็นผู้คล้ายพระเถระมีพรรษา ๖๐ พรรษา.
               พระเถระทำประโยชน์ของตนให้สำเร็จด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงกราบทูลแด่พระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเจ้าจัณฑปัชโชตทรงปรารถนาเพื่อจะไหว้ที่พระบาท และเพื่อจะทรงสดับธรรมของพระองค์.
               พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุ เธอนั่นแหละจงไปในที่นั้น แม้เมื่อเธอไปแล้ว พระราชาก็จักเลื่อมใสเอง.
               พระเถระมีตนเป็นที่ ๘ ไปในที่นั้นตามพระดำรัสสั่งของพระศาสดา ทำให้พระราชาทรงเลื่อมใสแล้ว ให้ประดิษฐานพระศาสนาในแคว้นอวันตีชนบทแล้ว ไปเฝ้าพระศาสดาอีกครั้งหนึ่ง.
               วันหนึ่ง ท่านเห็นภิกษุเป็นอันมากละสมณธรรมมายินดีในการงาน ยินดีในการคลุกคลี พอใจในรสตัณหา และอยู่ด้วยความประมาท ด้วยการที่จะโอวาทภิกษุเหล่านั้น จึงกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
                                   ภิกษุไม่ควรทำการงานให้มาก ควรหลีกเร้นหมู่ชน
                         ไม่ควรขวนขวายเพื่อให้ปัจจัยเกิดขึ้น เพราะภิกษุใดเป็น
                         ผู้ติดรสอาหาร ภิกษุนั้นชื่อว่าเป็นผู้ขวนขวายเพื่อให้ปัจจัย
                         เกิดขึ้น และชื่อว่าละทิ้งประโยชน์อันจะนำความสุขมาให้
                                   พระอริยะทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น กล่าวการ
                         ไหว้ การบูชาในสกุลทั้งหลายว่า เป็นเปือกตม เป็นลูกศร
                         อันละเอียด ถอนได้ยาก เพราะสักการะอันบุรุษชั่วละได้
                         ยาก.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กมฺมํ พหุกํ น การเย ความว่า ภิกษุไม่พึงปรารถนานวกรรมที่ใหญ่ มีการให้สร้างที่อยู่ใหม่เป็นต้น อันเป็นเหตุพัวพันต่อการบำเพ็ญสมณธรรม. ส่วนการปฏิสังขรณ์สิ่งชำรุดทรุดโทรมที่จะลงมือทำเล็กๆ น้อยๆ เพื่อบูชาพระดำรัสของพระศาสดา ก็ควรทำทีเดียว.
               บทว่า ปริวชฺเชยฺย ชนํ ความว่า ควรหลีกเว้นหมู่ชน ด้วยอำนาจการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ชนํ ความว่า เมื่อภิกษุเสวนาคบหา เข้าไปนั่งใกล้บุคคลเช่นใด กุศลธรรมย่อมเสื่อมไป อกุศลธรรมย่อมเจริญขึ้น ภิกษุควรหลีกเว้นหมู่ชนผู้ไม่ใช่กัลยาณมิตรเช่นนั้นเสีย.
               บทว่า น อุยฺยเม ความว่า ภิกษุไม่พึงพยายามด้วยการสงเคราะห์สกุลเพื่อให้ปัจจัยเกิดขึ้น.
               เพราะบทว่า โส อุสฺสุกฺโก รสานุคิทฺโธ อตฺถํ ริญฺจติ โย สุขาธิวาโห ความว่า
               ภิกษุใดเป็นผู้ติดรสอาหาร คือติดรสอาหารด้วยอำนาจตัณหา เป็นผู้ขวนขวายเพื่อให้ปัจจัยเกิดขึ้น ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้ขวนขวายเพื่อสงเคราะห์สกุล เมื่อสกุลมีความสุข ตนเองก็พลอยมีความสุข เมื่อสกุลประสบความทุกข์ ตนเองก็พลอยมีความทุกข์ไปด้วย.
               เมื่อกิจการงานของสกุลเกิดขึ้น ก็เอาตนเข้าไปพัวพัน ย่อมละเว้นประโยชน์มีศีลเป็นต้นอันจะนำความสุขมาให้ คืออันจะนำความสุขที่เกิดจากสมถะวิปัสสนา มรรคผลและนิพพานมาให้ คือแยกตนออกจากประโยชน์นั้นโดยส่วนเดียว.
               พระเถระโอวาทว่า ท่านจงเว้นความยินดีในการงาน ความยินดีในการคลุกคลีและความติดใจในปัจจัย ด้วยคาถาแรกอย่างนี้แล้ว
               บัดนี้ เมื่อจะติเตียนถึงความมุ่งหวังสักการะ จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ไว้.
               เนื้อความแห่งคาถาที่ ๒ นั้นว่า
               การไหว้และการบูชานี้ใดที่หมู่ชนตามเรือนในสกุล ทำเพื่อยกย่องคุณของบรรพชิตผู้เข้าไปเพื่อภิกษา เพราะพระอริยะทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นกล่าวชี้แจงหรือประกาศให้รู้ถึงการไหว้และการบูชานั้นว่าเป็นเปือกตม เพราะอรรถว่ายังผู้ที่มิได้อบรมตนให้จมลง และเพราะอรรถว่าทำความมัวหมองให้ และเพราะกล่าวถึงการมุ่งสักการะของอันธปุถุชนผู้ยังไม่รู้ทั่วถึงขันธ์ ว่าเป็นลูกศรอันละเอียดที่ถอนขึ้นได้ยาก เพราะเกิดเป็นความเบียดเบียน เพราะข่มขี่ภายในและเพราะถอนขึ้นได้ยาก ด้วยเหตุเป็นสภาวะอันบุคคลรู้ได้โดยยาก ฉะนั้นนั่นแล สักการะอันบุรุษชั่วละได้ยาก คือพึงละได้โดยยาก เพราะไม่ดำเนินไปตามข้อปฏิบัติเป็นเครื่องละสักการะนั้น
               เพราะสักการะจะเป็นอันบุรุษละได้ก็ด้วยการละความมุ่งสักการะ ฉะนั้น ท่านจึงแสดงว่า การประกอบความเพียรเพื่อการละสักการะนั้น เป็นกรณียะที่ภิกษุควรทำแล.
                                   ภิกษุไม่ควรแนะนำสัตว์อื่นให้ทำกรรมชั่ว และไม่พึง
                         ซ่องเสพกรรมนั้นด้วยตนเอง เพราะสัตว์มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
                                   คนเราย่อมไม่เป็นโจรเพราะคำของบุคคลอื่น ไม่เป็น
                         มุนีเพราะคำของบุคคลอื่น บุคคลอื่นรู้จักตนเองว่าเป็นอย่างไร
                         แม้เทพเจ้าทั้งหลายก็รู้จักบุคคลนั้นว่าเป็นอย่างนั้น
                                   ก็คนพวกอื่นย่อมไม่รู้สึกตัวว่า พวกเราที่สมาคมนี้จัก
                         พากันย่อยยับ ในหมู่ชนพวกนั้น พวกใดมารู้สึกตัวว่า พวกเรา
                         จักพากันไปสู่ที่ใกล้มัจจุราช ความทะเลาะวิวาทย่อมระงับไป
                         เพราะพวกนั้น
                                   บุคคลผู้มีปัญญา ถึงจะสิ้นทรัพย์ก็ยังเป็นอยู่ได้ ส่วน
                         บุคคลถึงจะมีทรัพย์ก็เป็นอยู่ไม่ได้ เพราะไม่ได้ปัญญา
                                   บุคคลย่อมได้ยินเสียงทุกอย่างด้วยหู ย่อมเห็นสิ่งทั้ง
                         ปวงด้วยจักษุ แต่นักปราชญ์ย่อมไม่ควรละทิ้งสิ่งทั้งปวงที่ได้
                         เห็นได้ฟังมาแล้ว ผู้มีปัญญาถึงมีตาดีก็ทำเหมือนคนตาบอด
                         ถึงมีหูดีก็ทำเหมือนคนหูหนวก ถึงมีปัญญาก็ทำเหมือนคนใบ้
                         ถึงมีกำลังก็ทำเหมือนคนทุรพล แต่เมื่อประโยชน์เกิดขึ้น ถึง
                         จะนอนอยู่ในเวลาใกล้ตาย ก็ยังทำประโยชน์นั้นได้.

               ได้ยินว่า พระราชาพระองค์นั้นทรงเชื่อพวกพราหมณ์ แล้วรับสั่งให้ฆ่าสัตว์บูชายัญ ไม่ทรงสอบสวนการกระทำให้ถ่องแท้ ลงอาชญาผู้คนหลายคนที่มิใช่โจร ด้วยความสำคัญผิดคิดว่าเป็นโจร และในการตัดสินคดีความก็ทรงตัดสินทำผู้คนที่มิได้เป็นเจ้าของให้เป็นเจ้าของ และทรงตัดสินทำผู้ที่เป็นเจ้าของเดิม ไม่ให้ได้เป็นเจ้าของ.
               เพราะเหตุนั้น เพื่อจะชี้แจงความนั้นกะพระราชา พระเถระจึงกล่าวคาถา ๖ คาถาโดยมีนัยเป็นต้นว่า น ปรสฺส ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น ปรสฺสุปนิธาย กมฺมํ มจฺจสฺส ปาปกํ ความว่า ภิกษุไม่ควรทำการแนะนำสัตว์อื่นให้ซ่องเสพกรรมชั่วมีการฆ่าและการจองจำเป็นต้น คือไม่ควรชักชวนบุคคลอื่นให้ทำ.
               บทว่า อตฺตนา ตํ น เสเวยฺย ความว่า แม้ตนเองก็ต้องไม่ทำกรรมชั่วนั้น.
               เพราะอะไร? เพราะสัตว์มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
               ความว่า สัตว์เหล่านี้ย่อมเป็นทายาทของกรรม เพราะฉะนั้น ตนเองต้องไม่ทำกรรมชั่วอะไรๆ เลย ทั้งไม่ชักชวนผู้อื่นให้ทำกรรมชั่วนั้นด้วย.
               บทว่า น ปเร วจนา โจโร ความว่า ตนเองไม่ได้กระทำโจรกรรม จะชื่อว่าเป็นโจรเพียงถ้อยคำของบุคคลอื่นนั้นหามิได้. ไม่เป็นมุนีเพราะคำของบุคคลอื่นก็เช่นกัน คือมุนีจะเป็นผู้มีกายสมาจาร วจีสมาจารและมโนสมาจารบริสุทธิ์ด้วยดี ด้วยเหตุเพียงถ้อยคำของบุคคลอื่นนั้นไม่ได้เลย.
               ก็บทว่า ปเร ในคาถานี้ ท่านแสดงไว้เพราะไม่ทำการลบวิภัตติ.
               ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า เมื่อท่านควรจะกล่าวว่า ปเรสํ แต่แสดงไว้ว่า ปเร เพราะทำการลบ สํ อักษรเสีย.
               บทว่า อตฺตา จ นํ ยถา เวที ความว่า บุคคลรู้ตน คือจิตที่ข้องแล้วนั้นว่าเป็นอย่างไร คือรู้แจ้งรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า เราบริสุทธิ์หรือว่าไม่บริสุทธิ์ ดังนี้.
               บทว่า เทวาปิ นํ ตถา วิทู ความว่า วิสุทธิเทพและอุปปัตติเทพย่อมรู้แจ่มชัดบุคคลนั้นว่าเป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น ตนเองและเทพเช่นนั้นจึงเป็นประมาณแห่งความบริสุทธิ์และความไม่บริสุทธิ์ ในเพราะการรู้ว่าบริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์.
               อธิบายว่า สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่งที่ถูกความอยากและโทสะครอบงำแล้ว หารู้แจ่มชัดได้ไม่.
               บทว่า ปเร ความว่า เว้นบัณฑิตเสีย คนพวกอื่นนอกจากบัณฑิตนั้น คือผู้ไม่รู้จักกุศล อกุศล กรรมอันมีโทษและไม่มีโทษ กรรมและผลแห่งกรรม ความไม่งดงามแห่งร่างกาย และความที่สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ชื่อว่าคนพวกอื่นในที่นี้. พวกเราในสมาคมนี้นั้น คือในชีวโลกนี้จักพากันยุบยับ คือจักพากันละเว้น ได้แก่ไม่รู้ว่า พวกเราจักพากันไปสู่ที่ใกล้มัจจุราช อันเป็นสถานที่สงบแล้วเนืองๆ.
               บทว่า เย จ ตตฺถ วิชานนฺติ ความว่า ก็ในหมู่ชนพวกนั้น พวกใดคือพวกที่เป็นบัณฑิตย่อมรู้สึกตัวว่า พวกเราจักไปสู่ที่ใกล้แห่งมัจจุราช.
               บทว่า ตโต สมฺมนฺติ เมธคา ความว่า ก็ชนพวกนั้นที่รู้จักตัวแล้วอย่างนั้น ย่อมปฏิบัติเพื่อสงบระงับการทะเลาะวิวาท คือการเบียดเบียนผู้อื่นได้ขาด ทั้งคนพวกอื่นนอกจากตนเอง ย่อมไม่ทะเลาะวิวาทกัน ไม่เบียดเบียนกัน.
               ก็ท่านแม้ทำคนที่มิใช่เป็นโจรให้เป็นโจร เพราะเหตุแห่งชีวิตด้วยการลงอาชญา ทั้งทำคนที่เป็นเจ้าของไม่ให้ได้เป็นเจ้าของ เบียดเบียนจนถึงความเสื่อมทรัพย์ เพราะความบกพร่องแห่งปัญญา.
               บุคคลผู้ไม่ทำตามนั้น ชื่อว่าผู้มีปัญญา ถึงจะสิ้นทรัพย์ก็ยังเป็นอยู่ได้ คือถึงทรัพย์จะหมดสิ้นไป แต่ก็ยังมีปัญญา สันโดษยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้ เลี้ยงชีวิตด้วยการงานที่ปราศจากโทษอย่างเดียวนี้ ชื่อว่าชีวิตของบุคคลผู้มีปัญญา.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวความเป็นอยู่ด้วยปัญญาว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐสุด. ส่วนบุคคลผู้มีปัญญาทราม ถึงจะมีทรัพย์ก็ทำทรัพย์ที่เป็นทิฏฐธรรมและสัมปรายิกธรรมให้ล้มเหลวไป เป็นอยู่ไม่ได้ เพราะไม่ได้ปัญญา คือจะชื่อว่าเป็นอยู่ด้วยความเป็นไปแห่งถ้อยคำมีคำครหาเป็นต้น หามิได้ แต่กลับทำทรัพย์ที่ได้แล้วให้พินาศไป แม้ชีวิตก็ไม่สามารถจะดำรงอยู่ได้ เพราะค่าที่ตนไร้อุบาย.
               ได้ยินว่า พระเถระได้กล่าวคาถาทั้ง ๔ คาถาเหล่านี้แด่พระราชาผู้กำลังทรงบรรทมอยู่. พระราชาทรงเห็นพระสุบิน กำลังนมัสการพระเถระอยู่นั่นแลก็ทรงตื่นขึ้น พอราตรีล่วงแล้ว เสด็จเข้าไปหาพระเถระ ทรงไหว้แล้ว ทรงเล่าถึงความฝันตามที่พระองค์ทรงเห็นแล้วให้ฟัง.
               พระเถระสดับเรื่องความฝันนั้นแล้ว ภาษิตเฉพาะคาถานั้นแล้ว จึงโอวาทพระราชาด้วยคาถา ๒ คาถามีคำเริ่มต้นว่า สพฺพํ สุณาติ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า สพฺพํ สุณาติ โสเตน ในที่นี้หมายความว่า บุคคลผู้ไม่หนวกย่อมได้ยินเสียงที่พอจะได้ยินชัดทั้งหมดที่มาปรากฏ คือทั้งที่เป็นคำสุภาษิตทั้งที่เป็นคำทุพภาษิตได้ ด้วยโสตประสาท. บุคคลผู้ไม่บอดก็เหมือนกัน ย่อมเห็นรูปทั้งหมด คือที่ดีและไม่ดีได้ด้วยจักษุประสาทนี้ จัดว่าเป็นสภาวะแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย.
               ก็บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า น จ ทิฏฺฐํ สุตํ ธีโร สพฺพํ อุชฺฌิตุํ นี้เป็นเพียงอุทาหรณ์เท่านั้น ความว่า
               นักปราชญ์คือผู้มีปัญญา ไม่ควรละทิ้ง สละ หรือยึดถือ รูปทั้งหมดที่ได้เห็นมา หรือเสียงทั้งหมดที่ได้ยินมาแล้ว. ก็นักปราชญ์พิจารณาถึงคุณและโทษในรูปและเสียงนั้นแล้ว ควรละทิ้งเฉพาะสิ่งที่ควรจะทิ้ง และควรยึดถือสิ่งที่ควรยึดถือ เพราะฉะนั้น คนมีปัญญาถึงมีตาดี ก็ทำเหมือนคนตาบอด คือแม้จะมีตาดีก็ทำเหมือนคนตาบอด คือทำทีเหมือนว่ามองไม่เห็น ในสิ่งที่เห็นแล้วควรละทิ้ง แม้จะมีหูดีก็เช่นเดียวกัน ทำเหมือนคนหูหนวก คือทำทีเหมือนว่าไม่ได้ยิน ในสิ่งที่ได้ยินแล้วควรละทิ้ง.
               บทว่า ปญฺญวาสฺส ยถา มูโค ความว่า คนมีปัญญาแม้จะฉลาดในถ้อยคำ ก็พึงทำเหมือนคนใบ้ ในเมื่อไม่ควรจะพูด เพราะมีปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา. คนมีกำลังคือถึงพร้อมด้วยกำลัง ก็พึงทำเหมือนคนทุรพล ในเมื่อไม่ควรจะทำ.
                อักษรกระทำการเชื่อมบท ได้แก่พึงทำเหมือนคนไร้ความสามารถ.
               บทว่า อถ อตฺเถ สมุปฺปนฺเน สเยถ มตสายิกํ ความว่า เมื่อประโยชน์ที่ตนควรทำให้เกิดขึ้น คือปรากฏขึ้น ถึงจะนอนอยู่ในเวลาใกล้ตาย ได้แก่แม้จะอยู่ในเวลาใกล้จะตาย ก็ยังต้องพิจารณาถึงประโยชน์นั้นนั่นแล คือไม่ยอมให้ประโยชน์นั้นล้มเหลวไป.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อถ อตฺเถ สมุปฺปนฺเน ความว่า เมื่อประโยชน์ คือกิจที่ตนไม่ควรทำให้เกิดขึ้นคือปรากฏขึ้น ถึงจะนอนอยู่ในเวลาใกล้ตาย ได้แก่แม้จะนอนอยู่ในเวลาใกล้จะตายแล้ว ก็ไม่ยอมทำสิ่งที่ไม่ควรทำนั้นเลย.
               พระราชาได้รับโอวาทจากพระเถระอย่างนี้ว่า ก็บัณฑิตไม่ควรทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ดังนี้แล้วทรงละสิ่งที่ไม่ควรทำ ได้ทรงประกอบเฉพาะสิ่งที่ควรทำเท่านั้นแล.

               จบอรรถกถามหากัจจายนเถรคาถาที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา อัฏฐกนิบาต ๑. มหากัจจายนเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 365อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 366อ่านอรรถกถา 26 / 367อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6806&Z=6828
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=3662
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=3662
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :