ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 367อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 368อ่านอรรถกถา 26 / 369อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา อัฏฐกนิบาต
๓. มหาปันถกเถรคาถา

               อรรถกถามหาปันถกเถรคาถาที่ ๓               
               คาถาของท่านพระมหาปันถกเถระ มีว่า ยทา ปฐมมทฺทกฺขึ ดังนี้เป็นต้น.
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านมหาปันถกนี้เป็นกุฎุมพี สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ ในหังสวดีนคร วันหนึ่งกำลังฟังธรรมในสำนักพระศาสดา เห็นพระศาสดากำลังตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ฉลาดในการเปลี่ยนแปลงทางสัญญา แม้ตนเองก็ปรารถนาตำแหน่งนั้น จึงบำเพ็ญมหาทานให้เป็นไปตลอด ๗ วันแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า
               ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในที่สุด ๗ วันแต่วันนี้ไป พระองค์ทรงแต่งตั้งภิกษุใดไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า ภิกษุนี้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ฉลาดในการเปลี่ยนแปลงทางสัญญา ในศาสนาของเราดังนี้ ขอด้วยพลังแห่งกุศลกรรมที่สั่งสมไว้นี้ แม้ข้าพระองค์ก็พึงเป็นผู้เลิศในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล เหมือนภิกษุนั้นเถิด.
               ฝ่ายน้องชายของท่านกุฎุมพีนั้นบำเพ็ญกุศลกรรมสั่งสมไว้ในพระผู้มีพระภาคเจ้าเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ แล้วตั้งปณิธานไว้โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล คือด้วยองค์ ๒ ได้แก่การนิรมิตร่างกายที่สำเร็จด้วยใจและความเป็นผู้ฉลาดในการเปลี่ยนแปลงทางใจ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นว่าความปรารถนาของคนทั้งสองจะสำเร็จโดยไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตกาล ในที่สุดแห่งแสนกัป ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม ความปรารถนาของพวกเธอจักสำเร็จ.
               คนทั้งสองนั้น บำเพ็ญบุญเป็นอันมากในอัตภาพนั้นจนตลอดชีวิต จุติจากอัตภาพนั้นก็พากันไปบังเกิดในเทวโลก. ในคนสองคนนั้น ท่านไม่ได้กล่าวถึงกัลยาณธรรมที่มหาปันถกกระทำไว้ในระหว่างเลย.
               ฝ่ายจูฬปันถกบวชในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสปะ ทำโอทาตกสิณตลอด ๒๐,๐๐๐ ปีแล้ว บังเกิดในเทวบุรี.
               ส่วนในอปทานมาแล้วว่า
               ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ จูฬปันถกเป็นดาบสอยู่ในหิมวันตประเทศ พบพระผู้มีพระภาคเจ้าในที่นั้นแล้ว ได้ทำการบูชาด้วยฉัตรดอกไม้.
               เมื่อคนสองคนนั้นท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์นั่นแลแสนกัปล่วงไป.
               ต่อมา พระศาสดาของพวกเราบรรลุอภิสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทรงยังพระธรรมจักรอันบวรให้เป็นไป ทรงอาศัยกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร.
               ก็สมัยนั้น ลูกสาวของท่านธนเศรษฐีในกรุงราชคฤห์ ลักลอบได้กันกับทาสของตน กลัวพวกญาติ จึงถือเอาทรัพย์ที่พอเป็นสาระติดมือหนีไปกับทาสคนนั้น อยู่กันในที่อื่น อาศัยการอยู่ร่วมกันนั้นจึงตั้งครรภ์ พอครรภ์แก่เต็มที่ คิดว่าเราจักไปคลอดยังเรือนของญาติ แล้วก็เดินไป คลอดบุตรในระหว่างทางนั่นเอง ถูกสามีตามให้กลับแล้วก็อยู่ในที่ที่ตนอยู่ก่อน ได้ทำการตั้งชื่อบุตรว่าปันถก เพราะเกิดในหนทาง.
               ในเวลาที่นางย้อนกลับมากลับไปอยู่นั้น อาศัยเหตุนั้นนั่นแล จึงได้ตั้งครรภ์ขึ้นเป็นครั้งที่สอง พอครรภ์แก่เต็มที่ก็คลอดบุตรในระหว่างหนทางโดยนัยดังกล่าวแล้วในตอนต้นเหมือนกัน ถูกสามีตามให้กลับแล้ว ตั้งชื่อลูกชายคนโตว่า มหาปันถก ตั้งชื่อลูกชายคนเล็กว่า จูฬปันถก อยู่ในที่ที่เคยอยู่แล้วนั่นแล.
               เมื่อเด็กทั้งสองเจริญวัยโดยลำดับ ถูกเด็กทั้งสองคนนั้นรบเร้าอยู่ว่า แม่! บอกตระกูลคุณตาคุณยายแก่พวกผมบ้างเถิด จึงส่งเด็กทั้งสองคนไปหามารดาบิดา. จำเดิมแต่กาลนั้นมา เด็กทั้งสองคนก็เจริญวัยในเรือนของท่านธนเศรษฐี.
               ในเด็กทั้งสองคนนั้น จูฬปันถกยังเป็นเด็กเล็กนัก ส่วนมหาปันถกไปสู่สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้ากับคุณตาแล้ว เห็นพระศาสดาแล้วพร้อมกับการเห็นก็ได้เกิดศรัทธา ฟังธรรมแล้ว เพราะค่าที่ตนสมบูรณ์ด้วยอุปนิสัย เป็นผู้มีความประสงค์จะบรรพชา จึงบอกลาท่านตา.
               ท่านตานั้นกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระศาสดาแล้ว ก็ให้เขาบรรพชา.
               เขาบรรพชาแล้ว เล่าเรียนพระพุทธพจน์ได้เป็นจำนวนมาก พอมีอายุครบ ๒๐ ปี อุปสมบทแล้ว ทำมนสิการโดยอุบายอันแยบคายโดยพิเศษ เป็นผู้ได้อรูปฌาน ๔ ออกจากอรูปฌาน ๔ นั้นแล้ว ก็พยายามยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาแล้วบรรลุพระอรหัต. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ฉลาดในการเปลี่ยนแปลงทางสัญญา ท่านยับยั้งอยู่ด้วยความสุขอันเกิดแต่ฌานและความสุขอันเกิดแต่ผล.
               วันหนึ่งจึงพิจารณาถึงข้อปฏิบัติของตน อาศัยข้อปฏิบัติที่ตนได้บรรลุแล้วได้เกิดโสมนัส.
               เมื่อจะบันลือสีหนาท จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
                                   เมื่อใด เราได้เห็นพระศาสดาผู้ปลอดภัยเป็นครั้งแรก
                         เมื่อนั้นความสลดใจได้เกิดมีแก่เรา เพราะได้เห็นพระศาสดา
                         ผู้อุดมบุรุษ ผู้ใดนอบน้อมพระศาสดาผู้ทรงสิริ ที่พระบาทด้วย
                         มือทั้งสอง ผู้นั้นพึงทำพระศาสดาให้ทรงยินดีโปรดปราน
                                   ครั้งนั้น เราได้ละทิ้งบุตร ภรรยา ทรัพย์และธัญญาหาร
                         ปลงผมและหนวดออกบวชเป็นบรรพชิต เป็นผู้ถึงพร้อมด้วย
                         สิกขาสาชีพ สำรวมดีแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย ถวายบังคมพระ
                         สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ต่อมาร
                                   ครั้งนั้น ความตั้งใจปรารถนาสำเร็จแก่เรา เราไม่ได้นั่ง
                         อยู่เปล่าแม้เพียงครู่เดียว ในเมื่อยังถอนลูกศรคือตัณหาขึ้น
                         ไม่ได้ ขอจงดูความเพียร ความบากบั่นของเราผู้อยู่ด้วยความ
                         ตั้งใจอย่างนั้น เราได้บรรลุวิชชา ๓
                                   คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ทำเสร็จแล้ว เราระลึก
                         ชาติก่อนๆ ได้ ได้ชำระทิพยจักษุหมดจดแล้ว เป็นพระอรหันต์
                         ผู้ควรแก่ทักษิณา หลุดพ้นแล้ว ไม่มีอุปธิ ต่อเมื่อราตรีสิ้นไปแล้ว
                         พระอาทิตย์อุทัยขึ้นมา เราทำตัณหาทั้งปวงให้เหือดแห้งไป จึง
                         เข้าไปสู่ภายในกุฎีโดยบัลลังก์.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยทา แปลว่า ในกาลใด.
               บทว่า ปฐมํ แปลว่า ตั้งแต่ครั้งแรก.
               บทว่า อทฺทกฺขึ แปลว่า ได้เห็นแล้ว.
               บทว่า สตฺถารํ ได้แก่ พระผู้มีพระภาคเจ้า.
               บทว่า อกุโตภยํ แปลว่า ผู้ไม่มีภัย.
               ก็เนื้อความในข้อนั้นมีดังต่อไปนี้ :-
               ในเวลาที่เราไปพร้อมกับคุณตาของเราได้เห็นเป็นครั้งแรก ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ผู้ชื่อว่าสัตถา เพราะทรงพร่ำสอนเวไนยสัตว์ด้วยทิฏฐธรรมิกัตถประโยชน์ สัมปรายิกัตถประโยชน์ และปรมัตถประโยชน์ตามสมควร.
               พระองค์ผู้ไม่มีภัย มีความแกล้วกล้าด้วยเวสารัชญาณ พระองค์ชื่อว่าเป็นผู้ปลอดภัย เพราะไม่มีภัยแม้ในที่ไหนๆ เพราะเหตุแห่งภัยทั้งหมด พระองค์ละได้แล้วที่ควงไม้มหาโพธินั่นแล,
               เพราะได้เห็นพระศาสดานั้นผู้อุดมบุรุษคือผู้เป็นบุคคลชั้นยอดในโลกพร้อมทั้งเทวโลก เพราะเหตุแห่งการเห็นนั้น คือเพราะการเห็นนั้น ภายหลังความสลดใจจึงได้เกิดมีแก่เราว่า ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ เราไม่ได้โอกาสเพื่อจะเห็นพระศาสดา และเพื่อจะได้ฟังธรรมเลย คือมีญาณพร้อมด้วยโอตตัปปะบังเกิดขึ้นแล้ว.
               ก็เรามีความสลดใจเกิดขึ้นแล้วจึงได้คิดอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงแสดงด้วยคาถาว่า สิรึ หตฺเถหิ ดังนี้เป็นต้น.
               เนื้อความแห่งบาทคาถานั้นมีดังต่อไปนี้ :-
               บุคคลใดคือบุรุษผู้ต้องการด้วยความเจริญคิดว่า เราจักเป็นผู้อุปัฏฐากอยู่ในสำนักของพระองค์ดังนี้แล้ว ใช้มือบีบนวดพระบาทนอบน้อม คือพึงนำร่างกายมีสิริเข้าไปไว้บนที่นอน บุรุษผู้อาภัพนั้นคือเห็นปานนั้น จะให้พระศาสดาคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ผู้เช่นนั้นทรงยินดีแล้ว คือให้ได้เพียงใน ๙ ขณะนี้แล้วพึงให้โปรดปราน ข้อนั้นพึงผิดหวัง เพราะบุรุษนั้นไม่ทำตามพระโอวาท.
               อธิบายว่า ส่วนข้าพเจ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นเลย.
               ด้วยเหตุนั้น พระเถระจึงกล่าวว่า ตทาหํ ฯ เป ฯ อนคาริยํ ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉฑฺฑยึ แปลว่า เราละแล้ว.
               บาลีว่า ฉฑฺฑิยํ ดังนี้ก็มี.
               ถามว่า พระเถระนี้ไม่ได้เคยมีภรรยาครอบครองมาบวช (แต่เล็กๆ) แล้วมิใช่หรือ เพราะเหตุไร ท่านจึงได้กล่าวว่า เราละทิ้งบุตรและภรรยาเล่า?
               ตอบว่า เปรียบเหมือนบุรุษตัดต้นไม้ที่ยังไม่เกิดผล เมื่อตัดแล้วย่อมชื่อว่าเป็นผู้เสื่อมจากผลที่ได้แล้วจากต้นไม้นั้นฉันใด คำอุปมาเป็นเครื่องยังอุปไมยให้ถึงพร้อมนี้ บัณฑิตก็พึงทราบฉันนั้น.
               บทว่า สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน ความว่า ในที่ที่ภิกษุทั้งหลายเป็นอยู่ร่วมกัน มีชีวิตอย่างเดียวกัน มีความประพฤติเสมอกัน ด้วยอธิศีลสิกขา ด้วยเหตุนั้น ภิกษุนั้นจึงเป็นผู้ประกอบพร้อมด้วยสาชีพ คือสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยความเป็นภิกษุ ทำสิกขาให้บริบูรณ์และเป็นผู้ไม่ยอมก้าวล่วงสาชีพ ชื่อว่าเป็นผู้ทำสิกขาและสาชีพทั้งสองนั้นให้ถึงพร้อม.
               ด้วยเหตุนั้น พระเถระจึงแสดงถึงความตั้งมั่นในศีลคือพระปาติโมกข์อันหมดจดด้วยดี.
               บทว่า อินฺทฺริเยสุ สุสํวุโต ความว่า เป็นผู้สำรวมแล้วด้วยดีในอินทรีย์ทั้งหลายที่มีใจเป็นที่ ๖ คือผู้มีจักษุทวารเป็นต้นอันปิดดีแล้วด้วยบานประตูคือสติ ด้วยอำนาจการห้ามความเป็นไปแห่งกิเลสมีอภิชฌาเป็นต้นที่จะมาปรากฏในอารมณ์มีรูปารมณ์เป็นต้น.
               ด้วยอาการอย่างนี้ เมื่อว่าโดยเนื้อความ แม้ศีลที่นอกไปจากนี้ก็เป็นอันพระเถระได้แสดงไว้แล้วทีเดียว ด้วยการแสดงความถึงพร้อมแห่งศีล คือปาฏิโมกขสังวรและอินทรียสังวร เพราะเหตุนั้น พระเถระครั้นแสดงความถึงพร้อมแห่งจตุปาริสุทธิศีลของตนแล้ว จึงกล่าวถึงภาวนานุโยคในพุทธานุสสติ ด้วยคำเป็นต้นว่า นมสฺสมาโน สมฺพุทฺธํ นี้.
               บทว่า วิหาสึ อปราชิโต ความว่า เราเป็นผู้ไม่พ่ายแพ้ต่อมารมีกิเลสมารเป็นต้นอยู่ คือไม่ถูกมารมีกิเลสมารเป็นต้นเหล่านั้นครอบงำได้จนได้บรรลุถึงพระอรหัต ได้แก่ โดยที่แท้ เราครอบงำกิเลสมารเป็นต้นเหล่านั้นนั่นแลอยู่.
               บทว่า ตโต ความว่า เพราะเป็นผู้มีศีลหมดจดด้วยดี เลื่อมใสยิ่งในพระศาสดา ดำรงอยู่ในข้อปฏิบัติเพื่อครอบงำกิเลส.
               บทว่า ปณิธี ได้แก่ ปณิธาน ความตั้งใจแน่วแน่, หรือเพราะมีความปรารถนาที่ตั้งใจจริง.
               บทว่า อาสิ คือ อโหสิ แปลว่า ได้มีแล้ว.
               บทว่า เจตโส อภิปตฺถิโต ได้แก่ ความปรารถนาทางใจของเรา.
               เพื่อจะหลีกเลี่ยงคำถามว่า ก็ความปรารถนานั้นเป็นเช่นไร?
               ท่านจึงกล่าวว่า เราไม่ได้นั่งอยู่เปล่าแม้เพียงครู่เดียว ในเมื่อยังถอนลูกศรคือตัณหาขึ้นไม่ได้.
               ความว่า ความปรารถนาที่ตั้งใจจริงได้มีแก่เราอย่างนี้ว่า เราไม่พึงนั่ง คือไม่พึงสำเร็จการนั่งอยู่เปล่าแม้เพียงครู่เดียว ในเมื่อยังถอนลูกศรคือตัณหาขึ้นไม่ได้จากหัวใจของเราด้วยแหนบคืออรหัตมรรค.
               ก็พระเถระอธิษฐานจิตอย่างนี้แล้ว เริ่มเจริญภาวนา ให้ราตรีล่วงไปด้วยการยืนและการจงกรมเท่านั้น ออกจากรูปสมาบัติแล้ว เริ่มตั้งวิปัสสนา โดยมีองค์ฌานเป็นประธานแล้ว ก็ทำให้แจ้งได้ซึ่งพระอรหัต.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตสฺส เม ดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า นิรูปธิ ได้แก่ ไม่มีอุปธิ เพราะไม่มีอุปธิกิเลสเป็นต้น.
               บทว่า รตฺยาวิวสาเน ได้แก่ ในเมื่อส่วนแห่งราตรีสิ้นไปแล้ว คือเมื่อราตรีสว่างแล้ว.
               บทว่า สูริยุคฺคมนํ ปติ ได้แก่ ทำการขึ้นไปแห่งพระอาทิตย์ให้เป็นลักษณะ.
               บทว่า สพฺพํ ตณฺหํ ได้แก่ ทำกระแสแห่งตัณหาทั้งหมดอันต่างโดยประเภทมีกามตัณหาเป็นต้นให้แห้ง คือให้แห้งเหือดไปด้วยพระอรหัตมรรคได้ ก็เพราะท่านมั่นคงต่อคำปฏิญาณว่า เราไม่ได้นั่งอยู่เปล่า ในเมื่อยังถอนลูกศรคือตัณหาขึ้นไม่ได้.
               บทว่า ปลฺลงฺเกน อุปาวิสึ ความว่า เรานั่งคู้บังลังก์.
               คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.

               จบอรรถกถามหาปันถกเถรคาถาที่ ๓               
               จบปรมัตถทีปนี อรรถกถาเถรคาถา อัฏฐกนิบาต               
               -----------------------------------------------------               

               พระเถระ ๓ องค์ ได้กล่าวคาถาไว้ในอัฏฐกนิบาตองค์ละ ๘ คาถา
               รวมเป็น ๒๔ คาถา คือ
                         ๑. พระมหากัจจายนเถระ
                         ๒. พระสิริมิตตเถระ
                         ๓. พระมหาปันถกเถระ
               จบอัฏฐกนิบาต               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา อัฏฐกนิบาต ๓. มหาปันถกเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 367อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 368อ่านอรรถกถา 26 / 369อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6850&Z=6873
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=3923
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=3923
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :