ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 368อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 369อ่านอรรถกถา 26 / 370อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา นวกนิบาต
๑. ภูตเถรคาถา

               อรรถกถานวกนิบาต               
               อรรถกถาภูตเถรคาถาที่ ๑               
               ในนวกนิบาต มีคาถาของท่านพระภูตเถระ เริ่มต้นว่า ยทาทุกฺขํ ดังนี้.
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               ท่านพระภูตะแม้นี้เป็นผู้มีอธิการได้บำเพ็ญมาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ ในภพนั้นๆ ได้สั่งสมบุญซึ่งเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ได้นามว่าเสนะ พอรู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่งพบพระศาสดา มีใจเลื่อมใส จึงชมเชยด้วยคาถา ๔ คาถามีนัยเป็นต้นว่า อุสภํ ปวรํ ดังนี้.
               ด้วยบุญกรรมนั้น ท่านจึงท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นลูกชายของเศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัติมากในบ้านใกล้ประตูนครสาเกต.
               ได้ยินว่า ท่านเศรษฐีนั้นมีเด็กๆ เกิดขึ้นแล้วหลายคน หากแต่ถูกยักษ์ตนหนึ่งจับกินเสีย เพราะผูกใจอาฆาตไว้. แต่สำหรับเด็กคนนี้ พวกภูตพากันยึดถือการรักษาไว้ได้ ก็เพราะความที่เด็กนี้เป็นผู้เกิดในชาติสุดท้าย.
               ฝ่ายยักษ์ไปสู่ที่บำรุงของท้าวเวสวัณแล้วก็ไม่ได้ไปอีกเลย. ก็ในวันตั้งชื่อ พวกญาติทั้งหลายได้พากันตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่าภูตะ เพราะเมื่อตั้งชื่ออย่างนี้แล้ว พวกอมนุษย์จะอนุเคราะห์บริหารคุ้มครอง.
               ก็ด้วยผลบุญของตนเอง เด็กนั้นจึงไม่มีอันตราย เจริญวัยแล้ว.
               คำว่า ปราสาท ๓ หลังได้มีแล้ว ดังนี้เป็นต้นทั้งหมด พึงทราบราวกะการระบุถึงสมบัติของกุลบุตรผู้ทรงยศนั้น.
               เด็กนั้นรู้เดียงสาแล้ว เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ในพระนครสาเกต เขาพร้อมกับพวกอุบาสกพากันไปยังวิหาร ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดาแล้ว ได้เกิดมีศรัทธา บวชแล้วอยู่ในถ้ำใกล้ฝั่งแม่น้ำชื่อว่าอชกรณี เริ่มเจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- :-
               ผู้ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ ผู้แกล้วกล้า ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ทรงชนะวิเศษ มีพระฉวีวรรณดังทองคำแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า.
               ผู้เห็นพระฌานของพระพุทธเจ้าอันเปรียบเหมือนภูเขาหิมวันต์อันประมาณไม่ได้ ดังสาครอันข้ามได้ยากแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า.
               ผู้เห็นศีลของพระพุทธเจ้าซึ่งเปรียบเหมือนแผ่นดินอันประมาณไม่ได้ ดุจมาลัยประดับศีรษะอันงดงามฉะนั้นแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า.
               ผู้เห็นพระญาณของพระพุทธเจ้าซึ่งเปรียบดุจอากาศอันไม่กำเริบ ดุจอากาศอันนับไม่ได้ฉะนั้นแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า.
               พราหมณ์ชื่อว่าเสนะได้สรรเสริญพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด พระนามว่าสิทธัตถะ ผู้ไม่ทรงพ่ายแพ้อะไร ด้วยคาถา ๔ คาถานี้แล้ว ไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอด ๙๔ กัป. เราได้เสวยสมบัติอันดีงามมิใช่น้อยในสุคติทั้งหลาย ในกัปที่ ๙๔ แต่กัปนี้ เราสรรเสริญพระพุทธเจ้าผู้นำของโลกแล้ว ไม่รู้จักทุคติเลย นี้เป็นผลแห่งการสรรเสริญ.
               ในกัปที่ ๑๔ แต่กัปนี้ได้มีพระเจ้าจักรพรรดิ ๔ พระองค์ผู้สูงศักดิ์ ทรงสมบูรณ์ด้วยรัตนะ ๗ ประการมีหมู่พลมาก. กิเลสทั้งหลายของเราถูกเผาไหม้ไปแล้ว ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๒/ข้อ ๖๖

               ก็พระเถระครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว สมัยต่อมา เมื่อจะทำการอนุเคราะห์หมู่ญาติ จึงไปยังพระนครสาเกต ได้รับการบำรุงจากพวกญาติ ๒-๓ วันก็ไปอยู่ในป่าไม้อัญชันแล้ว มีความประสงค์จะไปสู่ที่ที่ตนเคยอยู่แล้วนั่นแลอีก จึงแสดงอาการว่าจะไป. พวกญาติจึงพากันอ้อนวอนพระเถระว่า นิมนต์อยู่ในที่นี้แหละเจ้าข้า, ตัวท่านเองก็จักไม่ลำบาก, ถึงพวกผมก็จักได้เจริญบุญเพิ่มขึ้น.
               พระเถระเมื่อจะประกาศการยินดียิ่งในความสงัดและความอยู่ผาสุกสบายในป่านั้นของตน จึงกล่าวคาถาทั้งหลายเหล่านี้ว่า :-
                         เมื่อใด บัณฑิตกำหนดรู้ทุกข์ในเบญจขันธ์ที่ปุถุชนทั้ง
               หลายไม่รู้แจ้งว่า ความแก่และความตายนี้เป็นทุกข์ แล้วจม
               อยู่ เป็นผู้มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้น ย่อมไม่ประสบความยินดี
               ในเบญจขันธ์นั้น ยิ่งไปกว่าความยินดีในวิปัสสนา และใน
               มรรคผล
                         เมื่อใด บัณฑิตละตัณหาอันนำทุกข์มาให้ ซ่านไปใน
               อารมณ์ต่างๆ นำมาซึ่งทุกข์อันเกิดเพราะความต่อเนื่องแห่ง
               ธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า เป็นผู้มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้น ย่อม
               ไม่ประสบความยินดี ยิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น
                         เมื่อใด บัณฑิตถูกต้องทางอันสูงสุด เป็นทางปลอดโปร่ง
               ให้ถึงองค์ ๒ และองค์ ๔ เป็นที่ชำระกิเลสทั้งปวงด้วยปัญญา
               มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดียิ่งไป
               กว่าการเพ่งพิจารณานั้น
                         เมื่อใด บัณฑิตเจริญสันตบทอันไม่ทำให้เศร้าโศก
               ปราศจากธุลี อันปัจจัยอะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ให้หมดจดจาก
               กิเลสทั้งปวง เป็นเครื่องตัดกิเลสเครื่องผูกพัน คือสังโยชน์
               เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการเจริญสันต
               บทนั้น
                         เมื่อใด กลองคือเมฆอันเกลื่อนกล่นด้วยสายฝน ย่อม
               คำรนร้องอยู่บนนภากาศอันเป็นทางไปแห่งฝูงนกอยู่โดยรอบ
               และภิกษุไปเพ่งพิจารณาธรรม อยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อนั้น ย่อมไม่
               ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการเพ่งธรรมนั้น
                         เมื่อใด บัณฑิตมีจิตเบิกบาน นั่งเพ่งพิจารณาธรรมอยู่
               ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งหลายอันดารดาษไปด้วยดอกโกสุม และดอก
               มะลิที่เกิดในป่า อันวิจิตรงดงาม ย่อมไม่ได้ประสบความยินดี
               อย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการนั่งเพ่งพิจารณาธรรมนั้น
                         เมื่อใด มีฝนฟ้าร้องในเวลาราตรี ฝูงสัตว์ที่มีเขี้ยวก็พา
               กันยินดีอยู่ในป่าใหญ่ และภิกษุไปเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ที่
               เงื้อมเขา เมื่อนั้น ย่อมไม่ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไป
               กว่าการพิจารณาธรรมนั้น
                         เมื่อใด ภิกษุกำจัดวิตกทั้งหลายของตน เข้าไปสู่ถ้ำ
               ภายในภูเขา ปราศจากความกระวนกระวายใจ ปราศจาก
               กิเลสอันตรึงใจเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้
               ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น
                         เมื่อใด ภิกษุมีความสุข ยังมลทินกิเลสอันตรึงจิตและ
               ความเศร้าโศกให้พินาศ ไม่มีกลอนประตูคืออวิชชา ไม่มีป่า
               คือตัณหา ปราศจากลูกศรคือกิเลส เป็นผู้ทำอาสวะทั้งปวง
               ให้สิ้นไป เพ่งพิจารณาธรรมอยู่ เมื่อนั้น ย่อมไม่ได้ประสบ
               ความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการเพ่งพิจารณาธรรมนั้น.

               บรรดาคาถาเหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบการพรรณนาเนื้อความแห่งคาถาแรก ซึ่งมีวาจาประกอบความเฉพาะบทที่เป็นประธานดังต่อไปนี้ :-
               ความแก่รอบแห่งขันธ์ทั้งหลายชื่อว่าชรา. ความแตก (แห่งขันธ์ทั้งหลาย) ชื่อว่ามรณะ. ก็ธรรมดาที่มีความแก่และความตาย ในที่นี้ ท่านสงเคราะห์มุ่งถึงชราและมรณะ.
               ในกาลใด บัณฑิตคือภิกษุในศาสนานี้ กำหนดรู้ทุกข์นั้นด้วยมรรคปัญญาที่สัมปยุตด้วยวิปัสสนาปัญญาว่า สิ่งนี้เป็นทุกข์, สิ่งมี ประมาณเท่านี้ เป็นทุกข์ ไม่มีสิ่งอื่นที่ยิ่งไปกว่าทุกข์นี้ ดังนี้ ในอุปาทานเบญจขันธ์ที่ปุถุชนทั้งหลายไม่รู้แจ้ง คือไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ความแก่และความตายนี้เป็นทุกข์ ดังนี้แล้วจมอยู่ คือผูกพันแนบแน่น เป็นผู้มีสติ คือมีสัมปชัญญะเพ่งพินิจอยู่ ด้วยลักขณูปนิชฌาน.
               เมื่อนั้น ย่อมไม่ประสบคือไม่ได้ความยินดียิ่งไปกว่า คือสูงสุดกว่าความยินดีในวิปัสสนาและความยินดีในมรรคและผล.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
                                   ในกาลใดๆ ภิกษุพิจารณาความเกิดขึ้นและความ
                         เสื่อมไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย ในกาลนั้นๆ เธอย่อมได้ปีติ
                         ปราโมทย์ ข้อนั้นเป็นอมตะของบัณฑิตผู้รู้ทั้งหลาย
                         โสดาปัตติผลประเสริฐกว่าความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้
                         เป็นเอกราชในแผ่นดิน กว่าการไปสวรรค์ และกว่าความ
                         เป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง.

               พระเถระครั้นแสดงถึงราตรีที่สงัด โดยมุ่งถึงการรู้ชัดด้วยการหยั่งรู้อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงถึงข้อนั้นโดยมุ่งถึงการละเป็นต้นไป จึงกล่าวคาถา ๓ คาถามีคาถาที่ ๒ เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺขสฺสาวหนึ ได้แก่ เป็นไปเพื่อความทุกข์ในเบื้องหน้า. อธิบายว่า เผล็ดผลเป็นทุกข์.
               บทว่า วิสตฺติกํ คือ ตัณหา.
               ก็ตัณหานั้น ท่านเรียกว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่าแผ่ซ่านไป, เพราะอรรถว่ากว้างขวาง, เพราะอรรถว่าหลั่งไหลไปทั่ว เพราะอรรถว่าไม่อาจหาญ, เพราะอรรถว่านำไปสู่สิ่งมีพิษ, เพราะอรรถว่าหลอกลวง, เพราะอรรถว่ามีรากเป็นพิษ, เพราะอรรถว่ามีผลเป็นพิษ, เพราะอรรถว่าบริโภคเป็นพิษ.
               ก็อีกอย่างหนึ่ง ตัณหานั้นที่กว้างขวางใหญ่โต ท่านเรียกว่าวิสัตติกา เพราะอรรถว่าแพร่กระจายไป ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมะ ตระกูลและหมู่คณะ.
               บทว่า ปปญฺจสงฺฆาตทุขาธิวาหินึ ความว่า ชื่อว่าปปัญจะ เพราะอรรถว่าทำความสืบต่อแห่งสัตว์ในสงสารให้ชักช้า คือให้ยืดยาว ได้แก่ราคะเป็นต้นและได้แก่มานะเป็นต้น.
               ปปัญจธรรมทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแล ชื่อว่าสังฆาตา เพราะอรรถว่ารวบรวมทุกข์ที่เกิดขึ้นไว้, และชื่อว่าทุกข์ เพราะมีสภาวะกระวนกระวายและเร่าร้อน เหตุนั้น จึงชื่อว่า ปปัญจสังฆาตทุขาธิวาหินี เพราะนำมาเฉพาะ คือเพราะเกิดความทุกข์ที่รวบรวมไว้ซึ่งธรรมเครื่องเนิ่นช้า.
               บทว่า ตณฺหํ ปหนฺตฺวาน ได้แก่ ตัดได้เด็ดขาดซึ่งตัณหานั้นด้วยอริยมรรค.
               บทว่า สิวํ ได้แก่ เกษม.
               อธิบายว่า ด้วยการตัดได้เด็ดขาดซึ่งกิเลสทั้งหลาย อันเป็นตัวทำความไม่ปลอดโปร่งให้ บัณฑิตเหล่านั้นจึงไม่เดือดร้อน.
               ทางอันประกอบด้วยองค์ ๘ ด้วยอำนาจแห่งสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ชื่อว่า เทฺวจตุรงฺคคามินํ เพราะอรรถว่า ให้พระอริยะทั้งหลายถึงพระนิพพาน.
               ก็ในคาถานี้พึงเห็นว่า ท่านทำการลบวิภัตติเสีย ก็เพื่อสะดวกแก่รูปคาถา.
               ชื่อว่า มคฺคุตฺตมํ เพราะเป็นทางสูงสุด ในบรรดาทางทั้งหมดมีทางที่เกิดขึ้นแห่งรูปเป็นต้น.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า มรรคมีองค์ ๘ ประเสริฐกว่าทางทั้งหลาย เป็นต้น.
               ชื่อว่า สพฺพกิเลสโสธนํ เพราะชำระสัตว์ทั้งหลายให้สะอาดจากมลทินคือกิเลสทั้งปวง.
               บทว่า ปญฺญาย ปสฺสิตฺวา ได้แก่ เข้าถึงแล้วด้วยอำนาจการรู้เฉพาะภาวนา โดยปฏิเวธปัญญา.
               ชื่อว่า อโสกํ เพราะความเศร้าโศกในที่นี้ไม่มี เพราะเหตุแห่งความเศร้าโศกไม่มี และเพราะเหตุที่บุคคลไม่มีความเศร้าโศก.
               ชื่อว่า วิรชํ เพราะธุลีมีราคะเป็นต้นไปปราศแล้วอย่างนั้น.
               ชื่อว่า อสงฺขตํ เพราะอันปัจจัยอะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้.
               ชื่อว่า สนฺตํ ปทํ เพราะสงบระงับกิเลสทั้งปวง และทุกข์ทั้งปวงได้ และเพราะพึงบรรลุคือเว้นจากการถูกเบียดเบียนในสังสารทุกข์.
               ชื่อว่า สพฺพกิเลสโสธนํ เพราะมีการชำระสันดานของสัตว์ให้สะอาดจากมลทินคือกิเลสทั้งปวงเป็นเครื่องหมาย.
               บทว่า ภาเวติ ความว่า ย่อมบรรลุ ด้วยอำนาจสัจฉิกิริยาภิสมัย.
               ก็เมื่อบุคคลนั้น ปรารภพระนิพพานมากครั้งแล้ว ยังสัจฉิกิริยาสมัยให้เป็นไป เมื่ออารมณ์ที่จะพึงยึดหน่วงคุณวิเศษที่จะได้มีอยู่ จึงยกขึ้นกล่าวอย่างนี้.
               ชื่อว่า สัญโญชนพันธนัจฉิทะ เพราะตัดเครื่องผูกพันทั้งหลาย คือสังโยชน์ได้.
               จริงอยู่ ในที่นี้ ท่านใช้เครื่องหมายโดยความเป็นกัตตุวาจก เหมือนสัจจะทั้งหลายที่ทำความเป็นอริยะ ท่านเรียกว่า อริยสัจ ฉะนั้น
               มีวาจาประกอบความว่า ในคาถานี้ ในเวลาที่เจริญสันตบท ย่อมไม่ได้ประสบความยินดีที่ยิ่งไปกว่าการเจริญสันตบทนั้น เหมือนมีวาจาประกอบความว่า ในคาถาก่อนๆ ในเวลาที่เพ่งพินิจ ย่อมไม่ได้ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการเพ่งพิจารณานั้นฉะนั้น.
               พระเถระ ครั้นน้อมนำตนให้เข้าไปด้วยคาถา ๔ คาถาอย่างนี้แล้ว จึงพยากรณ์ความเป็นพระอรหันต์ โดยระบุถึงการตรัสรู้สัจจะ ๔ ประการ
               บัดนี้ เมื่อจะแสดงถึงความผาสุกแห่งสถานที่ที่ตนอยู่แล้ว โดยความสงัดเงียบ จึงกล่าวคาถาทั้งหลายมีคาถาเริ่มต้นว่า ยทา นเภ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นเภ ได้แก่ ในอากาศ.
               กลองคือเมฆ ชื่อว่า เมฆทุนฺทุภิ เพราะมีเสียงนุ่มนวล กังวานและกึกก้อง.
               ชื่อว่า ธารากุลา เพราะเกลื่อนกล่นด้วยสายน้ำที่ไหลมาจากทุกทิศ.
               มีวาจาประกอบความว่า ในนภากาศอันชื่อว่าเป็นทางไปแห่งฝูงนก เพราะเป็นทางไปแห่งฝูงนกเหล่าปักษี.
               บทว่า ตโต ฌานรติโต แปลว่า กว่าความยินดีในการเพ่ง.
               บทว่า กุสุมากุลานํ ได้แก่ ดารดาษด้วยดอกโกสุมที่หล่นแล้วจากต้น.
               บทว่า วิจิตฺตวาเนยฺยวฏํสกานํ ความว่า ชื่อว่าดอกมะลิป่า เพราะเกิดในป่า แม่น้ำมีพวงมาลัยดอกมะลิป่าอันวิจิตร ชื่อว่า วิจิตฺตวาเนยฺยวฏํสกา.
               อธิบายว่า แม่น้ำมีพวงมาลัยดอกไม้ป่านานาชนิด.
               ชื่อว่าผู้มีใจเบิกบาน เพราะเขามีใจดี ด้วยอำนาจอุตริมนุสธรรมเพ่งอยู่.
               บทว่า นิสีเถ ได้แก่ ในเวลาราตรี.
               บทว่า รหิตมฺหิ ได้แก่ ในที่สงัดเงียบ ปราศจากความเบียดเสียดแห่งหมู่ชน.
               บทว่า เทเว ได้แก่ เมฆ. บทว่า คฬนฺตมฺหิ ได้แก่ มีสายน้ำฝนหลั่งไหล ตกลง.
               บทว่า ทาฐิโน ได้แก่ ฝูงสัตว์ที่เป็นปฏิปักษ์ มีราชสีห์และเสือโคร่งเป็นต้น.
               จริงอยู่ สัตว์เหล่านั้นมีเขี้ยวเป็นอาวุธ ท่านจึงเรียกว่า ทาฐิโน.
               คำว่า นทนฺติ ทาฐิโน แม้นี้ ท่านถือเอาก็เพื่อจะแสดงชี้ถึงความสงัดเงียบจากหมู่ชนเท่านั้น.
               บทว่า วิตกฺเก อุปรุนฺธิยตฺตโน ความว่า กำจัดมิจฉาวิตกทั้งหลายมีกามวิตกเป็นต้น โดยพลังแห่งความเป็นปฏิปักษ์ของตน เพราะนับเนื่องในสันดานของตน.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อตฺตโน นี้พึงประกอบเข้าด้วยบทว่า วินฺทติ นี้ว่า เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น ดังนี้.
               บทว่า นคนฺตเร แปลว่า ภายในภูเขา.
               บทว่า นควิวรํ ได้แก่ ถ้ำภายในภูเขา หรือเงื้อมเขา.
               บทว่า สมสฺสิโต ได้แก่ เข้าไปโดยการอาศัยอยู่.
               บทว่า วีตทฺทโร ได้แก่ ปราศจากกิเลสเป็นเหตุให้กระวนกระวายได้.
               บทว่า วีตขิโล ได้แก่ ละกิเลสดุจตะปูตรึงใจเสียได้.
               บทว่า สุขี ได้แก่ มีความสุขด้วยสุขอันเกิดแต่ฌานเป็นต้น.
               บทว่า มลขิลโสกนาสโน ได้แก่ ละมลทินมีราคะเป็นต้น ละกิเลสดุจตะปูตรึงใจ ๕ ประการและละความเศร้าโศกมีความพลัดพรากจากญาติเป็นต้นเป็นเหตุได้.
               บทว่า นิรคฺคโฬ ได้แก่ อวิชชา ท่านเรียกว่ากลอนประตู เพราะห้ามการเข้าไปใกล้พระนิพพาน. เรียกว่า นิรคฺคโฬ เพราะไม่มีกลอนประตูคืออวิชชานั้น.
               บทว่า นิพฺพนโถ ได้แก่ ไม่มีตัณหา.
               บทว่า วิสลฺโล ได้แก่ ปราศจากลูกศรคือกิเลสมีราคะเป็นต้น.
               บทว่า สพฺพาสเว ได้แก่ ทำอาสวะทั้งหมดมีกามาสวะเป็นต้น (ให้สิ้นไป).
               บทว่า พฺยนฺติกโต มีวาจาประกอบความว่า
               เมื่อใดภิกษุทำ (อาสวะ) ให้สิ้นไป คือทำกิเลสให้ปราศไปด้วยอริยมรรค ดำรงอยู่ เพ่งพินิจเพื่อความอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าความยินดีในการเพ่งพิจารณาธรรมนั้น.
               ก็พระเถระ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วก็มุ่งตรงไปสู่ฝั่งแม่น้ำอชกรณีแล.

               จบอรรถกถาภูตเถรคาถาที่ ๑               
               จบปรมัตถทีปนี อรรถกถาเถรคาถา นวกนิบาต               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา นวกนิบาต ๑. ภูตเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 368อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 369อ่านอรรถกถา 26 / 370อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=6874&Z=6912
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=4034
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=4034
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :