ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 374อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 375อ่านอรรถกถา 26 / 376อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทสกนิบาต
๖. อุปเสนวังคันตปุตตเถรคาถา

               อรรถกถาอุปเสนวังคันตปุตตเถรคาถาที่ ๖               
               มีคาถาท่านพระอุปเสนเถระว่า วิวิตฺตํ อปฺปนิคฺโฆสํ ดังนี้เป็นต้น.
               เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ท่านพระอุปเสนเถระรูปนี้บังเกิดในเรือนอันมีสกุล ในหังสวดีนคร พอเจริญวัยแล้วไปฟังธรรมยังสำนักของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่งอันเลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้มีความเลื่อมใสโดยรอบแล้ว จึงกระทำบุญญาธิการไว้ในสำนักของพระศาสดาแล้ว ปรารถนาตำแหน่งนั้น ตลอดชีวิตทำแต่กุศล จึงได้ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก.
               ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในท้องของนางพราหมณีชื่อว่ารูปสารี ในนาคาม และเขาได้มีชื่อว่า อุปเสนะ.
               อุปเสนะนั้นเจริญวัยแล้ว พอเรียนไตรเพทจบแล้ว ฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้มีศรัทธาบวชแล้ว มีพรรษาเดียว ต้องการเพื่อให้อุปสมบท จึงให้กุลบุตรคนหนึ่งอุปสมบทในสำนักของตน ด้วยคิดว่า เราจะยังห้องแห่งพระอรหัตให้เจริญ ดังนี้แล้วไปสู่สำนักของพระศาสดาพร้อมกับกุลบุตรนั้น.
               พระศาสดาทรงสดับว่า ภิกษุนั้นยังไม่มีพรรษาแต่มีสัทธิวิหาริก จึงทรงติเตียนว่า เร็วนักแล โมฆบุรุษ เธอเวียนมาเพื่อการเป็นอยู่อย่างฟุ่มเฟือย.
               เธอจึงคิดว่า บัดนี้เราถูกพระศาสดาทรงติเตียนเพราะอาศัยบุรุษนี้แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น เราอาศัยบุรุษนี้แหละจักให้พระศาสดาตรัสสรรเสริญบ้าง ดังนี้แล้ว จึงบำเพ็ญวิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- :-
               เราได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ เชษฐบุรุษของโลก เป็นนระผู้ประเสริฐ สูงสุดกว่านระ ประทับนั่งอยู่ที่เงื้อมภูเขา เวลานั้น เราได้เห็นดอกกรรณิการ์กำลังบาน จึงเด็ดขั้วมันแล้ว เอามาประดับที่ฉัตร โปรย (กั้น) ถวายแด่พระพุทธเจ้า และเราได้ถวายบิณฑบาตมีข้าวชั้นพิเศษ ที่จัดว่าเป็นโภชนะอย่างดี ได้นิมนต์พระ ๘ รูป เป็น ๙ รูปทั้งพระพุทธเจ้าให้ฉันที่บริเวณนั้น.
               พระสยัมภูมหาวีระเจ้าผู้เป็นบุคคลผู้เลิศ ทรงอนุโมทนาว่า ด้วยการถวายฉัตรนี้ (และ) ด้วยจิตอันเลื่อมใสในการถวายข้าวชั้นพิเศษนั้น ท่านจักเป็นจอมเทวดาเสวยเทวรัชสมบัติ ๓๖ ครั้งและจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๑ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์โดยคณานับไม่ถ้วน
               ในแสนกัปแต่กัปนี้ วงศ์พระเจ้าโอกกากราชจักสมภพ จักเป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม โดยพระโคตร เมื่อพระศาสนากำลัง รุ่งเรือง ผู้นี้จักถึงความเป็นมนุษย์ เป็นทายาทในธรรม เป็นโอรส น้อมไปในธรรมของพระศาสดาพระองค์นั้น จักได้เป็นสาวกของพระศาสดา มีพระนามว่าอุปเสนะ จักตั้งอยู่ในเอตทัคคะ ที่เป็นผู้นำความเลื่อมใสมาโดยรอบ เมื่อกาลเป็นไปถึงที่สุด เราถอนภพได้ทั้งหมด เราชนะมารพร้อมทั้งพาหนะแล้ว ทรงกายอันเป็นที่สุดไว้ คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทา ๔ ... ฯลฯ ... พระพุทธศาสนา เราได้ทำเสร็จแล้ว ฉะนี้แล.
____________________________
๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๒/ข้อ ๑๙

               ก็ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว แม้ตนเองสมาทานธุดงคธรรมทั้งหมดเป็นไปอยู่ ทั้งชักชวนให้ภิกษุพวกอื่นสมาทาน เพื่อประโยชน์แก่ธุดงคธรรมนั้นด้วย.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตั้งเธอไว้ในตำแหน่งที่เลิศแห่งภิกษุทั้งหลายผู้นำความเลื่อมใสมาโดยรอบ.
               สมัยต่อมา เมื่อเกิดการทะเลาะกันขึ้นในกรุงโกสัมพี และภิกษุสงฆ์แตกแยกเป็น ๒ ฝ่าย เธอถูกภิกษุรูปหนึ่งผู้ประสงค์จะหลีกเลี่ยงการทะเลาะนั้น ถามว่า บัดนี้เกิดการทะเลาะกันขึ้นแล้วแล, พระสงฆ์แตกแยกเป็น ๒ ฝ่าย, กระผมจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอแล ดังนี้
               เมื่อจะกล่าวถึงข้อปฏิบัติแก่ภิกษุรูปนั้นตั้งต้นแต่การอยู่อย่างสงบ จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
                                   ภิกษุซ่องเสพเสนาสนะอันสงัด ปราศจากเสียงอื้ออึง
                         เป็นที่อยู่อาศัยแห่งสัตว์ร้าย เพราะการหลีกเร้นออกเป็นเหตุ
                                   ภิกษุพึงเก็บผ้ามาจากกองหยากเยื่อ จากป่าช้า จาก
                         ตรอกน้อยตรอกใหญ่แล้ว ทำเป็นผ้านุ่งห่ม พึงทรงจีวรอัน
                         เศร้าหมอง
                                   ภิกษุควรทำใจให้ต่ำ คุ้มครองทวาร สำรวมดีแล้ว
                         เที่ยวไปบิณฑบาตตามลำดับตรอก คือตามลำดับสกุล
                                   ภิกษุพึงยินดีด้วยของๆ ตน แม้จะเป็นของเศร้าหมอง
                         ไม่พึงปรารถนารสอาหารอย่างอื่นมาก เพราะใจของบุคคล
                         ผู้ติดในรสอาหาร ย่อมไม่ยินดีในฌาน
                                   ภิกษุควรเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย สันโดษ ชอบ
                         สงัด เป็นมุนี ไม่คลุกคลีด้วยพวกคฤหัสถ์ และพวกบรรพชิต
                         ทั้งสอง ภิกษุผู้เป็นบัณฑิต ควรแสดงตนให้เป็นดังคนบ้า
                         และคนใบ้ ไม่ควรพูดมากในท่ามกลางสงฆ์ ไม่ควรเข้าไป
                         กล่าวว่าใครๆ ควรละเว้นการเข้าไปกระทบกระทั่ง เป็นผู้
                         สำรวมพระปาติโมกข์ และพึงเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ
                         เป็นผู้ฉลาดในการเกิดขึ้นแห่งจิต มีนิมิตอันถือเอาแล้ว พึง
                         ประกอบสมถะและวิปัสสนา ตามเวลาอันสมควรอยู่เนืองๆ
                         พึงเป็นบัณฑิต ผู้ถึงพร้อมด้วยความเพียรเป็นนิตย์ เป็นผู้
                         ประกอบภาวนาทุกเมื่อ ด้วยความตั้งใจว่า ถ้ายังไม่ถึงที่สุด
                         ทุกข์ ไม่พึงถึงความวางใจ
                                   อาสวะทั้งปวงของภิกษุผู้ปรารถนาความบริสุทธิ์ เป็น
                         อยู่อย่างนี้ ย่อมสิ้นไป และภิกษุนั้นย่อมบรรลุนิพพาน.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิวิตฺตํ ได้แก่ เสนาสนะอันสงัดจากหมู่ชน ว่างมีป่าเป็นต้น.
               บทว่า อปฺปนิคฺโฆสํ ได้แก่ เงียบจากเสียง คือเว้นจากที่เสียดสีมากด้วยเสียง.
               บทว่า วาฬฺมิคนิเสวิตํ ได้แก่ อันมีราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลืองและสัตว์ร้ายอยู่อาศัย. แม้ด้วยบทนี้ ท่านแสดงถึงสถานที่อันสงบจากหมู่คนนั้นแล เพราะแสดงว่าเสนาสนะสงัด.
               บทว่า เสนาสนํ ได้แก่ สถานที่อยู่โดยความสมควรเพื่อจะนอนและเพื่อจะอาศัย ท่านประสงค์เอาว่า เสนาสนะ ในที่นี้.
               บทว่า ปฏิสลฺลานการณา ได้แก่ มีการหลีกเร้นออกเป็นเครื่องหมาย คือเพื่อจะชักจิตกลับจากอารมณ์ต่างๆ แล้ว ให้จิตแอบแนบอยู่โดยถูกต้อง เฉพาะในกัมมัฏฐานเท่านั้น.
               พระเถระครั้นชี้แจงถึงเสนาสนะ อันสมควรแก่การเจริญภาวนา แสดงความสันโดษในเสนาสนะอย่างนี้แล้ว.
               บัดนี้ เพื่อจะแสดงความสันโดษนั้น แม้ในปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น จึงกล่าวคำว่า สงฺการปุญฺชา ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สงฺการปุญฺชา ได้แก่ กองแห่งหยากเยื่อทั้งหลาย ชื่อว่ากองแห่งหยากเยื่อ, จากที่กองหยากเยื่อนั้น.
               บทว่า อาหตฺวา แปลว่า เก็บมาแล้ว.
               บทว่า ตโต แปลว่า จากท่อนผ้าเศษที่นำมาแล้วเช่นนั้น.
               จริงอยู่ คำนี้เป็นปัญจมีวิภัตติ ใช้ลงในเหตุ.
               บทว่า ลูขํ ได้แก่ เศร้าหมอง ด้วยความเศร้าหมองในการตัด และด้วยความเศร้าหมองในการย้อมเป็นต้น คือมีสีไม่สะอาด และถูกจับต้องแล้ว.
               บทว่า ธาเรยฺย ความว่า ท่านกล่าวว่าเป็นผู้สันโดษในจีวร เพราะพึงบริหารด้วยอำนาจการนุ่งห่มเป็นต้น.
               บทว่า นีจํ มนํ กริตฺวาน ความว่า อนุสรณ์ถึงโอวาทของพระสุคตเจ้าเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นที่สุดแห่งชีวิต ดังนี้ แล้วทำจิตให้ร่าเริงในการทำลายมานะ.
               บทว่า สปทานํ ได้แก่ เว้นจากการเกี่ยวข้องในเรือนทั้งหลาย. อธิบายว่า ตามเรือน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า กุลา กุลํ ดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า กุลา กุลํ ได้แก่ จากตระกูลสู่ตระกูล. อธิบายว่า ตามลำดับตระกูล คือตามลำดับเรือน.
               บทว่า ปิณฺฑิกาย ความว่า ท่านกล่าวความสันโดษในบิณฑบาตด้วยภิกษาที่เจือปนกันนี้.
               บทว่า คุตฺตทฺวาโร ได้แก่ คุ้มครองจักษุทวารเป็นต้นดีแล้ว.
               บทว่า สุสํวุโต ได้แก่ สำรวมแล้วด้วยดี เพราะไม่มีความคะนองมือเป็นต้น.
               อปิศัพท์ ในคำว่า ลูเขนปิ วา นี้เป็นสมุจจยัตถะ. วา ศัพท์เป็นวิกัปปัตถะ.
               ความว่า พึงยินดีโดยชอบสม่ำเสมอในความสันโดษ ด้วยปัจจัยตามมีตามได้ ที่ได้มาโดยง่าย ไม่เลือกว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้ทั้งสองอย่างคือ ทั้งเศร้าหมอง ทั้งเป็นของน้อย ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นาญฺญํ ปตฺเถ รสํ พหุํ ดังนี้.
               บทว่า นาญฺญํ ปตฺเถ รสํ พหุํ ความว่า ไม่พึงปรารถนา คือพึงละบิณฑบาตที่มากและประณีต อันมีรสอร่อยเป็นต้นอย่างอื่น จากที่ตนได้แล้วเสีย ด้วยบทนี้ ท่านย่อมแสดงถึงความสันโดษ แม้ในคิลานปัจจัยด้วย.
               ก็ท่านเมื่อจะกล่าวถึงเหตุ เพื่อห้ามความติดใจในรสทั้งหลาย จึงกล่าวว่า ใจของบุคคลผู้ติดในรสอาหาร ย่อมไม่ยินดีในฌาน ดังนี้เป็นต้น.
               อธิบายว่า บุคคลผู้ไม่ทำอินทรีย์สังวรให้บริบูรณ์ จะทำจิตให้สงบจากความฟุ้งซ่านได้ แต่ที่ไหนเล่า.
               พระเถระ ครั้นแสดงถึงข้อปฏิบัติในการขัดเกลา ในเพราะปัจจัยทั้ง ๔ อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงถึงกถาวัตถุที่เหลือทั้งหลาย จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า อปฺปิจฺโฉ เจว ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปิจฺโฉ ได้แก่ ไม่มีความปรารถนา คือเว้นจากความปรารถนาในปัจจัย ๔. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวถึงการข่มตัณหาที่จะเกิดขึ้น ในเพราะปัจจัยทั้ง ๔ อย่าง.
               บทว่า สนฺตุฏฺโฐ ได้แก่ ความสันโดษด้วยความยินดีปัจจัย ๔ ตามที่ได้มา.
                                   ก็บุคคลใด ไม่พึงเศร้าโศกถึงเรื่องที่แล้วมา ไม่พึง
                         คิดถึงเรื่องที่ยังไม่มาถึง แต่พึงยังอัตภาพให้เป็นไป ด้วย
                         เหตุในปัจจุบัน บุคคลนั้นท่านเรียกว่า เป็นผู้สันโดษแล.

               บทว่า ปวิวิตฺโต ได้แก่ ละจากความคลุกคลีด้วยหมู่คณะแล้ว ปลีกกายเข้าไปหาความสงัดสงบ.
               จริงอยู่ ในเรื่องความสงัดทางจิตเป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวข้างหน้า.
               บทว่า วเส ความว่า พึงประกอบในที่ทั้งปวง.
               ชื่อว่ามุนิ เพราะประกอบพร้อมด้วยโมไนยธรรม.
               บทว่า อสํสฏฺโฐ ได้แก่ ไม่คลุกคลี เพราะไม่มีความคลุกคลีทางการเห็น การฟัง การเจรจา การสมโภคและทางกาย คือเว้นจากความคลุกคลีตามที่กล่าวไว้แล้ว.
               บทว่า อุภยํ ได้แก่ ไม่คลุกคลีด้วยชนทั้งสองพวก คือด้วยคฤหัสถ์และด้วยบรรพชิต.
               จริงอยู่ คำนี้เป็นปฐมาวิภัตติ ใช้ลงในเหตุ.
               บทว่า อตฺตานํ ทสฺสเย ตถา ความว่า ถึงจะไม่เป็นบ้าเป็นใบ้ แต่ก็พึงแสดงตนเหมือนดังคนบ้าหรือคนใบ้.
               ด้วยบทนั้น ท่านกล่าวถึงการละความอวดดีเสีย.
               บทว่า ชโฬว มูโค วา นี้ ท่านทำเป็นรัสสะ เพื่อสะดวกแก่รูปคาถา และ วาศัพท์เป็นสมุจจยัตถะ.
               บทว่า นาติเวลํ สมฺภาเสยฺย ความว่า ไม่ควรพูดเกินเวลา คือพูดเกินประมาณ ได้แก่ พึงเป็นผู้พูดแต่พอประมาณ.
               บทว่า สงฺฆมชฺฌมฺหิ ได้แก่ ในหมู่ภิกษุสงฆ์ หรือในประชุมชน.
               บทว่า น โส อุปวเท กญฺจิ ความว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติตามที่กล่าวแล้วนั้น ไม่ควรเข้าไปกล่าวว่าใครๆ ที่ต่ำ ที่ปานกลาง หรือที่สูงสุด.
               บทว่า อุปฆาตํ วิวชฺชเย ความว่า ควรละเว้นการเข้าไปกระทบกระทั่ง คือการเบียดเบียนทางกายเสีย.
               บทว่า สํวุโต ปาฏิโมกฺขสฺมึ ความว่า พึงเป็นผู้สำรวมในพระปาติโมกข์ คือในพระปาติโมกขสังวรศีล ได้แก่พึงเป็นผู้ปกป้องกายวาจาด้วยความสำรวมในพระปาติโมกข์.
               บทว่า มตฺตญฺญู จสฺส โภชเน ความว่า พึงเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ในเพราะการแสวงหา การรับ การบริโภค และการเสียสละ.
               บทว่า สุคฺคหีตนิมิตฺตสฺส ความว่า เมื่อจะกำหนดอาการของจิตนั้นว่า เมื่อเราทำไว้ในใจอย่างนี้ จิตได้เป็นสมาธิตั้งมั่นแล้ว ดังนี้ พึงเป็นผู้มีนิมิตอันจิตถือเอาแล้วด้วยดีเป็นสมาธิ.
               บาลีว่า สุคฺคหีตนิมิตฺโต โส ดังนี้ก็มี.
               คำว่า โส นั้น โยค คำว่า โยคี แปลว่า พระโยคีนั้น.
               บทว่า จิตฺตสฺสุปฺปาทโกวิโท ความว่า พึงเป็นผู้ฉลาดในเหตุที่เกิดขึ้นกับจิต ทั้งที่หดหู่และฟุ้งซ่านว่า เมื่อเจริญภาวนาอยู่ จิตมีความหดหู่อย่างนี้ มีความฟุ้งซ่านอย่างนี้ ดังนี้.
               จริงอยู่ เมื่อจิตหดหู่ พึงเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์และปีติสัมโพชฌงค์เถิด. เมื่อจิตฟุ้งซ่าน พึงเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์และอุเบกขาสัมโพชฌงค์เถิด. ส่วนสติสัมโพชฌงค์ พึงปรารถนาทุกเมื่อเถิด.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ ในสมัยที่จิตหดหู่เถิด ดังนี้เป็นต้น.
               บทว่า สมถํ อนุยุญฺเชยฺย ความว่า พึงเจริญสมถภาวนา คือพึงทำสมาธิที่ยังไม่เกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น ได้แก่พึงเจริญ คือพึงพอกพูนสมาธิที่เกิดขึ้นแล้วจนให้ถึงความชำนิชำนาญเถิด.
               บทว่า กาเลน จ วิปสฺสนํ ความว่า ไม่พึงทำสมาธิตามที่ตนได้แล้ว ให้เสื่อมไปหรือให้คงอยู่ ด้วยการไม่ครอบงำความชอบใจเสีย แต่พึงทำให้อยู่ในส่วนแห่งธรรมเครื่องตรัสรู้ และพึงประกอบซึ่งวิปัสสนาตามกาลอันสมควรเนืองๆ เถิด.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า กาเลน จ วิปสฺสนํ ความว่า เมื่อประกอบสมถะ ไม่พึงถึงความรังเกียจในกาลที่จิตนั้นมีความตั้งมั่น แต่พึงประกอบวิปัสสนาเนืองๆ เพื่อบรรลุอริยมรรคเป็นต้นเถิด.
               สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า :-
                         อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุถึงแล้วซึ่งความคุ้นเคย
                         ด้วยการได้สมาธิหรือด้วยการอยู่อย่างสงัด
                         ไม่ได้บรรลุความสิ้นไปแห่งอาสวะได้ ดังนี้.

               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า วีริยสาตจฺจสมฺปนฺโน ดังนี้.
               ความเป็นไปติดต่อ ชื่อว่าสาตัจจะ ผู้ถึงพร้อมแล้วคือประกอบพร้อมแล้วด้วยความเพียรที่เป็นไปติดต่อ คือความเพียรที่เป็นไปแล้วติดต่อกัน
               อธิบายว่า ความเพียรที่คอยประคับประคองจิตอยู่เป็นนิตย์.
               บทว่า ยุตฺตโยโค สทา สิยา ความว่า พึงเป็นผู้ประกอบภาวนาตลอดกาลทุกเมื่อเถิด.
               บทว่า ทุกฺขนฺตํ ความว่า ยังไม่ถึงที่สุดแห่งวัฏทุกข์ คือนิโรธ นิพพานอันเป็นที่สุดแล้ว ไม่พึงถึงคือไม่พึงถึง ความวางใจ, หรือไม่พึงวางใจว่า เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ได้ฌาน ได้อภิญญา ให้วิปัสสนาถึงที่สุด หยุดอยู่ดังนี้เลย.
               บทว่า เอวํ วิหรมานสฺส ความว่า เป็นอยู่ด้วยอาการอย่างนี้ คือด้วยวิธีอันถึงที่สุด เพราะตนมีความเพียร ประกอบด้วยอำนาจวิปัสสนามีการเสพเสนาสนะอันสงัดเป็นต้น.
               บทว่า สุทฺธกามสฺส ได้แก่ ของภิกษุผู้ปรารถนาความบริสุทธิ์แห่งญาณทัสสนะ ความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง พระนิพพาน และพระอรหัต.
               อธิบายว่า อาสวะทั้งหมดมีกามาสวะเป็นต้นของภิกษุผู้เห็นภัยในสงสาร ย่อมสิ้นไปคือย่อมถึงความสิ้นไป คือความตั้งอยู่ไม่ได้, ย่อมถึงคือย่อมบรรลุพระนิพพาน แม้ทั้งสองอย่างคือ สอุปาทิเสสนิพพานและอนุปาทิเสสนิพพาน ด้วยการถึงความสิ้นไปแห่งอาสวะเหล่านั้นนั่นแล.
               พระเถระ เมื่อจะแสดงว่าตนมีข้อปฏิบัติอย่างนั้นด้วยการแสดงการให้โอวาทแก่ภิกษุนั้นอย่างนี้ จึงได้พยากรณ์ความเป็นพระอรหัตไว้แล้ว.

               จบอรรถกถาอุปเสนวังคันตปุตตเถรคาถาที่ ๖               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทสกนิบาต ๖. อุปเสนวังคันตปุตตเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 374อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 375อ่านอรรถกถา 26 / 376อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=7039&Z=7058
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=5162
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=5162
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :