ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 377อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 378อ่านอรรถกถา 26 / 379อ่านอรรถกถา 26 / 474
อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทวาทสกนิบาต
๑. สีลวเถรคาถา

               อรรถกถาเถรคาถา ทวาทสกนิบาต               
               อรรถกถาสีลวเถรคาถาที่ ๑               
               ในทวาทสกนิบาต คาถาของท่านพระสีลวเถระ มีคำเริ่มต้นว่า สีลเมว ดังนี้.
               เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
               พระเถระแม้นี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานในภพนั้นๆ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นโอรสของพระเจ้าพิมพิสารในกรุงราชคฤห์ ได้เป็นผู้มีพระนามว่าสีลวะ.
               ครั้นเธอเจริญวัยแล้ว พระเจ้าอชาตศัตรูประสงค์จะฆ่าเธอ จึงยกขึ้นสู่ช้างตัวซับมันดุร้าย แม้พยายามอยู่ด้วยอุบายต่างๆ ก็ไม่สามารถจะให้ตายได้ เพราะท่านเกิดในปัจฉิมภพ ไม่มีอันตรายต่อชีวิตในระหว่างยังไม่บรรลุพระอรหัต.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นความเป็นไปของเธอ จึงตรัสสั่งพระมหาโมคคัลลานเถระว่า เธอจงนำสีลวกุมารมา. พระเถระได้นำเธอมาพร้อมด้วยช้างด้วยกำลังแห่งฤทธิ์.
               กุมารลงจากช้างถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม อันสมควรแก่อัธยาศัยของเธอ. เธอฟังธรรมแล้วได้ศรัทธา บรรพชาบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต อยู่ในโกศลรัฐ.
               ลำดับนั้น พระเจ้าอชาตศัตรูทรงสั่งบังคับบุรุษทั้งหลายว่า พวกท่านจงฆ่า. ราชบุรุษเหล่านั้นไปยังสำนักของพระเถระยืนอยู่แล้ว ฟังธรรมกถาที่พระเถระแสดง เกิดความสังเวชมีจิตเลื่อมใสบวชแล้ว.
               พระเถระได้แสดงธรรมแก่บรรพชิตเหล่านั้นด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า

                                   ท่านทั้งหลายพึงศึกษาศีลในศาสนานี้ ด้วยว่าศีลอัน
                         บุคคลศึกษาดีแล้ว สั่งสมดีแล้ว ย่อมนำสมบัติทั้งปวงมาให้
                         ในโลกนี้ นักปราชญ์เมื่อปรารถนาความสุข ๓ ประการคือ
                         ความสรรเสริญ ๑ การได้ความปลื้มใจ ๑ ความบันเทิงใน
                         สวรรค์เมื่อละไปแล้ว ๑ พึงรักษาศีล ด้วยว่าผู้มีศีล มีความ
                         สำรวม ย่อมได้มิตรมาก
                                   ส่วนผู้ทุศีลประพฤติแต่กรรมอันลามก ย่อมแตกจาก
                         มิตร นรชนผู้ทุศีล ย่อมได้รับการติเตียนและการเสียชื่อเสียง
                         ส่วนผู้มีศีล ย่อมได้รับการสรรเสริญและชื่อเสียงทุกเมื่อ
                                   ศีลเป็นเบื้องต้น เป็นที่ตั้ง เป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดี
                         ทั้งหลาย และเป็นประธานแห่งธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้น พึง
                         ชำระศีลให้บริสุทธิ์ สังวรศีลเป็นเครื่องกั้นความทุจริต ทำจิต
                         ให้ร่าเริง เป็นท่าที่หยั่งลงมหาสมุทร คือนิพพานของพระพุทธ
                         เจ้าทั้งปวง เพราะฉะนั้น พึงชำระศีลให้บริสุทธิ์
                                   ศีลเป็นกำลังหาที่เปรียบมิได้ เป็นอาวุธอย่างสูงสุด เป็น
                         อาภรณ์อันประเสริฐ เป็นเกราะอันน่าอัศจรรย์ ศีลเป็นสะพาน
                         เป็นมหาอำนาจ เป็นกลิ่นหอมอย่างยอดเยี่ยม เป็นเครื่องลูบไล้
                         อันประเสริฐ บุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยศีลย่อมหอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ
                         ศีลเป็นเสบียงอันเลิศ เป็นเสบียงเดินทางชั้นเยี่ยม เป็นพาหนะ
                         อันประเสริฐยิ่งนัก เป็นเครื่องหอมฟุ้งไปทั่วทิศานุทิศ
                                   คนพาลผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นในศีล ย่อมได้รับการนินทาใน
                         เวลาที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้วย่อมได้รับทุกข์โทมนัส
                         ในอบายภูมิ ย่อมได้รับทุกข์โทมนัสในที่ทั่วไป
                                   ธีรชนผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยดีในศีล ย่อมได้รับการสรรเสริญ
                         ในเวลาที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ครั้นตายไปแล้ว ก็ได้รับความสุข
                         โสมนัสในสวรรค์ ย่อมรื่นเริงในที่ทุกสถานในโลกนี้
                                   ศีลเท่านั้นเป็นยอด และผู้มีปัญญาเป็นผู้สูงสุดในโลกนี้
                         ความชนะในมนุษยโลกและเทวโลก ย่อมมีได้เพราะศีลและ
                         ปัญญา.

               บทว่า อิธ ในบทว่า สีลเมวิธ สิกฺเขถ, อสฺมึ โลเก นี้ ในคาถานั้นเป็นเพียงนิบาต.
               กุลบุตรผู้ใคร่ต่อประโยชน์ในสัตวโลกนี้ พึงศึกษาเฉพาะศีลในเบื้องต้น ต่างด้วยจาริตศีลและวาริตศีลเป็นต้น และเมื่อจะศึกษาศีลนั้นให้เป็นอันศึกษาแล้วด้วยดี พึงศึกษากระทำให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ด้วยดี โดยให้ถึงภาวะที่ศีลไม่ขาดเป็นต้น.
               บทว่า อสฺมึ โลเก ความว่า ในเบื้องต้นพึงศึกษาศีล ในธรรมที่ควรศึกษาในสังขารโลกนี้.
               ท่านกล่าวว่า สีลํ หิ เป็นต้น เพราะความที่ศีลเป็นที่ตั้งมั่นแม้แห่งทิฏฐิสมบัติ.
               ศัพท์ว่า หิ ในคาถานั้น เป็นตติยาวิภัตติ. เพราะศีลอันบุคคลเสพแล้ว อบรมแล้ว รักษาแล้ว ย่อมน้อมนำมาซึ่งสมบัติทั้งปวงคือ มนุษยสมบัติ ทิพยสมบัติ นิพพานสมบัติแก่สัตว์ผู้พร้อมด้วยศีลนั้น.
               เมื่อจะแสดงข้อความที่ท่านกล่าวไว้โดยสังเขปว่า ศีลย่อมน้อมนำสมบัติทั้งปวงมาให้โดยพิสดาร จึงกล่าวคำมีอาทิว่า สีลํ รกฺเขยฺย.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รกฺเขยฺย แปลว่า พึงรักษา.
               จริงอยู่ บุคคลเมื่องดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น และบำเพ็ญวัตรปฏิวัตรให้บริบูรณ์ ชื่อว่าย่อมรักษาศีลนั้น โดยครอบงำธรรมอันเป็นข้าศึกเสียได้.
               บทว่า เมธาวี แปลว่า ผู้มีปัญญา. บทนี้เป็นบทแสดงอุบายเครื่องรักษาศีลนั้น.
               จริงอยู่ การสมาทานศีลนั้น และการที่ศีลนั้นไม่กำเริบ ย่อมมีได้ด้วยกำลังแห่งญาณ.
               บทว่า ปตฺถยมาโน แปลว่า เมื่อปรารถนา.
               บทว่า ตโย สุเข ได้แก่ สุข ๓ อย่าง. อีกอย่างหนึ่ง เหตุแห่งความสุข ท่านประสงค์ว่าความสุข.
               บทว่า ปสํสํ แปลว่า ซึ่งเกียรติ, หรืออันวิญญูชนสรรเสริญ.
               บทว่า วิตฺติลาภํ แปลว่า ได้ความยินดี. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า วิตฺตลาภํ ได้ความปลื้มใจ. อธิบายว่า ได้ทรัพย์.
               จริงอยู่ ผู้มีศีลย่อมประสบกองโภคะใหญ่ เพราะเป็นผู้ไม่ประมาท.
               บทว่า เปจฺจ ได้แก่ ทำกาละแล้ว.
               บทว่า สคฺเค ปโมทนํ เชื่อมความว่า ปรารถนาการบันเทิงด้วยกามคุณที่ชอบใจในเทวโลก.
               มีวาจาประกอบความว่า เมื่อปรารถนาความสรรเสริญ คือได้ความปลื้มใจในโลกนี้ และความบันเทิงด้วยทิพยสมบัติในโลกหน้า พึงรักษาศีล.
               บทว่า สญฺญเมน ได้แก่ การสำรวมกายเป็นต้น.
               จริงอยู่ เมื่อสำรวม ไม่เบียดเบียนใครๆ ด้วยกายทุจริตเป็นต้น ให้อภัยทาน ชื่อว่าย่อมผูกมิตรไว้ได้ เพราะเป็นที่รักและเป็นที่พอใจ.
               บทว่า ธํสเต แปลว่า ย่อมกำจัด.
               บทว่า ปาปมาจรํ ได้แก่ กระทำบาปกรรม มีปาณาติบาตเป็นต้น.
               จริงอยู่ สัตว์ทั้งหลายผู้ใคร่ต่อประโยชน์ ย่อมไม่คบบุคคลผู้ทุศีล โดยที่แท้ย่อมเว้นขาด.
               บทว่า อวณฺณํ แปลว่า ซึ่งโทษมิใช่คุณ, หรือการครหาต่อหน้า.
               บทว่า อกิตฺตึ ได้แก่ โทษมิใช่ยศ คือไม่มีชื่อเสียง.
               บทว่า วณฺณํ แปลว่า คุณ.
               บทว่า กิตฺตึ ได้แก่ ชื่อเสียง ความเป็นผู้ปรารถนายศ.
               บทว่า ปสํสํ ได้แก่ ความชมเชยต่อหน้า.
               บทว่า อาทิ แปลว่า เป็นมูล.
               จริงอยู่ ศีลเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลธรรม. อย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุเธอจงชำระศีลอันเป็นเบื้องต้นเท่านั้น ให้หมดจดในกุศลธรรม. ก็อะไรเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลธรรม ก็ศีลที่บริสุทธิ์ด้วยดีเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลธรรม.
               บทว่า ปติฏฺฐา ได้แก่ ตั้งมั่น.
               จริงอยู่ ศีลเป็นที่ตั้งแห่งอุตริมนุสธรรมทั้งหมด. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตั้งอยู่ในศีลเป็นต้น.
               บทว่า กลฺยาณญฺจ มาตุกํ ความว่า เป็นบ่อเกิด คือให้กำเนิดแห่งกัลยาณธรรมมีสมถะและวิปัสสนาเป็นต้น.
               บทว่า ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ได้แก่ เป็นประมุข คือเป็นประธาน.
               อธิบายว่า เป็นทวารแห่งความเป็นไปแห่งธรรมอันหาโทษมิได้ทั้งหมด มีปราโมทย์เป็นต้น.
               บทว่า ตสฺมา แปลว่า โดยความเป็นเบื้องต้นเป็นต้น.
               บทว่า วิโสธเย ได้แก่ พึงให้สำเร็จ โดยความเป็นศีลไม่ขาดเป็นต้น.
               บทว่า เวลา ได้แก่ เป็นแดน.
               อธิบายว่า เป็นเขต เพราะอรรถว่าไม่ก้าวล่วงจากทุจริต หรือว่าชื่อว่า เวลา เพราะทำความเป็นผู้ทุศีลให้ล่วงเลยไป คือกำจัดความเป็นผู้ทุศีล, ศีลชื่อว่าสังวร เพราะปิดทวารแห่งการเกิดขึ้นแห่งกายทุจริตเป็นต้น.
               บทว่า อภิหาสนํ ความว่า ชื่อว่ายินดี เพราะความบันเทิงยิ่งแห่งจิต โดยความเป็นเหตุไม่ต้องเดือดร้อน.
               บทว่า ติตฺถญฺจ สพฺพพุทฺธานํ ความว่า และเป็นดุจท่าในการลอยมลทินคือกิเลส และในการหยั่งลงสู่มหาสมุทรคือพระนิพพาน แห่งพระพุทธเจ้าทั้งปวง คือพระสาวกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
               บทว่า สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ ได้แก่ เป็นกำลัง และเป็นเรี่ยวแรงแห่งจอมทัพอันไม่มีผู้เสมอเหมือน ในการย่ำยีมารและเสนาแห่งมาร.
               บทว่า อาวุธมุตฺตมํ ได้แก่ เป็นเครื่องประหารอันสูงสุด ในการตัดสังกิเลสธรรม. ชื่อว่าอาภรณ์ เพราะเพิ่มความงามแก่สรีระ.
               บทว่า เสฏฺฐํ ความว่า เป็นสมบัติอันสูงสุด ตลอดกาลทั้งสิ้น. เป็นประดุจเกราะ เพราะป้องกันสัตว์มีชีวิต, อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ไม่แตกกระจาย. อธิบายว่า ไม่ทำลาย. ชื่อว่าเป็นสะพาน เพราะอรรถว่าไม่จมลงด้วยกิเลส เพราะก้าวล่วงห้วงน้ำใหญ่คืออบาย และเพราะก้าวล่วงห้วงน้ำใหญ่คือสงสาร.
               บทว่า มเหสกฺโข แปลว่า ผู้มีกำลังมาก.
               บทว่า คนฺโธ อนุตฺตโร ความว่า กลิ่นอันยอดเยี่ยม เพราะฟุ้งทวนลมไปในทิศทั้งปวง เหตุเป็นที่รื่นรมย์แห่งใจของชนทั้งปวง.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เยน วาติ ทิโสทิสํ ความว่า บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยกลิ่นคือศีลนั้น ย่อมฟุ้งไปทั่วทิศน้อยทิศใหญ่ คือสู่ทิศทั้งปวง.
               บาลีว่า ทิโสทิสา ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า สู่ทิศ ๑๐.
               บทว่า สมฺพลเมวคฺคํ ได้แก่ ข้าวห่อ ชื่อว่าเสบียง.
               บุรุษถือเอาข้าวห่อเดินทางไป ไม่ลำบากด้วยความทุกข์เพราะความหิวในระหว่างทางฉันใด แม้ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลก็ฉันนั้น ถือเอาเสบียงคือศีลอันบริสุทธิ์ดำเนินสู่ทางกันดารคือสงสาร ย่อมไม่ลำบากในที่ๆ ไปแล้วๆ เพราะเหตุนั้น ศีลจึงชื่อว่าเป็นเสบียงอันเลิศ.
               อนึ่ง ศีลชื่อว่าเป็นเสบียงเดินทางอันยอดเยี่ยม เพราะไม่ทั่วไปกับโจรเป็นต้น และเพราะให้สำเร็จสมบัติที่ปรารถนาในที่นั้นๆ เมื่อก้าวล่วงไป ชื่อว่านำไปให้ถึงที่นั้นๆ หรือที่ตามที่ปรารถนา.
               ชื่อว่า อติวาหะ นำไปยิ่ง, ได้แก่ ยานพาหนะ.
               ศีลเป็นธรรมชาติอันใครๆ ประทุษร้ายไม่ได้ เป็นคุณชาติประเสริฐ เป็นพาหนะอันประเสริฐยิ่ง เพราะเหตุให้ถึงฐานะที่ปรารถนาได้.
               บทว่า เยน ได้แก่ ด้วยพาหนะอันประเสริฐยิ่งนัก.
               บทว่า ยาติ ทิโสทิสํ ความว่า ย่อมฟุ้งนำทั้งผู้มาทั้งผู้ไปสู่ทิศนั้นๆ โดยสะดวกทีเดียว.
               บทว่า อิเธว นินฺทํ ลภติ ความว่า คนมีปัญญาทรามแม้ในโลกนี้ เป็นผู้มีจิตอันกิเลสมีราคะเป็นต้นประทุษร้ายแล้ว ย่อมได้รับความนินทาครหาว่า ผู้นี้เป็นคนทุศีล เป็นคนมีธรรมอันลามก. ละไปแล้วแม้ในปรโลก ย่อมได้รับความนินทาจากยมบุรุษเป็นต้นในอบาย โดยนัยมีอาทิว่า เป็นชาติคนกาลี เป็นอวชาต ดังนี้. ย่อมได้รับแต่ความนินทาอย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ โดยที่แท้ เขาชื่อว่าเป็นคนพาลมีใจชั่วในที่ทุกสถาน คือเป็นผู้มีจิตอันประพฤติชั่วในโลกนี้ ประทุษร้ายแล้ว เพราะให้เกิดทุกข์ด้วยอำนาจเหตุแห่งกรรมเป็นต้น เพราะเหตุนั้น เขาจึงเป็นผู้ชื่อว่า เป็นคนพาล เป็นผู้โทมนัสในที่ทุกสถาน.
               อย่างไร? เพราะเขาเป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นในศีลทั้งหลาย คือมีจิตไม่ตั้งอยู่ ไม่ประดิษฐานอยู่ในศีลทั้งหลายโดยชอบ.
               บทว่า อิเธว กิตฺตึ ลภติ ความว่า ฝ่ายผู้มีใจดีในโลกนี้ก็ย่อมได้รับเกียรติว่าเป็นสัปบุรุษ มีศีลมีกัลยาณธรรม. เขาละไปแล้วแม้ในปรโลกในสวรรค์ ย่อมได้รับเกียรติยศว่า ผู้นี้เป็นสัปบุรุษ มีศีลมีกัลยาณธรรม.
               จริงอย่างนั้น เขาย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทพทั้งหลาย, ย่อมได้รับแต่เกียรติยศอย่างเดียวเท่านั้นก็หาไม่ โดยที่แท้ เขาได้ชื่อว่าเป็นนักปราชญ์ เพียบพร้อมด้วยปัญญา มีจิตตั้งมั่นอิ่มเอิบด้วยดี ประดิษฐานอยู่ด้วยดีในศีลทั้งหลาย ชื่อว่าเป็นผู้มีใจดี คือถึงพร้อมด้วยโสมนัส เพราะการประพฤติสุจริตในโลกนี้ ในที่ทุกสถาน เพราะได้รับสมบัติในโลกหน้า.
               ศีลในบทว่า สีลเมว อิธ อคฺคํ นี้มี ๒ อย่าง คือโลกิยศีล ๑ โลกุตรศีล ๑.
               ในศีล ๒ อย่างนั้น โลกิยศีลอันดับแรก ย่อมนำคุณวิเศษอันให้เกิดในความเป็นกษัตริย์มหาศาลเป็นต้น ในกามโลก และเป็นเหตุ แห่งความเป็นบุคคลผู้ได้การอุบัติอันพิเศษ ในเทวโลกและพรหมโลกเป็นต้น. ส่วนโลกุตรศีลย่อมให้ก้าวล่วงวัฏทุกข์แม้ทั้งสิ้นเสียได้ เพราะฉะนั้น ศีลชื่อว่าเป็นยอดโดยแท้.
               สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๑-
                         บุคคลย่อมเข้าถึงความเป็นกษัตริย์ด้วยพรหมจรรย์อย่างเลว
                         ย่อมเข้าถึงความเป็นเทพด้วยพรหมจรรย์อย่างกลาง และ
                         ย่อมหมดจดด้วยพรหมจรรย์อย่างสูง ดังนี้.

               และว่า๒- ภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุพึงหวังว่า เราพึงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร และว่า ภิกษุพึงเป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลายเท่านั้น, และว่า๓- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจมั่นของผู้มีศีลย่อมสำเร็จ เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนี้.
               แต่ในภาวะที่เลิศ โลกุตรศีลละธรรมอันเป็นข้าศึกเสียได้โดยประการทั้งปวง ล่วงสังสารทุกข์เสียได้ตั้งแต่ภพที่ ๗ จึงไม่จำต้องกล่าวถึงเลย.
____________________________
๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๘/ข้อ ๕๒๖
๒- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๗๖
๓- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๒๕

               ด้วยบทว่า ปญฺญวา ปน อุตฺตโม นี้ ท่านกล่าวถึงความที่ปัญญานั่นแหละประเสริฐสุด โดยบุคลาธิษฐานว่า ก็บุคคลผู้มีปัญญาย่อมเป็นผู้สูงสุด คือประเสริฐสุดอย่างยิ่ง.
               บัดนี้ เมื่อจะแสดงภาวะที่ศีลและปัญญาประเสริฐสุดโดยกิจ ท่านจึงกล่าวว่า ชัยชนะในมนุษยโลกและเทวโลก ย่อมมีได้เพราะศีลและปัญญา.
               ก็บทว่า ชยํ นี้ พึงเห็นว่า เป็นลิงควิปลาส, บาลีที่เหลือว่า อหุ บัณฑิตพึงนำมาเชื่อมเข้า.
               ชื่อว่า ปญฺญาณํ เพราะอรรถว่ารู้ทั่ว ในคาถานั้นเป็นอันชื่อว่าชนะธรรมอันเป็นข้าศึก เพราะศีลและปัญญา.
               จริงอยู่ ปัญญาเว้นศีลเสียเกิดไม่ได้ และศีลเว้นปัญญาแล้ว ย่อมกระทำหน้าที่เอง, ก็ธรรมทั้งสองนั้นสนับสนุนซึ่งกันและกัน.
               สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า ปัญญาอันศีลชำระแล้ว ศีลอันปัญญาชำระแล้ว.
               บทว่า มนุสฺเสสุ จ เทเวสุ นี้ เป็นบทแสดงความพิเศษแห่งฐานะของศีลและปัญญานั้น. ความจริงในข้อนั้น ธรรมเหล่านั้นย่อมมีความแปลกกันเป็นไปอยู่ ก็ในข้อนั้น สมาธิย่อมเห็นด้วยศีล เพราะเป็นฐานของปัญญา หรือย่อมเห็นด้วยปัญญา เพราะทำให้เกิดและเป็นฐานของศีลเป็นต้น.
               พระเถระเมื่อแสดงธรรมโดยยกศีลขึ้นเป็นประธานแก่ภิกษุเหล่านั้น ด้วยอาการอย่างนี้ จึงพยากรณ์พระอรหัตผลโดยแสดงถึงความที่ตนเป็นผู้มีคุณธรรมมีศีลบริสุทธิ์ด้วยดีเป็นต้น.

               จบอรรถกถาสีลวเถรคาถาที่ ๑               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา ทวาทสกนิบาต ๑. สีลวเถรคาถา จบ.
อ่านอรรถกถา 26 / 1อ่านอรรถกถา 26 / 377อรรถกถา เล่มที่ 26 ข้อ 378อ่านอรรถกถา 26 / 379อ่านอรรถกถา 26 / 474
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=26&A=7120&Z=7147
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=33&A=5543
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=33&A=5543
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๒๓  มกราคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :