บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เรื่องนั้นมีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร? พระเถระแม้นี้ได้กระทำบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าในปางก่อน สั่งสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานในภพนั้นๆ ท่องเที่ยวไปในเทวโลกและมนุษยโลก ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในตระกูลแห่งพ่อค้าเกวียน ในกรุงสาวัตถี โดยชื่อว่าโคทัตตะ เจริญวัยแล้ว เมื่อบิดาตายแล้ว รวบรวมทรัพย์เอาเกวียน ๕๐๐ เล่มบรรทุกสินค้า ท่องเที่ยวไปๆ มาๆ เลี้ยงชีพด้วยการค้าขาย กระทำบุญตามกำลังสมบัติ. วันหนึ่ง เมื่อโคที่เทียมที่แอกในระหว่างทาง ไม่สามารถลากไปได้ เมื่อพวกมนุษย์ไม่สามารถจะให้โคนั้นออกไปได้ ท่านจึงไปเอง แทงโคนั้นที่หางให้มั่น โคคิดว่า ผู้นี้เป็นอสัปบุรุษ ไม่รู้กำลังอันสมควรแก่กำลังของเรา จึงแทงอย่างหนัก ดังนี้จึงโกรธ ใช้ภาษามนุษย์ด่าโดยสมควรแก่ความปรารถนาว่า ดูก่อนโคทัตตะผู้เจริญ เราไม่ออมกำลังของตนตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ นำภาระของท่านไป แต่วันนี้ท่านเบียดเบียนเราอย่างรุนแรง โดยภาวะที่เราไม่สามารถ เอาเถิด เราจุติจากอัตภาพนี้แล้ว พึงเป็นศัตรูสามารถเบียดเบียนท่านในที่เกิดแล้วๆ. โคทัตตะได้ฟังดังนั้นคิดว่า จะประโยชน์อะไรด้วยการเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย แล้วเป็นอยู่นี้ ด้วยอาการอย่างนี้ เกิดความสังเวช ละสมบัติทั้งหมด บวชในสำนักของพระมหาเถระรูปหนึ่ง บำเพ็ญวิปัสสนากรรม ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต ยับยั้งอยู่ด้วยสุขอันเกิดแต่สมาบัติ. วันหนึ่งจึงปรารภโลกธรรมของหมู่พระอริยะผู้เป็นคฤหัสถ์และบรรพชิต ผู้มายังสำนักตน เมื่อจะแสดงธรรม จึงได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า โคอาชาไนยที่ดี อันเขาเทียมแล้วที่แอกเกวียนไปได้ ไม่ย่อท้อต่อภาระอันหนัก ไม่ทอดทิ้งเกวียนอันเขาเทียม แล้วแม้ฉันใด บุคคลเหล่าใดบริบูรณ์ด้วยปัญญา เหมือน มหาสมุทรอันเต็มด้วยน้ำ บุคคลเหล่านั้นย่อมไม่ดูหมิ่น ผู้อื่นฉันนั้น ย่อมเป็นดังอริยธรรมของสัตว์ทั้งหลาย นรชนผู้ตกอยู่ในอำนาจของเวลา ตกอยู่ในอำนาจ ของภพน้อยภพใหญ่ ย่อมเข้าถึงความทุกข์และต้องเศร้าโศก คนพาลไม่พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง ย่อมเดือดร้อน ด้วยเหตุ ๒ อย่าง คือมีใจฟูขึ้นเพราะเหตุแห่งสุข ๑ มีใจฟุบ ลง เพราะเหตุแห่งทุกข์ ๑ ชนเหล่าใด ก้าวล่วงตัณหาเครื่องร้อยรัดในทุกขเวทนา ในสุขเวทนาและในอทุกขมสุขเวทนา ชนเหล่านั้นเป็นผู้ตั้ง มั่น ไม่หวั่นไหวเหมือนเสาเขื่อน เป็นผู้ไม่ฟูขึ้นและฟุบลง ชนเหล่านั้นย่อมไม่ติดอยู่ในลาภ ความเสื่อมลาภ ในยศ การเสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุขและทุกข์ทั้งหมด ดังหยาดน้ำไม่ติดอยู่บนใบบัวฉะนั้น นักปราชญ์ทั้งหลายมีความสุข และได้ชัยชนะในที่ทุก แห่งไป การไม่ได้ลาภโดยชอบธรรมกับการได้ลาภโดยไม่ชอบ ธรรม ทั้งสองอย่างนี้ การไม่ได้ลาภอันชอบธรรมประเสริฐกว่า การได้ลาภอันไม่ชอบธรรมจะประเสริฐอะไร คนไม่มีความรู้ มียศ กับคนมีความรู้ แต่ไม่มียศ คนมี ความรู้ไม่มียศประเสริฐกว่า คนไม่มีความรู้มียศจะประเสริฐ อะไร การสรรเสริญจากคนพาลกับการติเตียนจากนักปราชญ์ การติเตียนจากนักปราชญ์ประเสริฐกว่า การสรรเสริญจากคน พาลจะประเสริฐอะไร ความสุขอันเกิดจากกามคุณ กับความทุกข์อันเกิดจาก วิเวก ความทุกข์อันเกิดจากวิเวกประเสริฐกว่า ความสุขอันเกิด จากกามคุณจะประเสริฐอะไร ความเป็นอยู่โดยไม่ชอบธรรมกับความตายโดยธรรม ความตายโดยธรรมประเสริฐกว่า ความเป็นอยู่โดยไม่ชอบธรรม จะประเสริฐอะไร ชนเหล่าใดละกามและความโกรธได้แล้ว มีจิตสงบระงับ เที่ยวไปในภพน้อยภพใหญ่ ไม่ติดอยู่ในโลก ชนเหล่านั้นไม่มี ความรักความชัง บุคคลเจริญโพชฌงค์ ๗ อินทรีย์ ๕ และพละ ๕ แล้วบรรลุถึงความสงบอันยอดเยี่ยม หาอาสวะมิได้ ย่อมปรินิพพาน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาชญฺโญ ได้แก่ โคผู้อาชาไนย. บทว่า ธุเร ยุตฺโต ได้แก่ เทียมไว้ในแอกแห่งเกวียน. บทว่า ธุรสฺสโห แปลว่า ผู้นำแอกไป ก็ในที่นี้เพื่อสะดวกแก่คาถา ท่านกระทำนิเทศโดยซ้อน ส อักษร อธิบายว่า สามารถเพื่อจะนำแอกเกวียนไป. บทว่า มถิโต อติภาเรน ความว่า ถูกเบียดเบียนด้วยภาระอันยิ่ง คือด้วยภาระอันหนัก. บาลีว่า มทฺทิโต ดังนี้ก็มี ความก็อย่างนั้น. บทว่า สํยุคํ ความว่า แอกที่เขาเทียมไว้ที่คอของตนไม่ว่างเลยคือไม่ปลงลงเลย. โคใดยกขึ้นให้ดี ไม่ทอดทิ้งแอกยืนอยู่. บทว่า เอวํ ความว่า โคนั้นนำแอกไปไม่ทอดทิ้ง คือไม่สละภาระของตน เพราะตนเป็นโคอาชาไนยที่ดี และเพราะตนเป็นนักปราชญ์ผู้แกล้วกล้าฉันใด ชนเหล่าใดทรงไว้ บริบูรณ์ด้วยปัญญา ทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตระ เหมือนมหาสมุทรบริบูรณ์ด้วยน้ำฉันนั้น ชนเหล่านั้นย่อมไม่ดูหมิ่น คือย่อมไม่ข่มขู่ผู้มีปัญญาทราม ท่านกล่าวเหตุในข้อนั้นไว้ด้วย. บทว่า อริยธมฺโมว ปาณินํ ความว่า ธรรมของพระอริยะทั้งหลายนี้ของสัตว์ทั้งหลาย คือในสัตว์ทั้งหลาย ก็คือความไม่ดูหมิ่นคนเหล่าอื่นด้วยความไม่มีลาภเป็นต้น ด้วยการยกตนด้วยลาภเป็นต้น เพราะถึงความบริบูรณ์ด้วยปัญญาของพระอริยะเหล่านั้น. เพื่อจะแสดงการอยู่เป็นสุขของพระอริยะทั้งหลาย ด้วยความบริบูรณ์ ด้วยปัญญาอย่างนี้ แล้วจึงแสดงการอยู่เป็นทุกข์ของบุคคลผู้ไม่ใช่พระอริยะทั้งหลาย จึงกล่าวคำมีอาทิว่า กาเล ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเล ความว่า ในกาลมีความพรั่งพร้อม ด้วยการมีลาภและการเสื่อมลาภเป็นต้น. บทว่า กาลวสํ ปตฺตา ความว่า เข้าถึงอำนาจแห่งกาลมีลาภเป็นต้น. อธิบายว่า เกิดโสมนัสด้วยลาภเป็นต้น และเกิดโทมนัสด้วยการเสื่อมลาภเป็นต้น. บทว่า ภวาภววสํ คตา ความว่า คนเหล่านั้นเข้าถึงอำนาจภพน้อยภพใหญ่ คือเป็นไปตามความเจริญและความเสื่อม. บทว่า นรา ทุกฺขํ นิคจฺฉนฺติ เตธ โสจนฺติ มาณวา ความว่า คนเหล่านั้นคือสัตว์ผู้ได้นามว่ามาณวา ถึงความยินดีและความยินร้ายด้วยอำนาจมีลาภและเสื่อมลาภ คือด้วยอำนาจความเจริญและความเสื่อม ย่อมเศร้าโศกในโลกนี้ และย่อมถึงคือย่อมประสบทุกข์มีทุกข์ในนรกเป็นต้นในโลกหน้า. แม้ด้วยบทว่า อุนฺนตา เป็นต้น ท่านแสดงเฉพาะความประสบความพินาศของสัตว์ทั้งหลายด้วยอำนาจโลกธรรม. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุนฺนตา สุขธมฺเมน ความว่า ถึงความฟูขึ้นด้วยเหตุแห่งสุข คือด้วยปัจจัยแห่งความสุข ได้แก่ด้วยโภคสมบัติเป็นต้น. อธิบายว่า เป็นผู้เมาด้วยความเมาในโภคะเป็นต้น บทว่า ทุกฺขธมฺเมน โจนตา ความว่า ถึงความเป็นผู้เสื่อม เพราะเหตุแห่งทุกข์ คือเพราะปัจจัยแห่งความทุกข์ ได้แก่เพราะความวิบัติแห่งโภคะเป็นต้น คือถึงความเป็นผู้ควรกรุณา ด้วยความเป็นคนจนเป็นต้น. บทว่า ทฺวเยน ความว่า พาลปุถุชนทั้งหลายย่อมเดือดร้อนด้วยการฟูขึ้นและการยุบลงทั้งสองอย่าง คือด้วยเหตุ ๒ อย่างมีลาภและเสื่อมลาภเป็นต้น คือถูก เพราะเหตุไร? อธิบายว่า เพราะผู้ไม่เห็นตามความเป็นจริงเหล่านั้น ไม่รู้ยิ่งสภาวะแห่งธรรมตามความเป็นจริง และเป็นผู้ไม่กำหนดรู้ขันธ์และยังละกิเลสไม่ได้. อาจารย์ บทว่า เย จ ทุกฺเข สุขสฺมิญฺจ มชฺเฌ สิพฺพินิมจฺจคู ความว่า ก็พระอริยะเหล่าใดไม่ล่วงถึง คือก้าวล่วงตัณหาเครื่องร้อยรัดอันเป็นฉันทราคะ อันเนื่องด้วยทุกขเวทนา สุขเวทนาและอุเบกขาเวทนานั้น ด้วยการบรรลุอรหัตมรรค พระอริยะเหล่านั้นดำรงอยู่ไม่หวั่นไหวด้วยโลกธรรม เหมือนเสาเขื่อนไม่หวั่นไหวด้วยลมฉะนั้น ผู้ไม่ชื่อว่าไม่ฟูไม่ยุบ แม้ในบางคราวไม่ฟูหรือไม่ยุบ เพราะไม่มีความยินดีและความยินร้ายโดยประการทั้งปวง. ครั้นแสดงการไม่เข้าไปฉาบทาของพระอรหันต์ อันเป็นที่ตั้งแห่งเวทนาอย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะจำแนกโลกธรรม แล้วแสดงการไม่เข้าไปฉาบทาแห่งพระอรหันต์ อันมีประโยชน์ทั้งปวงนั่นแล จึงกล่าวคำมีอาทิว่า นเหว ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ลาเภ ความว่า ได้เฉพาะปัจจัยมีจีวรเป็นต้น. บทว่า อลาเภ ความว่า ไม่ได้เฉพาะ คือไม่พึงประสบปัจจัยมีจีวรเป็นต้นนั้นนั่นแล. บทว่า น ยเส ได้แก่ เสื่อมจากบริวารและไม่มีเกียรติยศ. บทว่า กิตฺติยา ความว่า ในความเป็นผู้ปรารถนาเกียรติยศในที่ลับหลัง บทว่า นินฺทาย ได้แก่ ในการครหานินทาต่อหน้า. บทว่า ปสํสายํ ได้แก่ ในการชมเชยคุณโดยซึ่งหน้า. บทว่า ทุกฺเข ได้แก่ เมื่อทุกข์เกิดขึ้น. แม้ในบทว่า สุเข นี้ก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สพฺพตฺถ ความว่า พระขีณาสพเหล่านั้นย่อมไม่ติดอยู่ในอารมณ์มีรูปเป็นต้น เพราะละกิเลสได้โดยประการทั้งปวง. เหมือนอะไร? เหมือนหยาดน้ำบนใบบัว ความว่า หยาดน้ำบนใบบัว แม้ตั้งแนบอยู่ก็ไม่ฉาบทาติดอยู่ที่ใบบัวนั้น และใบบัวย่อมติดอยู่ด้วยหยาดน้ำ ปล่อยจากกันไปโดยแท้ทีเดียวฉันใด พระขีณาสพแม้เหล่านั้นก็ฉันนั้น เป็นผู้ปล่อยวางลาภเป็นต้นที่ปรากฏ และปล่อยวางอารมณ์มีรูปเป็นต้นอันมาปรากฏเหมือนกันนั่นแล. เพราะเหตุนั้นนั่นแล นักปราชญ์คือบัณฑิต ชื่อว่าได้รับความสุขใจเพราะลาภเป็นต้น ในที่ทุกสถาน เพราะไม่มีอารมณ์อันเป็นที่รัก และทุกขธรรมมีความโศกเป็นต้นด้วยญาณมุข และย่อมเป็นผู้ไม่แพ้ในที่ทุกสถาน เพราะไม่ถูกลาภเป็นต้นครอบงำ. บัดนี้ เมื่อจะแยกแสดงความประเสริฐกว่ากันในเพราะมีลาภและเสื่อมลาภเป็นต้น จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ธมฺเมน ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺเมน อลาโภ โย ความว่า การไม่ได้นิมิตของผู้รักษาธรรมอันใด อันนั้นคือความไม่มีลาภ ได้แก่ความเสื่อมลาภ, และลาภอันใดอันไม่ประกอบด้วยธรรม เกิดขึ้นโดยอธรรมโดยไม่มีปัญญา โดยวิธีที่พระพุทธเจ้าทรงติเตียน, ใน ๒ อย่างนั้น การไม่มีลาภเป็นอาการประกอบด้วยธรรม คือนำมาซึ่งธรรมประเสริฐกว่า, เมื่อบุคคลเว้นลาภเช่นใด อกุศลธรรมย่อมเสื่อมไป กุศลธรรมย่อมเจริญ การไม่มีลาภเช่นนั้นน่าสรรเสริญ นำมาซึ่งประโยชน์. บทว่า ยญฺเจ ลาโภ อธมฺมิโก อธิบายว่า ลาภใดเกิดขึ้นโดยอธรรม ลาภนั้นไม่ประเสริฐเลย. บทว่า ยโส จ อปฺปพุทฺธีนํ วิญฺญูนํ อยโส จ โย ความว่า บุคคลได้ยศด้วยอำนาจบุคคลผู้มีความรู้น้อย คือไม่มีความรู้ และความไม่ได้ยศคือความเสื่อมยศด้วยอำนาจบุคคลมีความรู้คือบัณฑิต. บรรดาบุคคลทั้งสองพวกเหล่านี้ คนมีความรู้ ไม่มียศประเสริฐกว่า เพราะว่า บุคคลผู้มีความรู้เหล่านั้นพึงปรารถนาความไม่มียศ เพียงเพื่อให้อกุศลธรรมเสื่อม กุศลธรรมเจริญ เหมือนอย่างบุคคลผู้มีชาติสมบูรณ์ พึงละธรรมที่ไม่มีคุณนั้นแล้วตั้งอยู่ในธรรมที่มีคุณ. บทว่า นยโส อปฺปพุทฺธีนํ ความว่า ยศย่อมไม่ประเสริฐด้วยอำนาจบุคคลผู้ไม่มีความรู้ ก็บุคคลผู้ไม่มีความรู้นั้นพึงยังยศนั้นให้เกิดขึ้น แม้ด้วยอำนาจนำมาซึ่งความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วยคุณอันไม่เป็นจริง ยศนั้นย่อมนำมาซึ่งความพินาศแก่เขา ด้วยการนินทาจากวิญญูชนในโลกนี้ และด้วยความลำบากอันเกิดจากทุกข์เป็นต้นในทุคติในโลกหน้า. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ลาภ ชื่อเสียง สักการะและยศที่ได้มาโดยผิดๆ และว่า ลาภสักการะย่อมฆ่าบุรุษชั่วเสีย.๑- ____________________________ ๑- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๖๑๐ องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๖๘ บทว่า ทุมฺเมเธหิ แปลว่า ด้วยไม่มีปัญญา. บทว่า ยญฺเจ พาลปฺปสํสนา ความว่า อันคนพาลทั้งหลาย คือผู้ไม่รู้สรรเสริญ. บทว่า กามมยิกํ แปลว่า อันสำเร็จมาแต่วัตถุกาม คืออาศัยกามคุณเกิดขึ้น. บทว่า ทุกฺขญฺจ ปวิเวกิยํ ความว่า ความทุกข์ทางกายอันเกิดแต่ความสงัด คือที่เป็นไปด้วยอำนาจความลำบากกาย อันมีความเดือดร้อนในการนั่งไม่สม่ำเสมอเป็นต้นเป็นเหตุ แต่ทุกข์นั้นเป็นการสรรเสริญสำหรับวิญญูชน เพราะเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพานอันปราศจากอามิส. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปวิเวกทุกฺขํ เสยฺโย ดังนี้. บทว่า ชีวิตญฺจ อธมฺเมน ความว่า การเลี้ยงชีวิตโดยไม่ชอบธรรม คือการไม่ประพฤติธรรม เพราะเหตุแห่งชีวิตเป็นต้น. ชื่อว่าความตายโดยธรรม ได้แก่เมื่อใครๆ กล่าวว่า เราจักทำผู้นั้น ผู้ไม่กระทำบาปชื่อนี้ให้ตาย แม้เมื่อผู้นั้นตายไป ไม่กระทำบาป ไม่ยังธรรมให้กำเริบ การตายซึ่งมีธรรมเป็นเหตุ ประกอบด้วยธรรม เป็นการประเสริฐ เพราะฉะนั้น ความตาย เช่นนั้นชื่อว่า ประกอบด้วยธรรม เพราะไม่ปราศจากธรรม อันวิญญูชนสรรเสริญกว่า เพราะให้ถึงสวรรค์ และเพราะเป็นอุปนิสัยแก่พระนิพพาน. สมจริงดังคำที่ตรัสไว้ว่า๒- บุคคลพึงสละทรัพย์ เพราะเหตุแห่งอวัยวะอันประเสริฐ เมื่อจะรักษาชีวิตไว้พึงสละอวัยวะ เมื่อระลึกถึงธรรม พึง สละอวัยวะ ทรัพย์ แม้กระทั่งชีวิตทั้งหมด ดังนี้. ____________________________ ๒- ขุ. ชา. เล่ม ๒๘/ข้อ ๓๘๒ บทว่า ยญฺเจ ชีเว อธมฺมิกํ อธิบายว่า บุรุษพึงยังชีวิตอันปราศจากธรรมให้เป็นอยู่ ชีวิตนั้นชื่อว่าไม่ประเสริฐ เพราะถูกวิญญูชนติเตียนและให้ถึงอบาย. บัดนี้ เมื่อจะแสดงการไม่เข้าไปฉาบทาของพระขีณาสพตามที่กล่าวแล้วโดยเหตุ จึงกล่าวคาถามีอาทิว่า กามโกปปหีนา ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กามโกปปหีนา ความว่า ละความยินดียินร้ายได้ บทว่า สนฺตจิตฺตา ภวาภเว ความว่า ชื่อว่ามีจิตเข้าไปสงบในภพน้อยและภพใหญ่ เพราะละกิเลส บทว่า โลเก ได้แก่ ในขันธโลกเป็นต้น. บทว่า อสิตา ได้แก่ ผู้อันตัณหาไม่อาศัยแล้ว ด้วยอำนาจอาศัยตัณหาและทิฏฐิ. บทว่า นตฺถิ เตสํ ปิยาปิยํ ความว่า อารมณ์อันเป็นที่รักหรือไม่เป็นที่รัก ในที่ไหนๆ มีลาภเป็นต้นและมีรูปารมณ์เป็นต้น ย่อมไม่มีแก่พระขีณาสพทั้งหลาย. บัดนี้ครั้นแสดงประการที่ธรรมนั้น คือเห็นปานนั้น อันเป็นเหตุเกิดด้วยภาวนาแล้ว เมื่อจะถือเอายอดแห่งเทศนา ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ จึงกล่าวคาถาสุดท้ายว่า ภาวยิตฺวาน ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปปฺปุยฺย แปลว่า ถึงแล้ว. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. ก็คาถาเหล่านี้เท่านั้นได้เป็นคาถาพยากรณ์พระอรหัตผลของพระเถระ. จบอรรถกถาโคทัตตเถรคาถาที่ ๒ จบอรรถกถาเถรคาถา จุททสกนิบาต ----------------------------------------------------- ในจุททสกนิบาตนี้ พระเถระ ๒ รูปผู้มีฤทธิ์มาก คือ พระเรวตเถร ๑ พระโคทัตตเถระ ๑ ได้ภาษิตคาถารูปละ ๑๔ คาถา รวมเป็น ๒๘ คาถาฉะนี้แล. ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา จุททสกนิบาต ๒. โคทัตตเถรคาถา จบ. |