![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [๑] [๒] ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() อรรถกถากัสสปเถรคาถาที่ ๑ เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร? ได้ยินว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ พระเถระนี้ได้เป็น ในวันอุโบสถวันหนึ่ง เขาบริโภคอาหารดีแต่เช้าตรู่ อธิษฐานองค์แห่งอุโบสถ ถือเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้นไปยังวิหาร บูชาพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ก็ในขณะนั้น พระศาสดาทรงตั้งพระสาวกที่ ๓ นามว่ามหานิสภเถระ ในเอตทัคคะว่า ภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุผู้สาวกของเราผู้ถือธุดงค์นี้ นิสภะเป็นเลิศ. อุบาสกได้ฟังดังนั้นจึงเลื่อมใส ในเวลาจบธรรมกถา เมื่อมหาชนลุกไป จึงถวายบังคมพระศาสดา เชื้อเชิญว่า พรุ่งนี้ขอพระองค์จงทรงรับภิกษาของข้าพระองค์เถิด. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสกภิกษุสงฆ์มีมากแล. เขาทูลถามว่า มีเท่าไร พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่ามี ๖,๘๐๐,๐๐๐ รูป เขาทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์ทรงรับภิกษาของข้าพระองค์ อย่าเหลือไว้ในวิหารแม้สามเณรรูปเดียว. พระศาสดาทรงรับแล้ว. อุบาสกทราบว่าพระศาสดาทรงรับแล้ว จึงไปยังเรือนจัดแจงมหาทาน วันรุ่งขึ้นจึงกราบทูลกาลแด่พระศาสดา. พระศาสดาทรงถือบาตรและจีวร แวดล้อมไปด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จไป ในระหว่างนั้น พระมหานิสภเถระกำลังเที่ยวบิณฑบาต ดำเนินไปตามถนนนั้นนั่นแล. อุบาสกเห็นเข้า ลุกไปไหว้พระเถระ กล่าวว่า จงให้บาตรเถิดขอรับ. พระเถระได้ให้แล้ว. อุบาสก ลำดับนั้น เขาตามส่งพระเถระ กลับแล้วนั่งในสำนักพระศาสดา กราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระมหานิสภเถระ แม้เมื่อข้าพระองค์กล่าวว่า แม้พระศาสดาก็ประทับนั่งในเรือน ก็ไม่ปรารถนาจะเข้าไป ท่านมีคุณยิ่งกว่าคุณของพระองค์หรือ. จริงอยู่ ความตระหนี่คุณย่อมไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เพราะฉะนั้น พระศาสดาจึงตรัสอย่างนี้ว่า อุบาสก พวกเรารอภิกษาอยู่ จึงนั่งอยู่ในเรือน. ก็ภิกษุนั้นไม่นั่งเพ่งเล็งภิกษาอยู่อย่างนี้ พวกเราอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน เธออยู่ในป่าเท่านั้น พวกเราอยู่ในที่มุงบัง เธออยู่แต่ในกลางแจ้งเท่านั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า ข้อนี้และข้อนี้เป็นคุณของเธอดังนี้แล้ว จึงเป็นเสมือนยังมหาสมุทรให้เต็ม ทรงแสดงคุณของเธอ. แม้ตามปกติ อุบาสกเป็นผู้เลื่อมใสด้วยดียิ่งนัก เหมือนประทีปกำลังโพลงซึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อข้าพระองค์ถวายมหาทานตลอด ๗ วัน ข้าพระ พระศาสดาทรงตรวจดูว่า อุบาสกนี้ปรารถนาตำแหน่งใหญ่ เธอจักสำเร็จหรือไม่หนอ ทรงเห็นว่าจะสำเร็จ จึงตรัสพยากรณ์ว่า เธอปรารถนาตำแหน่งน่าชอบใจ ในอนาคตในที่สุดแห่ง ๑๐๐,๐๐๐ กัป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดม จักเสด็จอุบัติ เธอจักเป็นสาวกที่ ๓ ของพระองค์ มีนามว่าพระมหากัสสปเถระ. อุบาสกได้ฟังดังนั้นแล้วคิดว่า ขึ้นชื่อว่าถ้อยคำเป็นสองย่อม ไม่มีแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงได้สำคัญสมบัตินั้น เหมือนจะพึงได้ในวันรุ่งขึ้น. เธอถวาย จำเดิมแต่นั้นมา เธอเสวยสมบัติในเทวโลกและมนุษยโลก ใน ก็ในกาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงแสดงธรรมทุกๆ ๗ ปี ได้มี เมื่อมีการประชุมด้วยกิจอย่างใดอย่างหนึ่งของพวกพราหมณ์ พราหมณ์นั้นจึง ลำดับนั้น พราหมณ์จึงพักนางพราหมณีไว้ในเรือน ห่มผ้านั้นไปวิหาร. สมัยนั้น พระศาสดาประทับนั่งบนธรรมาสน์ที่เขาประดับแล้วในท่ามกลางบริษัท จับพัดวิชนีแสดงธรรมกถา ประหนึ่งเทวดาผู้วิเศษหยั่งลงสู่แม่น้ำในอากาศ หรือเหมือนทำเขาสิเนรุให้เป็นข้าวตูก้อนแล้วกดลงสู่สาครฉะนั้น. เมื่อพราหมณ์นั่งอยู่ที่ท้ายบริษัทฟังธรรมอยู่ ในปฐมยามนั้นเอง ปิติมีวรรณะ ๕ เกิดขึ้น ทำสรีระทั้งสิ้นให้เต็ม. เขาม้วนผ้าที่ตนห่มแล้วคิดว่า จักถวายแด่พระทสพล. ลำดับนั้น ความตระหนี่อันแสดงโทษตั้ง ๑,๐๐๐ เกิดขึ้นแก่เขาแล้ว. เขาคิดว่า นางพราหมณีและเราก็มีผ้าผืนเดียวเท่านั้น. ผ้าห่มอะไรอื่นไม่มี ก็ธรรมดาว่าเราจะไม่ห่มแล้ว ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ได้เป็นผู้ใคร่จะไม่ให้โดยประการทั้งปวง. ครั้นปฐมยามทั้งมัชฌิมยามผ่านไป ปิติก็เกิดขึ้นแก่เขาเช่นนั้นเหมือนกัน. ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว ไม่ปรารถนาจะให้เหมือนกัน ครั้นมัชฌิมยามทั้งปัจฉิมยามผ่านไป เขาก็เกิดปีติขึ้นเช่นนั้นเหมือนกัน. ในกาลนั้น เขาคิดว่า เหตุอย่างใดอย่างหนึ่งยกไว้ก่อน เราจักรู้ในภายหลัง ดังนี้แล้วจึงม้วนผ้าวางไว้แทบบาทมูลของพระศาสดา ลำดับนั้น เขาจึงคู้มือซ้ายปรบด้วยมือขวาขึ้น ๓ ครั้ง บันลือขึ้นทั้งสามครั้งว่า เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว. ก็สมัยนั้น พระเจ้าพันธุมราชประทับนั่งฟังธรรมอยู่ภาย เขาอันบุรุษนั้นไปถามแล้ว จึงตอบว่า พวกคนที่เหลือนี้ขึ้นสู่ยานช้างเป็นต้น ถือเอาดาบและโล่หนังเป็นต้นชนะเสนาอื่น ข้อนั้นไม่น่าอัศจรรย์. แต่เราย่ำยีจิตคือความตระหนี่แล้ว ถวายผ้าห่มแด่พระทศพล เหมือนคนเอาค้อนทุบศีรษะโคโกง ผู้มาข้างหลังแล้วให้มันหนีไป ข้อที่เราชนะความตระหนี่นั้นอัศจรรย์. บุรุษ พระราชาตรัสว่า พนาย พวกเราไม่รู้กรรมอันสมควรแด่พระทศพล พราหมณ์ ฝ่ายพระราชาตรัสถามว่า พราหมณ์ทำอะไร? ครั้นทรงสดับว่า พราหมณ์นั้นถวายคู่ผ้าแม้นั้นแด่พระตถาคตนั่นแล. จึงประทานคู่ผ้า ๒ คู่แม้อื่นไปให้แล้ว พราหมณ์นั้นได้ถวายคู่ผ้าแม้เหล่านั้น. พระราชาจึงได้ประทานคู่ผ้าแม้อื่น ๔ คู่ ถึง ๓๒ คู่. ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่านี้เป็นเหมือนรับเพิ่มขึ้น จึงรับคู่ผ้าไว้ ๒ คู่ คือเพื่อประโยชน์แก่ตนคู่หนึ่งแก่นางพราหมณีคู่หนึ่ง แล้วได้ถวายคู่ผ้าทั้ง ๓๒ คู่แด่พระตถาคตนั่นแหละ. ก็จำเดิมแต่นั้นเธอได้เป็นผู้คุ้นเคยต่อพระศาสดา. ครั้นวันหนึ่ง พระราชาเห็นเขาฟังธรรมอยู่ในสำนักพระศาสดาในฤดูหนาว จึงประทานผ้ากัมพลแดงที่พระองค์ทรงห่มมีราคา ๑๐๐,๐๐๐ แล้วตรัสว่า ตั้งแต่นี้ไป เธอจงห่มผ้านี้ฟังธรรม. เขาคิดว่า เราจะประโยชน์อะไรด้วยผ้ากัมพลนี้ที่จะนำเข้าไปในกายอันเปื่อยเน่านี้ จึงได้ไปกระทำเป็นเพดานในเบื้องบนเตียงของพระตถาคตภายในพระคันธกุฎี. ภายหลังวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปยังพระวิหารแต่เช้าตรู่ ประทับนั่งในสำนักพระ พระศาสดาตรัสว่า มหาบพิตร มหาบพิตรบูชาพราหมณ์ เป็นอันพราหมณ์บูชาเราแล้ว. พระราชาทรงเลื่อมใสว่า พราหมณ์รู้ถึงสิ่งที่ควร เราไม่รู้ จึงทรงกระทำสิ่งซึ่งเป็นอุปการะแก่พวกมนุษย์ทั้งหมดให้เป็นอย่างละ ๘ แล้วได้ให้ทานชื่อหมวด ๘ ของสิ่งทั้งปวง แล้วทรงตั้งไว้ในตำแหน่งปุโรหิต. ฝ่ายปุโรหิตนั้นคิดว่า ชื่อว่าสิ่งอย่างละ ๘ๆ รวม ๖๔ อย่าง ได้ผูกสลากภัต ๖๔ ที่เป็นประจำแล้วถวายทานรักษาศีลตลอดชีวิต จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในสวรรค์. เขาจุติจากอัตภาพนั้นอีก ในกัปนี้จึงบังเกิดในเรือนแห่งกุฎุมพี ในกรุงพาราณสี ในระหว่างแห่งพระพุทธเจ้าทั้งสอง คือพระพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ และพระกัสสปทศพล. เขาเจริญวัยแล้ว อยู่ครองเรือน วันหนึ่งเที่ยวไปสู่ชังฆวิหารในป่า. ก็สมัยนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้ากระทำจีวรกรรมที่ฝั่งแม่น้ำ เริ่มจะรวบรวมผ้าอนุวาตที่ไม่เพียงพอวางไว้. เขาเห็นเข้าจึงกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะเหตุไร ท่านจึงรวบรวมวางไว้. พระปัจเจกพุทธเจ้าตอบว่า ผ้าอนุวาตไม่เพียงพอ. เขากล่าวว่า ท่านจงกระทำด้วยผ้านี้เถิดขอรับ แล้วได้ถวายผ้าอุตรสาฎกแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า ขอความเสื่อมเพราะสิ่งอะไรๆ จงอย่ามีแก่เราในที่เราเกิดแล้วๆ. เมื่อภรรยากับน้องสาวของเรากระทำความทะเลาะแม้ในเรือน พระปัจเจกพุทธเจ้าเข้าไปบิณฑบาต. ลำดับนั้น น้องสาวของเขาถวายบิณฑบาตแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า หมายเอาภรรยาของเขา จึงตั้งความปรารถนาว่า เราพึงเว้นคนพาลเห็นปานนี้จากที่ประมาณ ๑๐๐ โยชน์. นางยืนอยู่ที่ลานเรือนได้ยินเข้าจึงคิดว่า ขอพระปัจเจกพุทธเจ้าจงอย่าบริโภคภัตที่หญิงนี้ให้ จึงเทบิณฑบาตทิ้ง แล้วได้ให้เต็มด้วยเปือกตม. ฝ่ายน้องสาวกล่าวว่า ดูก่อนคนพาล เจ้าจงด่า จงประหารเราก่อนเถิด การที่เจ้าเทภัตจากบาตรของท่านผู้เห็นปานนี้ ผู้บำเพ็ญบารมีมาสิ้น ๒ อสงไขย แล้วให้เปือกตมไม่ควรเลย. ลำดับนั้น การพิจารณาได้เกิดขึ้นแก่ภรรยาของเขา. นางกล่าวว่า จงหยุดเถิดเจ้าข้า ดังนี้แล้วเทเปือกตม ล้างบาตรขัดสีด้วยจุณหอม บรรจุให้เต็มด้วยภัตอันประณีตและด้วยอาหารมีรสอร่อย ๔ อย่าง แล้ววางสิ่งที่รุ่งเรืองด้วยเนยใส มีสีดังกลีบปทุมที่เขาราดไว้ในเบื้องบน ไว้ในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า บิณฑบาตนี้มีแสงสว่างฉันใด สรีระของเราจงมีแสงสว่างฉันนั้น. พระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาแล้ว จึงเหาะไปแล้ว. ฝ่ายเมียและผัวทั้งสองบำเพ็ญกุศลจนตลอดชีวิต บังเกิดในสวรรค์ จุติจากอัตภาพนั้นอีกเป็นอุบาสก ในกาลแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ บังเกิดเป็นบุตรแห่งเศรษฐี มีสมบัติ ๘๐ โกฏิในกรุงพาราณสี. ฝ่ายภรรยาบังเกิดเป็นธิดาของเศรษฐีนั้นนั่นแล. เมื่อเขาเจริญวัยแล้ว ญาติทั้งหลายได้นำธิดาเศรษฐีนั้นนั่นแลมาให้ พอเมื่อนางเข้าไปสู่ตระกูลสามี ด้วยอานุภาพของบาปกรรมที่มีผลไม่น่าปรารถนาในกาลก่อน สรีระทั้งสิ้นได้เกิดมีกลิ่นเหม็น เหมือนเวจกุฎีที่เขาเปิดไว้ที่ธรณีประตู เศรษฐีกุมารถามว่า นี้กลิ่นของอะไร? ทราบว่าเป็นกลิ่นของเศรษฐีธิดาแล้วส่งไปเรือนแห่งตระกูล โดยทำนองที่เขานำมาว่า จงนำออกไป จงนำออกไป. นางนั้นอันสามีนั้นนั่นแหละขับไล่แล้วให้นำกลับมา ๗ ครั้ง. ก็สมัยนั้น พระกัสสปทศพลปรินิพพานแล้ว ชนทั้งหลายได้พากันสร้างเจดีย์สูงหนึ่งโยชน์ถวายพระองค์ ด้วยอิฐแล้วด้วยทองสีแดง มีราคา ๑๐๐,๐๐๐ บุให้แท่งทึบ. เมื่อเขาสร้างเจดีย์นั้น เศรษฐีธิดานั้นคิดว่า เราถูกนำกลับมาถึง ๗ ครั้ง จะประโยชน์อะไรด้วยความเป็นอยู่ของเรา ดังนี้แล้ว จึงให้ทำลายเครื่องอาภรณ์ของตน ให้ก่ออิฐแล้วด้วยทองอันเป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะ กว้างหนึ่งคืบ สูงสี่นิ้ว. ลำดับนั้น จึงถือเอาก้อนหรดาลและมโนศิลา แล้วถือเอาดอกอุบล ๘ กำไปยังที่กระทำเจดีย์. ก็ในขณะนั้น แนวอิฐที่วงล้อมเจดีย์ขาดไป ๑ ก้อน ธิดาเศรษฐีจึงกล่าวกะนายช่างว่า ท่านจงวางแผ่นอิฐนี้ไว้ในที่ว่างนี้. นายช่างกล่าวว่า ดูก่อนแม่นางผู้เจริญ ท่านมาทันเวลา จงวางเองเถิด. นางขึ้นไปแล้วประกอบก้อนหรดาลและมโนศิลาด้วยน้ำมัน วางก้อนอิฐให้ติดกับเครื่องเชื่อมนั้น กระทำการบูชาด้วยดอกอุบล ๘ กำมือไว้ข้างบน ไหว้แล้วตั้งความปรารถนาว่า ขอกลิ่นจันทน์จงฟุ้งออกจากกายของเรา ขอ ครั้นในขณะนั้นนั่นเอง เศรษฐีบุตรใดนำนางไปสู่เรือนคราวก่อน ความระลึกถึงเพราะปรารภนางเกิดขึ้นแล้วแก่เศรษฐีนั้น. แม้ในพระนคร เขาก็ป่าวร้องเล่นนักษัตร. เขา นางตอบว่า เธออยู่ในเรือนของตระกูล. เขากล่าวว่า ท่านจงนำนางมาเถิด เราจักเล่นนักษัตร. อุปัฏ บุตรเศรษฐีกล่าวว่า พวกท่านจงนำนางมา นางจักได้เครื่องประดับ อุปัฏ นางบอกกรรมที่ตนทำตั้งแต่ต้น. บุตรเศรษฐีเลื่อมใสว่า พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้จริงหนอ, จึงล้อมสุวรรณเจดีย์ประมาณโยชน์หนึ่งด้วยผ้าคลุมอันทำด้วยผ้ากัมพล แล้วประดับด้วยดอกปทุมทอง ประมาณเท่าล้อรถในที่นั้นๆ ดอกปทุมทองเหล่านั้น ได้ห้อยลงประมาณ ๑๒ ศอก. เขาดำรงอยู่ในที่นั้นจนตลอดอายุ แล้วบังเกิดในสวรรค์ จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในตระกูลอำมาตย์ตระกูลหนึ่ง ในที่ประมาณโยชน์หนึ่งแต่กรุงสาวัตถี. แม้ธิดาเศรษฐีจุติ ลำดับนั้น มารดาจึงกล่าวกะเขาว่า ดูก่อนพ่อ เราเกิดในเรือนเช่นใด บุญเพื่อได้ผ้าเนื้อละเอียดจากที่นี้ ย่อมไม่มีแก่พวกเรา. เขากล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ฉันจะไปสู่ที่ๆ จะได้ผ้าจ้ะแม่. นาง ได้ยินว่า มารดาได้มีความคิดอย่างนี้ว่า บุตรจักไปในที่ไหน บุตรจักนั่งอยู่ในที่นี้หรือที่ในเรือน. ก็เขาออกแล้วไปด้วยการกำหนดแห่งบุญ ไปยังกรุงพาราณสี นอนคลุมโปงอยู่ที่ อำมาตย์ทั้งหลายจัดถวายพระเพลิงสรีระของพระราชาแล้ว นั่งอยู่ที่พระลานหลวงปรึกษากันว่า พระราชามีแต่พระธิดาองค์หนึ่งเท่านั้น แต่ไม่มีพระราชโอรส ราชสมบัติอันไม่มีพระราชาจักพินาศ ใครจักเป็นพระราชา ดังนี้แล้วจึงกล่าวกันว่า ท่านจงเป็นพระราชา ท่านจงเป็นพระราชา. ปุโรหิตกล่าวว่า การคัดเลือกโดยไม่กำหนด การเห็นแก่หน้ากันมากไป ย่อมไม่สมควร เราจักปล่อยรถขาวเสี่ยงทายไป. อำมาตย์เหล่านั้นจึงเทียมม้าสินธพ ๔ ม้ามีสีดังดอกโกมุท แล้ววางราชกกุธภัณฑ์ทั้ง ๕ และเศวตฉัตรไว้บนรถนั่นเอง จึงปล่อยรถประโคมดุริยางค์ตามหลังไป รถออกทางด้านทิศตะวันออกมุ่งหน้าไปอุทยาน. อำมาตย์บางพวกกล่าวว่า รถมุ่งหน้าไปทางอุทยานด้านที่คุ้นเคย พวกเราจงให้กลับ. ปุโรหิตกล่าวว่า ท่านอย่าให้กลับเลย. รถทำประทักษิณกุมารแล้วได้หยุดรอให้ขึ้นไป. ปุโรหิตเลิกชายผ้าแลดูพื้นเท้าพลางกล่าวว่า ทวีปนี้จงยกไว้ บรรดาทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มี ๒,๐๐๐ ทวีปเป็นบริวาร ผู้นี้ควรครองราชสมบัติ แล้วกล่าวว่า ท่านจงประโคมดนตรีแม้อีก จงประโคมดนตรีแม้อีก. ดังนี้แล้วจึงให้ประโคมดนตรีขึ้น ๓ ครั้ง. ลำดับนั้น กุมารเปิดหน้าแลดู กล่าวว่า ท่านมาด้วยกรรมอะไร? พวกเขากล่าวว่า ข้าแต่สมมติเทพ ราชสมบัติถึงแก่ท่าน. กุมารถามว่า พระราชาอยู่ที่ไหน? อำมาตย์กล่าวว่า พระองค์สวรรคตแล้วนาย. กุมารถามว่า ล่วงไปกี่วันแล้ว. อำมาตย์กล่าวว่า วันนี้เป็นที่ ๗. กุมารถามว่า พระโอรสและพระธิดาไม่มีหรือ? อำมาตย์ทูลว่า พระธิดามีพระเจ้าข้า แต่พระโอรสไม่มี. กุมารกล่าวว่า เราจักครองราชสมบัติ. ในขณะนั้นนั่นเอง อำมาตย์เหล่านั้นจึงสร้างมณฑปอภิเษก ประดับราชธิดาด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง แล้วนำมายังพระอุทยาน กระทำอภิเษกแก่กุมาร. ลำดับนั้น อำมาตย์ทั้งหลายได้น้อมนำผ้ามีราคา ๑๐๐,๐๐๐ เข้าไปให้แก่กุมารผู้ได้อภิเษก. กุมารกล่าวว่า นี่อะไรกันพ่อ. อำมาตย์ทูลว่า ผ้าสำหรับนุ่ง. กุมาร กุมารนั้นลุกขึ้นล้างมือ บ้วนปาก เอามือวักน้ำประพรมในปุรัตถิมทิศ. ขณะนั้นนั่นเอง ต้นกัลปพฤกษ์ ๘ ต้นผุดขึ้นทำลายแผ่นดินเป็นแท่งทึบ กุมาร กุมารนั้นนุ่งผ้าทิพย์ผืนหนึ่งห่มผืนหนึ่ง แล้วกล่าวว่า พวกท่านจงพากันตีกลองร้องประกาศอย่างนี้ว่า หญิงทั้งหลายผู้ปั่นด้าย อย่าปั่นด้ายในแว่นแคว้นของพระเจ้านันทะ และให้ยกฉัตรประดับตกแต่งอยู่บนคอช้างตัวประเสริฐ เข้าไปยังพระนคร ขึ้นสู่ปราสาทแล้วเสวยมหาสมบัติ. เมื่อกาลล่วงไปอย่างนี้ วันหนึ่ง พระเทวีทรงเห็นมหาสมบัติของพระราชา จึงแสดงอาการความเป็นผู้มีกรุณาว่า น่าอัศจรรย์ พระ วันรุ่งขึ้น พระราชารับสั่งให้จัดแจงทานที่ประตูด้านทิศตะวันออก. พระเทวี พระอรหันต์ทั้งหลายไม่มีในทิศนั้น จึงได้ให้เครื่องสักการะแก่คนกำพร้าและยาจกทั้งหลาย. วันรุ่งขึ้นพระเทวีทรงจัดแจงทานที่ประตูด้านทักษิณ ได้กระทำ พระปัจเจกพุทธเจ้ามหาปทุมะ ผู้เป็นหัวหน้าของพระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ บุตรของพระ วันรุ่งขึ้นจึงล้างหน้าที่สระอโนดาต แล้วมาทางอากาศ ลงที่ประตูด้านทิศอุดร. มนุษย์ทั้งหลายเห็นแล้วไปกราบทูลพระราชาว่า พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ มา พระเจ้าข้า. พระราชาพร้อมกับเทวีไปไหว้แล้วรับบาตร ให้อาราธนา เมื่อกาลล่วงไปอย่างนี้ ปัจจันตชนบทของพระราชากำเริบ พระราชา พระมหาปทุมปัจเจกพุทธเจ้าเล่นฌานตลอดยาม ๓ แห่งราตรี จึงยืนเหนี่ยว วันรุ่งขึ้น พระเทวีให้สร้างที่เป็นที่นั่งของพระ บุรุษนั้นไปเปิดประตูบรรณศาลาแห่งพระปัจเจกพุทธมหาปทุมะ เมื่อไม่เห็นในที่นั้น จึงไปสู่ที่จงกรม เห็นท่านยืนพิง พระเทวีทรงกันแสงออกไปพร้อมกับชาวพระนคร ไปในที่นั้น ให้กระทำการเล่นอย่างสนุกสนาน ให้กระทำฌาปนกิจสรีระของพระ พระราชา ครั้นปราบปัจจันตชนบทให้สงบแล้ว จึงเสด็จมาตรัสถามพระเทวีผู้กระทำการต้อนรับว่า นางผู้เจริญ เจ้าไม่ประมาทต่อพระปัจเจกพุทธเจ้าหรือ? พระผู้เป็นเจ้าไม่มีโรคหรือ? พระเทวีทูลว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลาย พระราชาทรงพระดำริว่า มรณะย่อมเกิดขึ้นแก่บัณฑิตแม้เห็นปานนี้ ความพ้นของเราจักมีแต่ที่ไหน พระองค์ไม่เสด็จไปพระนคร เสด็จไปยังพระอุทยานเท่านั้น รับสั่งให้เรียกพระราชโอรสองค์โตมา แล้วมอบราชสมบัติแก่เธอ พระองค์เองบวชเป็นสมณะ. ฝ่ายพระเทวีทรงดำริว่า เมื่อพระราชานี้บวชแล้ว เราจักทำอะไรจึงบวชในอุทยานนั้นนั่นเอง แม้ทั้งสองพระองค์ยังฌานให้เกิดขึ้น จุติจากอัตภาพนั้นแล้วบังเกิดในพรหมโลก. เมื่อท่านทั้งสองอยู่ในที่นั้นนั่นเอง พระศาสดาของเราทั้งหลายเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ประกาศ |