![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น อรรถกถาเอกนิบาต ๑. อรรถกถาอัญญตราเถรีคาถา บัดนี้ ถึงโอกาสที่จะพรรณนาเนื้อความเถรีคาถาตามลำดับแล้ว เพราะในเถรีคาถานั้น เมื่อได้พรรณนาเนื้อความประกาศประการที่เหล่าภิกษุณีได้บรรพชาและอุปสมบทแต่ต้นนั้นในที่นี้ การชี้แจงอัตถุ ความย่อว่า พระโลกนาถศาสดาพระองค์นี้ทรงประชุมองค์แปดที่ตรัสไว้โดยนัยว่า มนุสฺ ทรงประทานปฏิญญาแก่เทวดาเหล่านั้นแล้วทรงทำปัญจมหาวิโลกนะ ทรงมีพระสติสัมป ในวันที่ราหุลกุมารประสูติ พระองค์มีนายฉันนะเป็นสหาย ทรงกัณฐกอัศวราช เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ยามเที่ยงคืน ทางประตูที่เหล่าเทวดาเปิดถวาย เสด็จผ่านแคว้นที่มีพระราชาปกครองสามแคว้นในราตรีนั้นเอง เสด็จถึงฝั่งอโนมานที ทรงรับธงชัยของพระอรหัต พระเจ้าพิมพิสารราชาของชาวมคธทรงเชื้อเชิญให้ครองราชสมบัติ (ร่วมกับพระองค์) ทรงปฏิเสธเรื่องนั้น เสด็จไปอารามของท่านภัคควะ ทรงศึกษาลัทธิของท่านภัคควะนั้น จากนั้นทรงศึกษาลัทธิของท่านอาฬารดาบสและท่านอุทกดาบส ไม่ทรงพอพระทัยลัทธิทั้งหมดนั้น เสด็จไปยังตำบลอุรุเวลาตามลำดับ ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ ๖ ปีที่ตำบลนั้น ทรงทราบว่าทุกกรกิริยานั้นไม่ทำให้ตรัสรู้อริยธรรมได้ มีพระดำริว่า นี้ไม่ใช่ทางตรัสรู้ ทรงนำอาหารหยาบมาบำรุงกำลังอยู่สองสามวัน ในวันวิสาขบุณมี เสวยโภชนะอย่างประเสริฐ (มธุปายาส) ที่นางสุชาดาถวายแล้วทรงลอยถาดทองทวนกระแสน้ำในแม่น้ำ (เน ปฐมยามทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ มัชฌิมยามทรง ท้าวมหาพรหมมาอาราธนาในเมื่อพระองค์มีพระทัยน้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย (คิด ในวันอาสาฬหบุณมี เสด็จพุทธดำเนินจากมหาโพธิมุ่งกรุงพาราณสี ระยะทาง ๑๘ โยชน์ ทรงพบกับอุปกาชีวกในระหว่างทาง เสด็จถึงป่าอิสิปตนะตามลำดับ ทรงทำความเข้าใจ ในวันแรม ๑ ค่ำ ทรงให้พระภัททิยเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. วันแรม ๒ ค่ำ ทรงให้พระวัปปเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. วันแรม ๓ ค่ำ ทรงให้พระมหานามเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. วันแรม ๔ ค่ำ ทรงให้พระอัสสชิเถระตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. อนึ่ง ในวันแรม ๕ ค่ำ ทรงให้พระปัญจวัคคีย์ทั้งหมดตั้งอยู่ในพระอรหัตด้วยเทศนาอนัตตลักขณสูตร. ต่อจากนั้นทรงให้มหาชนหยั่งลงสู่อริยภูมิอย่างนี้คือ บุรุษ ๕๕ คนมียสกุลบุตรเป็นประมุข ภัททวัคคียกุมารประมาณ ๓๐ คนที่ไร่ฝ้าย ปุราณชฎิลประมาณพันคนที่หินราบ คยาสีสประเทศ ทรง ทรงตั้งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ผู้บรรลุปฐมมรรคโดยการนำของพระอัสสชิเถระ ลาอาจารย์สญชัยเข้ามายังสำนักของพระองค์พร้อมด้วยบริวาร ทำให้แจ้งผลอันเลิศบรรลุที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณแล้วไว้ในตำแหน่งสาวกผู้เลิศ เสด็จไปกรุงกบิลพัสดุ์ตามคำเชื้อเชิญของพระกาฬุทายีเถระ ทรงทรมานหมู่พระญาติผู้กระด้างเพราะมานะด้วยยมกปาฏิหาริย์ ทรงให้พระชนกตั้งอยู่ในอนาคามิผลและให้พระมหาปชาบดีตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ทรงให้นันทกุมารและราหุลกุมารบรรพชา แล้วเสด็จกลับมายังกรุง สมัยต่อมา เมื่อพระศาสดาเสด็จเข้าอาศัยกรุงเวสาลี ประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา พระเจ้าสุท ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีได้เกิดความคิดที่จะบรรพชา. ลำดับนั้น เหล่าหญิง ก็พระมหาปชาบดีนี้ เมื่อก่อนได้ทูลขอบรรพชากะพระศาสดาครั้งหนึ่งแล้วไม่ได้ ฉะนั้น นี้เป็นความย่อในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องนี้โดยพิสดารมาแล้วในบาลีนั้นๆ ทั้งนั้น. พระมหาปชาบดีอุปสมบทอย่างนี้แล้ว เข้าเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่สมควรแห่งหนึ่ง. ครั้งนั้น พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่พระมหาปชาบดีนั้น พระนางนั้นเรียน เมื่อภิกษุณีสงฆ์ตั้งมั่นดีเป็นปึกแผ่นอย่างนี้แล้ว เหล่าหญิงมีตระกูลสะใภ้ของตระกูล และกุมาริกาในตระกูลทั้งหลาย ในคามนิคมชนบทและราชธานีนั้นๆ ได้ฟังความที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ดีแล้ว ความที่พระธรรมเป็นพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว และความที่พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว มีความเลื่อมใสในพระศาสนาเป็นอย่างยิ่ง และเกิดความสังเวชในสังสารวัฏ จึงขออนุญาตสามี บิดามารดาและญาติของตนๆ บวชถวายชีวิตในพระศาสนา และครั้นบวชแล้วเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลและอาจาระ ได้รับโอวาทในสำนักของพระ ก็คาถาทั้งหลายที่พระเถรีภาษิตในที่นั้นๆ ด้วยอำนาจเปล่งอุทานเป็นต้นเหล่านั้น ภายหลังพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายร่วมกันยกขึ้นสู่สังคีติจัดเป็นเอกนิบาตเป็นต้น คาถาเหล่านี้ชื่อเถรีคาถา การแบ่งคาถาเหล่านั้นเป็นนิบาตเป็นต้น ได้กล่าวไว้แล้วให้หนหลังนั่นแล บรรดานิบาตเหล่านั้น เอกนิบาตเป็นนิบาตแรก แม้ในเอกนิบาตนั้น คาถานี้ว่า ดูก่อนพระเถรี ท่านจงเอาท่อนผ้าทำจีวรนุ่งห่ม แล้วพักผ่อนให้สบายเถิด เพราะราคะของท่านสงบแล้ว เหมือนผักดองแห้งอยู่ในหม้อ ดังนี้. เป็นคาถาแรก คาถานั้นเกิดขึ้นอย่างไร เล่ากันมาว่า ในอดีตกาล กุลธิดาคนหนึ่งเลื่อมใสยิ่งในพระศาสนา ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามโกนาคมนะ นิมนต์พระศาสดา ในวันที่สองให้สร้างมณฑปกิ่งไม้ ลาดทราย ผูกเพดานข้างบน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น แล้วให้คนไปกราบทูลกาลแด่พระศาสดา. พระศาสดาเสด็จไปที่มณฑปนั้น ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้. กุลธิดานั้นถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า อังคาสด้วยของเคี้ยวของบริโภคอย่างประณีต แล้วให้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสวยเสร็จลดพระหัตถ์ลงจากบาตร ครองไตรจีวร. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุโมทนาแก่นางแล้วเสด็จหลีกไป กุลธิดานั้นทำบุญตลอดอายุ เวลาสิ้นอายุบังเกิดในเทวโลก ท่องเที่ยวอยู่ในสุคติภูมิทั้งหลายนั่นเองตลอด ๑ พุทธันดร ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามกัสสปะ บังเกิดในตระกูลคฤหบดี พอรู้เดียงสาก็เกิดความสังเวชในสังสารวัฏ จึงบรรพชาอุปสมบทในพระศาสนา บวชเป็นภิกษุณีอยู่สองหมื่นปี ตายทั้งที่เป็นปุถุชนบังเกิดในสวรรค์ เสวยสมบัติในสวรรค์ตลอด ๑ พุทธันดรบังเกิดในตระกูลกษัตริย์มหาศาล กรุงเวสาลี ในพุทธุปปาทกาลนี้ คนทั้งหลายเรียกเธอว่า เถริกา เพราะมีรูปร่างล่ำสัน. เธอเจริญวัย บิดามารดาให้แก่ขัตติยกุมารผู้มีชาติเสมอกันโดยตระกูลและประเทศเป็นต้น เธอบูชาสามีเหมือนเทวดาอยู่ ได้ศรัทธาในพระศาสนาคราวพระศาสดาเสด็จกรุงเวสาลี ต่อมาเธอได้ฟังธรรมในสำนักของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เกิดชอบใจบรรพชา บอกแก่สามีว่าจักบวช สามีไม่อนุญาต แต่เพราะเธอสร้างบุญบารมีมา เธอพิจารณาธรรมตามที่ได้ฟัง กำหนดรูปธรรมและอรูปธรรมประกอบวิปัสสนาอยู่เนืองๆ. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเธอหุงหาอาหารอยู่ในครัวใหญ่ เปลวไฟใหญ่ได้ตั้งขึ้น เปลวไฟนั้นทำให้ภาชนะทั้งสิ้นเกิดเสียงเปรี๊ยะๆ เธอเห็นดังนั้นจึงยึดข้อนั้นแหละเป็นอารมณ์ ใคร่ครวญความไม่เที่ยงที่ปรากฏขึ้นอย่างดียิ่ง จากนั้นได้ยกความเป็น ตั้งแต่นั้นมา เธอไม่ใช้เสื้อผ้าที่สวยงามหรือเครื่องประดับ. เมื่อสามีถามว่า ที่รัก เหตุไรเดี๋ยวนี้เธอจึงไม่ใช้เสื้อผ้าที่สวยงามหรือเครื่องประดับเหมือนเมื่อก่อน. นางจึงบอกว่า ตนไม่ควรอยู่เป็นคฤหัสถ์ แล้วขออนุญาตบวช สามีนำเธอไปสำนักของพระมหาปชาบดีโคตมีด้วยบริวารใหญ่ กล่าวว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า โปรดบวชให้นางนี้เถิด เหมือนวิสาขอุบาสกนำนางธรรมทินนาไปฉะนั้น. ครั้งนั้น พระมหาปชาบดีโคตมีให้นางบรรพชาอุปสมบทแล้ว นำไปวิหารแสดงแก่พระศาสดา เมื่อทำอารมณ์ที่เห็นตามปกตินั่นเองให้แจ่มแจ้งแก่นาง ตรัสพระคาถานี้ว่า ดูก่อนเถรี เธอจงเอาท่อนผ้าทำจีวรนุ่งห่มแล้ว พักผ่อนให้สบายเถิด เพราะราคะของเธอสงบแล้ว เหมือนผักดองแห้งอยู่ในหม้อ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุขํ แสดงภาวนปุงสกะ. บทว่า สุปาหิ เป็นคำสั่ง. บทว่า เถริเก เป็นคำเรียก. บทว่า กตฺวา โจเฬน ปารุตา เป็นคำประกอบด้วยความมักน้อย. บทว่า อุปสนฺโต หิ เต ราโค เป็นคำประกาศผลการปฏิบัติ. บทว่า สุกฺขฑากํ ว เป็นคำแสดงความไม่มีสาระแห่งกิเลสที่พึงให้สงบ. บทว่า กุมฺภิยํ เป็นคำแสดงความไม่เที่ยงคือว่างเปล่าของหม้อที่ใส่ผักดองนั้น. อนึ่ง บทว่า สุขํ นี้ เป็นชื่อของสิ่งที่ปรารถนา ความว่า มีสุขปราศจากทุกข์. ก็บทว่า สุปาหิ นี้ เป็นคำแสดงการผ่อนอิริยาบถสี่ ความว่า เพราะฉะนั้น ท่านจงสำเร็จอิริยาบถทั้งสี่ตามสบายทีเดียว คือจงอยู่อย่างสบาย. บทว่า เถริเก นี้เป็นบทประกาศชื่อของพระเถรีนั้นก็จริง แต่ก็มีความว่า ถึงความเป็นผู้มั่นในพระศาสนาที่มั่น เพราะภาวะที่รู้ตามเนื้อความได้เป็นส่วนมาก คือประกอบด้วยธรรมมีศีลเป็นต้นอันมั่น. บทว่า กตฺวา โจเฬน ปารุตา ความว่า จงเอาท่อนผ้าบังสุกุลทำจีวรปกปิดสรีระ คือนุ่งและห่มผ้านั้น. หิศัพท์ในบทว่า อุปสนฺโต หิ เต ราโค มีเนื้อความว่า เหตุ. อธิบายว่า เพราะกามราคะที่เกิดในสันดานของท่านสงบแล้ว คือถูกเผาด้วยไฟคืออนาคามิมรรคญาณ บัดนี้ท่านจงเผาราคะที่ยังเหลืออยู่นั้นด้วยไฟคือมรรคญาณอันเลิศ พักผ่อนให้สบายเถิด. บทว่า สุกฺขฑากํ ว กุมฺภิยํ ความว่า ย่อมสงบเหมือนผักดองเล็กน้อยในภาชนะร้อนนั้น เขาเคี่ยวด้วยเปลวไฟแรงร้อนแห้งไป. อีกอย่างหนึ่ง เหมือนเมื่อเอาผักดองเจือน้ำขึ้นตั้งเคี่ยวบนเตา เมื่อน้ำยังมีอยู่ ผักดองนั้นย่อมเดือดพล่าน แต่เมื่อหมดน้ำย่อมสงบนิ่งฉันใด กามราคะในสันดานของท่านสงบแล้ว ท่านจงทำกิเลสแม้ที่เหลืออยู่ให้สงบแล้ว พักผ่อนให้สบายเถิด ฉันนั้น. พระเถรีบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในเวลาจบคาถา เพราะอินทรีย์แก่กล้าและเพราะพระศาสดาเทศนาไพเราะ เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า เราสร้างมณฑปถวายพระพุทธเจ้าโกนาคมนะ และได้ถวายพระสถูปอันบวรแด่พระพุทธเจ้าผู้เผ่าพันธุ์มนุษย์ เราไปในที่ใดๆ เป็นชนบทก็ตาม นิคมและราชธานีก็ตาม ย่อมมีคนบูชาในที่นั้นๆ ทุกแห่ง นี้เป็นผลของการทำบุญ. เราเผากิเลสแล้ว ภพทั้งหมดเราถอนได้แล้ว เราตัดเครื่องผูกพัน เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ดังช้างพังตัดเชือกแล้ว การมาเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐของเรา เป็นการมาดีแล้วหนอ เราได้บรรลุวิชชาสามตามลำดับ เราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว คุณวิเศษเหล่านี้ คือปฏิสัมภิทาสี่ วิโมกข์ทั้งแปดและอภิญญาหก เราทำให้แจ้งแล้ว เราปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว. ครั้นได้บรรลุพระอรหัตแล้ว พระเถรีเมื่อเปล่งอุทานได้ภาษิตคาถานั้นทีเดียว เหตุนั้น คาถานี้จึงได้เป็นคาถาของพระเถรีนั้น. ด้วยคาถาที่พระเถรีกล่าวในที่นั้น เป็นอันกำหนดราคะได้อย่างไม่เหลือ เพราะบรรลุความสงบนั้นได้ด้วยมรรคอันเลิศ. และที่กล่าวถึงความสงบกิเลสทั้งหมดในที่นี้ ก็ด้วยความสงบราคะนั่นเอง ฉะนั้นพึงเห็นข้อนั้น เพราะกิเลสธรรมทั้งหมดสงบได้ เพราะตั้งอยู่ร่วมกัน. สมจริงดังที่กล่าวไว้ว่า โมหะใดเกิดร่วมกับอุทธัจจะและวิจิกิจฉา อันเรารู้แล้ว โมหะนั้นก็รวมกันกับราคะ เพราะ ตั้งอยู่ร่วมกันโดยการละ. เหมือนอย่างว่า ความสงบแห่งสังกิเลสทั้งปวง ท่านกล่าวไว้ในที่นี้ฉันใด แม้ในที่ทุกแห่งท่านก็กล่าวความสงบแห่งสังกิเลสเหล่านั้นฉันนั้น ฉะนั้นพึงทราบโดยที่สงบกิเลสได้สำเร็จในตอนต้น ด้วยตทังคปหานะละด้วยองค์นั้นๆ ในขณะแห่งสมถะและวิปัสสนาด้วยวิกขัมภนปหานะละด้วยข่มไว้ ในขณะแห่งมรรคด้วยสมุจเฉทปหานะ บรรดาปหานะทั้งสี่นั้น ความสำเร็จแห่งสีลสัมปทา ท่านแสดงด้วยตทังค พระโยคาวจรยังการบรรลุสัจฉิกิริยา และการบรรลุปริญญาให้สำเร็จ เหมือนยังการบรรลุภาวนาให้สำเร็จนั่นเอง เพราะไม่มีสิ่งนั้น ในเมื่อสิ่งนั้นไม่มีแล บัณฑิตพึงทราบว่า สิกขา ๓ ท่านประกาศด้วยความสำเร็จคือการบรรลุ ๔ ความงาม ๓ อย่างท่านประกาศด้วยการปฏิบัติ วิสุทธิ ๗ ที่บริบูรณ์ท่านประกาศด้วยคาถานี้. พระเถรีองค์หนึ่งไม่มีใครรู้จัก คือไม่ปรากฏชื่อและโคตรเป็นต้น. อธิบายว่า ภิกษุณีผู้เป็นเถรีถึงพร้อมด้วยลักษณะองค์หนึ่งได้ภาษิตคาถานี้. จบอรรถกถาอัญญตราเถรีคาถาที่ ๑ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา เอกกนิบาต ๑. เถรีคาถา จบ. |