บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
นาควิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร? พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อิสิปตนมฤคทายวัน กรุงพาราณสี. สมัยนั้น อุบาสิกาชาวพาราณสีคนหนึ่งมีศรัทธาปสาทะ สมบูรณ์ด้วยศีลและจรรยา. นางให้ทอผ้าคู่ อุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ซักย้อมดีแล้ว เข้าเฝ้าวางผ้าไว้แทบพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดอนุเคราะห์ทรงรับผ้าคู่นี้ ซึ่งจะพึงเป็นประโยชน์ เป็นสุขตลอดกาลนานแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับผ้าคู่นั้น ทรงเห็นอุปนิสัยสมบัติของนาง จึงทรงแสดงธรรม. จบเทศนา นางดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้วกลับบ้าน. ต่อมาไม่นานนัก นางตายไปเกิดในภพดาวดึงส์ ได้เป็นที่สนิทเสน่หาของท้าวสักกเทว พระศาสดาประทับที่กรุงพาราณสี ตามพระพุทธอัธยาศัย แล้วเสด็จจาริกไปยังกรุงสาวัตถี. ครั้นเสด็จถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับแล้ว ได้ยินว่า ในสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้น เทพธิดานั้นตรวจดูทิพยสมบัติที่ตนเสวยอยู่ ทบทวนถึงเหตุที่ได้เสวยทิพยสมบัติ ทราบว่า เหตุคือถวายผ้าคู่แด่พระศาสดา เกิดโสมนัส เลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้ามาก ประสงค์จะถวายบังคม ครั้นล่วงราตรีปฐมยาม นางนั่งเหนือคอช้างตัวประเสริฐ เหาะมาลงจากคอช้างนั้นแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืนประคองอัญชลีอยู่ ณ ที่ควรแห่งหนึ่ง. ท่านพระวังคีสะโดยพระพุทธานุญาต ได้ถามนางด้วยคาถาเหล่านี้ว่า ท่านประดับองค์แล้วขึ้นนั่งคชสารตัวประเสริฐซึ่งมีขนาดใหญ่ งามไปด้วยแก้วและทอง วิจิตรด้วยข่ายทอง ผูกสายรัดประคนเรียบร้อย เลื่อนลอยในอากาศเวหามาในที่นี้ ที่งาทั้งสองของคชสาร มีสระโบกขรณีที่เนรมิตไว้ มีน้ำใสสะอาด ดาดาษไปด้วยดอกปทุมบานสะพรั่ง ดอกปทุมทั้งหลายมีหมู่เทพอัปสรนักดนตรีพากันมาขับร้องประสานเสียงและฟ้อนรำ ชวนให้เกิดความประทับใจ. ดูก่อนเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก ท่านบรรลุเทวฤทธิ์แล้ว ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทั่วทิศ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลงฺกตา ได้แก่ ประดับประดาด้วยอาภรณ์ทุกอย่าง. บทว่า มณิกญฺจนาจิตํ ความว่า ประดับด้วยแก้วและทองซึ่งนับว่าเป็นทิพย์เหล่านั้น. บทว่า สุวณฺณชาลจิตํ ได้แก่ คลุมด้วยข่ายทอง. บทว่า มหนฺตํ ได้แก่ ไพบูลย์ [สูงใหญ่]. บทว่า สุกปฺปิตํ ความว่า ผูกสอดอย่างดีด้วยเครื่องผูกสอดสำหรับเดิน. บทว่า เวหาสยํ ได้แก่ เหนือหลังช้างกลางหาว. บทว่า อนฺตลิกฺเข ได้แก่ ในอากาศ. ปาฐะว่า อลงฺกตมณิกญฺจนจิตํ ดังนี้ก็มี และในข้อนี้มีความย่อดังต่อไปนี้ ดูก่อนเทพธิดา ท่านประดับองค์ด้วยเครื่องอลังการทั้งปวงขึ้นช้างตัวประเสริฐ คือช้างสูงสุดเป็นช้างขนาดใหญ่คือใหญ่เหลือเกิน งามด้วยแก้วและทองที่ประดับแล้ว ระยับด้วยแก้วและทองซึ่งนับว่าเป็นทิพย์อย่างยิ่ง โดยทำให้เป็นของที่ประดับอยู่แล้วครอบคลุมด้วยข่ายทอง คือเครื่องประดับช้าง ต่างโดยเครื่องประดับกระพองเป็นต้น นั่งบนหลังช้างเหาะลงในที่นี้เข้ามาหาเรา. บทว่า นาคสฺส ทนฺเตสุ ทุเวสุ นิมฺมิตา ความว่า ที่งาทั้งสองของช้างนี้ ศิลปินผู้ชำนาญสร้างสระโบกขรณีไว้อย่างดีสองสระ เหมือนของพระยาช้างเอราวัณ. บทว่า ตุริยคณา ได้แก่ หมู่เทพอัปสรนักดนตรีเครื่อง ๕ คือกลุ่มเทพอัปสรนักดนตรีเครื่อง ๕. บทว่า ปภิชฺชเร ความว่า แยกเสียงประสาน ๑๒ ประเภท เกจิอาจารย์กล่าวว่า ปวชฺชเร บ้าง. อธิบายว่า บรรเลงหลายประการ. ถูกพระเถระถามอย่างนี้แล้ว เทพธิดาก็กล่าวตอบ ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า ดีฉันได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่กรุงพาราณสี ได้ถวายผ้าคู่หนึ่งแด่พระพุทธเจ้า ถวายบังคมพระยุคลบาท แล้วนั่งอยู่ที่พื้นดิน ดีฉันปลื้มใจได้กระทำอัญชลี. อนึ่ง พระพุทธเจ้ามีพระฉวีวรรณผุดผ่องดุจทองคำธรรมชาติ ได้ทรงแสดงทุกขสัจและสมุทัยสัจ และได้ทรงแสดงทุกขนิโรธสัจอันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ และมรรคสัจแก่ดีฉัน โดยประการที่ดีฉันจักรู้แจ้งได้ ดีฉันเป็นคนมีอายุน้อย ทำกาละ [ตาย] จุติจากชาตินั้นแล้ว ไปเกิดในชั้นไตรทศ [ดาวดึงส์] เป็นผู้เรืองยศ เป็นปชาบดีองค์หนึ่งของท้าวสักกะ นามว่า ยสุตตรา ปรากฏไปทุกทิศ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉมา แปลว่า ที่พื้นดิน. จริงอยู่ บทนี้เป็นปฐมาวิภัตติ ลงในอรรถแห่งสัตตมีวิภัตติ. บทว่า วิตฺตา แปลว่า ยินดีแล้ว. บทว่า ยโต แปลว่า โดยประการใด คือโดยพระศาสดาทรงแสดงสามุกังสิกธรรมเทศนายกขึ้นแสดงเอง (ไม่ต้องปรารภคำถามเป็นต้นของผู้ฟัง ได้แก่เทศนาเรื่องอริยสัจ). บทว่า วิชานิสฺสํ ความว่า จักแทงตลอดอริยสัจ ๔. บทว่า อปฺปายุกี ความว่า เป็นผู้มีอายุน้อย เพราะกรรมสิ้นสุด ดุจที่เกิดต่อเนื่องกันว่า เพราะทำบุญอันโอฬารเช่นนี้ ท่านจึงไม่ต้องดำรง อยู่อย่างนี้ในอัตภาพมนุษย์ที่มากไปด้วยความทุกข์นี้. บทว่า อญฺญตรา ปชาปติ ความว่า เป็นปชาบดีองค์หนึ่ง บรรดาปชาบดีหมื่นหกพันองค์ [ของท้าวสักกะ]. บทว่า ทิสาสุ วิสฺสุตา ความว่า ปรากฏ คือรู้จักทั่วไปในทิศทั้งปวงในเทวโลกทั้งสอง. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. จบอรรถกถานาควิมาน ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ มัญชิฏฐกวรรคที่ ๔ ๓. นาควิมาน จบ. |