บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
เล่ากันว่า พระเถรีชื่อธัมมทินนานั้น ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุ ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปุสสะ เธออยู่ในเรือนคนงานของพี่ชายต่างมารดาของพระศาสดา เมื่อสามีพูดพาดพิงถึงทานว่า เธอจงให้หนึ่งส่วน ดังนี้ นางให้สองส่วน ทำบุญเป็นอันมาก. ในกาลของพระกัสสปพุทธเจ้า เธอถือปฏิสนธิในพระตำหนักของพระเจ้ากาสีพระนามกิงกิ เป็นคนหนึ่งภายในพี่น้องหญิง ๗ คนประพฤติพรหมจรรย์สองหมื่นปี ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายพุทธันดรหนึ่ง. ในพุทธุปปาทกาลนี้ บังเกิดในเรือนตระกูลในกรุงราชคฤห์ เจริญวัยแล้วไปสู่เรือนของวิสาขเศรษฐี. อยู่มาวันหนึ่ง วิสาขเศรษฐีฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้เป็นพระอนาคามี ไปเรือน เมื่อขึ้นปราสาทไม่ยึดมือที่นางธัมมทินนาผู้ยืนอยู่หัวบันไดยื่นให้ ขึ้นปราสาท แม้เมื่อ นางธัมมทินนาใคร่ครวญดูเหตุนั้นกล่าวว่า ข้าแต่ลูกนาย ทำไมวันนี้ท่านจึงไม่ยึดมือฉัน แม้เมื่อบริโภคอาหารก็ไม่พูดอะไรๆ ฉันมีความผิดอะไรหรือ. วิสาขเศรษฐีกล่าวว่า แม่ธัมมทินนา เธอไม่มีความผิด ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันไม่ควรถูกต้องกายหญิง และไม่ควรทำความเหลาะแหละในอาหาร ฉันแทงตลอดธรรมเช่นนั้นแล้ว ก็ถ้าเธอปรารถนาก็จงอยู่ในเรือนนี้แหละ ถ้าไม่ปรารถนาก็จงถือเอาทรัพย์เท่าที่เธอต้องการไปเรือนตระกูล (ของเธอ). นางธัมมทินนากล่าวว่า ข้าแต่ลูกนาย ฉันจะไม่กลืนอาเจียนที่ท่านคายไว้ ท่านโปรดอนุญาตให้ฉันบวชเถิด. วิสาขเศรษฐีกล่าวว่า สาธุ ธัมมาทินนา แล้วเอาวอทองส่งนางไปสำนักภิกษุณี. นางธัมมทินนาบวชแล้ว เรียนกัมมัฏฐานอยู่ในสำนักภิกษุณีนั้นสองสามวัน ประสงค์จะอยู่อย่างวิเวกจึงไปหาอุปัชฌาย์อาจารย์กล่าวว่า ข้าแต่แม่เจ้าทั้งหลาย ใจของดิฉันไม่ชอบที่เกลื่อนกล่น ดิฉันจะไปสู่อาวาสใกล้บ้าน พวกภิกษุณีพาเธอไปอาวาสใกล้บ้าน เธออยู่ในที่นั้น ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย เพราะเธอย่ำยีสังขารในอดีตได้แล้ว เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑- พระพิชิตมารพระนามปทุมุตตระ ผู้ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ทรงเป็นนายกของโลกเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ในกัปที่ พระสุชาตเถระอัครสาวกของพระปทุมุตตระพุทธเจ้า ออกจากวิหารไป ครั้งนั้น พระศาสดาทรงประกาศตั้งภิกษุณีผู้เป็นธรรมกถึก ในตำแหน่ง คราวนั้น พระสุคตผู้มีพระสุรเสียงก้องกังวาลไพเราะ ได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า แน่ะนางผู้เจริญ ผู้ยินดีบำรุงเราเลี้ยงดูเรากับสงฆ์สาวก ผู้ขวนขวายในการฟังสัทธรรม มีใจเจริญด้วยคุณ เธอจงยินดีเถิด เธอจักได้ผลตามปรารถนา แต่กัปนี้ไปแสนกัป พระศาสดาผู้สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช มีพระนามว่าโคตมะโดยโคตร จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจักเป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้น เป็นโอรสอันธรรมเนรมิต เป็นสาวิกาของพระศาสดาจักมีชื่อว่าธัมมทินนา. ข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นแล้วมีความยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระมหามุนีผู้เป็นนายกวิเศษด้วยปัจจัยทั้งหลายจนตลอดชีวิต ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้ และด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ข้าพเจ้าละร่างมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าเผ่าพันธุ์ผู้ประเสริฐมียศมาก พระนามว่ากัสสปะตามโคตร ประเสริฐกว่าบัณฑิตทั้งหลาย ได้เสด็จอุบัติแล้วในภัทรกัปนี้ ในครั้งนั้นพระเจ้ากาสีพระนามกิงกิ ผู้เป็นใหญ่กว่านรชนในกรุงพาราณสีอันอุดม ทรงเป็นอุปัฏฐฺากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่. ข้าพเจ้าเป็นธิดาคนที่หกของท้าวเธอ ปรากฏนามว่าสุธรรมา ได้ฟังธรรมของพระ ราชธิดา ๗ องค์ คือ นางสมณี ๑ นางสมณคุตตา ๑ นางภิกขุนี ๑ นางภิกขุทาสิกา ๑ นางธรรมา ๑ นางสุธรรมา ๑ และนางสังฆทาสีเป็นคนที่ ๗ เป็นผู้ยินดีบันเทิงใจในการบำรุงพระพุทธเจ้าได้ (กลับชาติ) มาเป็นพระเขมาเถรี ๑ พระอุบลวรรณาเถรี ๑ พระปฏาจาราเถรี ๑ พระกุณฑลเกสีเถรี ๑ พระกิสาโคตมีเถรี ๑ ข้าพเจ้า ๑ และเป็นวิสาขาอุบาสิกาซึ่งเป็นคนที่ ๗. ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้แล้วนั้นและด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ข้าพเจ้าละร่างมนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และในภพหลัง ครั้งนี้ ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลเศรษฐีที่มั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยกามสุขทุกอย่าง ในกรุงราชคฤห์อันอุดม เมื่อข้าพเจ้าประกอบด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ ตั้งอยู่ในปฐมวัย ไปสู่ตระกูลอื่น (แต่งงาน) เพียบพร้อมด้วยความสุข. สามีของข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้า คราวนั้น อุบาสกนั้นเข้าไปหาข้าพเจ้า ได้ถามปัญหาที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อน ข้าพเจ้าพยากรณ์ปัญหาทั้งหมดนั้นได้ พระพิชิตมารทรงยินดีในคุณข้อนั้น จึงทรงตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่ง ข้าพเจ้าอันพระผู้เป็นนายกของสัตว์โลกทรงอนุเคราะห์แล้ว ชื่อว่าเป็นบัณฑิตอย่างนี้ ข้าพเจ้าบำรุงพระศาสดาแล้ว ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ปลงภาระหนักลงแล้ว ถอนตัณหาอันนำไปสู่ภพได้แล้ว กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นผู้ไม่มีเรือน เพื่อต้องการประโยชน์ใด ประโยชน์นั้นคือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งสัญโญชน์ทั้งปวง ข้าพ การมาเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ ของข้าพเจ้าเป็นการมาดีแล้วหนอ ข้าพ ____________________________ ๑- ขุ. อ. เล่ม ๓๓/ข้อ ๑๖๓ ธัมมทินนาเถรีอปทาน ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พระธัมมทินนาเถรีคิดว่าใจของเราหมดกิเลสแล้ว บัดนี้เราจักอยู่ทำอะไรในที่นี้ เราจักไปกรุงราชคฤห์ถวายบังคมพระศาสดา และพวกญาติของเราเป็นจำนวนมากจักกระทำบุญ จึงกลับมากรุงราชคฤห์กับภิกษุณีทั้งหลาย. วิสาขอุบาสกทราบว่าพระธัมมทินนาเถรีมา เมื่อจะทดลองการตรัสรู้ของ พระศาสดาทรงสรรเสริญพระเถรีนั้นด้วยพระพุทธพจน์ว่า วิสาขะ ภิกษุณีธัมมทินนาเป็นบัณฑิตเป็นต้น ทรงประกาศการพยากรณ์ปัญหาเทียบกับพระสัพพัญญุตญาณ ทรงทำจูฬเวทัลล ก็พระเถรีนั้นอยู่ในอาวาสใกล้บ้านนั้น บรรลุมรรคเบื้องต้นแล้วเริ่มต้นเจริญวิปัสสนา เพื่อมรรคเบื้องสูงในกาลใด ในกาลนั้นได้กล่าวคาถานี้ว่า ผู้ที่เกิดฉันทะ มีที่สุด พึงถูกต้องพระนิพพานด้วยใจ ผู้ที่มีจิตไม่ปฏิพัทธ์ในกามทั้งหลาย ท่านเรียกว่าผู้มี กระแสในเบื้องบน. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺทชาตา ได้แก่ เกิดฉันทะเพื่ออรหัตผลความสิ้นสุด คือความจบลง ท่านเรียกว่า อวสายะ. ในบทว่า อวสายี. แม้บทนั้นก็พึงทราบว่า ความจบลงแห่งสมณกิจ เพราะเนื้อความที่ บทว่า มนสา จ ผุฏฺฐา สิยา ความว่า พึงเป็นผู้ถูกต้องคือสัมผัสพระนิพพาน ด้วยมรรคจิตสามดวงเบื้องต่ำ. บทว่า กาเมสุ อปฺปฏิพทฺธจิตฺตา ได้แก่ ผู้มีจิตไม่ปฏิพัทธ์ในกามทั้งหลาย ด้วยอำนาจอนาคามิมรรค. บทว่า อุทฺธํโสตา ความว่า ชื่อว่า ผู้มีกระแสในเบื้องบน เพราะพระเถรีนั้นมีกระแสมรรคและกระแสสังสารวัฏในเบื้องบนนั่นแล. อธิบายว่า เหมือนอย่างว่า อรหัตมรรคย่อมเกิดขึ้นแก่พระอนาคามี มรรคอื่นย่อมไม่เกิดฉันใด ความเกิดขึ้นในภพเบื้องบนเท่านั้น ย่อมมีแก่พระอนาคามีผู้เกิดขึ้นในสุทธาวาสภพมีชั้นอวิหาเป็นต้นจนถึงชั้นอกนิษฐ์ฉันนั้น. จบอรรถกถาธัมมทินนาเถรีคาถาที่ ๑๒ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรีคาถา เอกกนิบาต ๑๒. ธรรมทินนาเถรีคาถา จบ. |