บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
๑. อรรถกถาอุบลวรรณาเถรีคาถา พระเถรีแม้รูปนี้ ครั้งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ก็บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี รู้เดียงสาแล้วก็ไปเฝ้าพระศาสดา พร้อมกับมหาชนฟังธรรม เห็นพระศาสดาทรงสถาปนา ครั้งพระกัสสปพุทธเจ้า ก็ถือปฏิสนธิในพระราชมณเฑียรของพระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกิ กรุงพาราณสี เป็นพระราชธิดาองค์หนึ่งระหว่างพระพี่น้องนาง ๗ พระ ครั้นจุติจากเทวโลกนั้นแล้วก็กลับมาสู่มนุษยโลกอีก บังเกิดในสถานที่ของคนทำงานด้วยมือตนเองเลี้ยงชีวิต ในหมู่บ้านตำบลหนึ่ง. วันหนึ่งนางกำลังเดินไปกระท่อมกลางนา ระหว่างทางเห็นดอกปทุมบานแต่เช้าตรู่ในสระแห่งหนึ่ง จึงลงสู่สระนั้นเก็บดอกปทุมนั้นและใบปทุม สำหรับใส่ข้าวตอก ตัดรวงข้าวสาลีที่คันนา นั่งในกระท่อมคั่วข้าวตอก จัดวางข้าวตอกไว้ ๕๐๐ ดอก. ขณะนั้น ที่ภูเขาคันธมาทน์ พระ ขณะนั้น เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าไปได้หน่อยหนึ่ง นางก็ปริวิตกว่า ธรรมดานักบวชไม่ต้องการดอกไม้ จำเราจะไปถือดอกไม้มาประดับเสียเอง จึงไปถือดอกไม้มาจากมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วก็คิดอีกว่า ถ้าพระผู้เป็นเจ้าไม่ เจ้าพระคุณเจ้าข้า ด้วยผลของข้าวตอกเหล่านี้ของ พระปัจเจกพุทธเจ้าเหาะไปยังภูเขาคันธมาทน์ ทั้งที่นางเห็นอยู่นั่นแล แล้วก็วางดอกปทุมนั้นไว้เป็นเครื่องเช็ดเท้า ใกล้บันไดเหยียบของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ณ เงื้อมเขานันทมูลกะ. ด้วยผลของกรรมนั้น แม้นางก็ถือปฏิสนธิในเทวโลก นับแต่นางบังเกิดแล้ว ปทุมดอกใหญ่ก็ผุดทุกๆ ย่างก้าวของนาง นางจุติจากเทวโลกนั้นแล้วก็บังเกิดในห้องปทุม ในสระปทุมแห่งหนึ่งใกล้เชิงภูเขา. ดาบสองค์หนึ่งอาศัยเชิงภูเขานั้นอยู่ ดาบสนั้นไปสระแต่เช้าตรู่เพื่อล้าง ลำดับนั้น น้ำนมก็เกิดที่หัวนิ้วแม่มือด้วยบุญญานุภาพของนาง เมื่อปทุม ต่อมาวันหนึ่ง สมัยนางเจริญวัยแล้ว เมื่อบิดาไปแสวงหาผลาผล พรานป่าผู้หนึ่งพบนางแล้วคิดว่า ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายที่จะมีรูปอย่างนี้ไม่น่ามี ดังนั้นจำเราจักทดลองนาง จึงนั่งคอยรอให้ดาบสกลับมา. เมื่อบิดากลับมา นางก็เดินสวนทางไปรับหาบและคณโฑน้ำ และเมื่อบิดามานั่งแล้ว ก็แสดงธรรมเนียมหน้าที่ของตน. ครั้งนั้น พรานป่านั้นก็รู้ว่านางเป็นมนุษย์ จึงนั่งกราบดาบส. ดาบสจึงเชื้อเชิญพรานป่านั้น ด้วยเผือกมันผลไม้กับน้ำดื่มแล้วถามว่า พ่อมหาจำเริญ ท่านจักพักอยู่ที่นี้หรือจักไป. เขาตอบว่า จักไปเจ้าข้า ในที่นี้จักทำอะไรได้. ดาบสกล่าวว่า เหตุการณ์ที่ท่านเห็นแล้วนี้ ท่านจักไม่พูดในสถานที่ท่านไปแล้วได้ไหม. เขาตอบว่า ถ้าพระคุณเจ้าไม่ประสงค์ เหตุไรข้าจึงจะพูดเล่าเจ้าข้า ไหว้ดาบสกระทำเครื่องหมายไว้ที่กิ่งไม้และเครื่องหมายที่ต้นไม้ โดยอาการที่พอจะจำหนทางได้เวลาจะมาอีก แล้วกลับไป. แม้พรานป่านั้นไปกรุงพาราณสีแล้วก็เฝ้าพระราชา พระราชาตรัสถามว่า เจ้ามาทำไม. เขา ท้าวเธอทรงสดับคำของพรานป่าแล้ว ก็รีบเสด็จไปยังเชิงเขาตั้งค่ายพักพลในที่ไม่ไกลนัก จึงพร้อมด้วยพรานป่ากับเหล่าทหารเสด็จไปที่บรรณศาลานั้น ในเวลาที่ดาบสฉันเสร็จแล้วนั่งพักอยู่ ทรงไหว้ ทรงทำปฏิสันถารแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง. พระราชาทรงวางเครื่อง ดาบสถวายพระพรว่า โปรดแสดงไปเถิด มหาบพิตร. ตรัสว่า ข้าพเจ้าจักไปเจ้าข้า ได้ยินมาว่า บริษัทที่เป็นข้าศึกมีอยู่ใกล้พระคุณเจ้า บริษัทนั้นไม่สมควรแก่บรรพชิต จงไปเสียกับข้าพเจ้าเถิดนะ เจ้าข้า. ทูลว่า ขึ้นชื่อว่าจิตใจของมนุษย์ ทำให้พอใจได้ยาก นางจะอยู่ท่ามกลางผู้คนจำนวนมากได้อย่างไร. ตรัสว่า นับตั้งแต่ ดาบสสดับพระราชดำรัส จึงเรียกธิดาตามนามที่ตั้งไว้ครั้งยังเล็กว่าลูกปทุมวดี ด้วยการเรียกครั้งเดียวเท่านั้น นางก็ออกจากบรรณศาลามายืนไหว้บิดา ขณะนั้น บิดาจึงกล่าวกะนางว่า ลูกเอ๋ย เจ้าก็โตเป็นสาวแล้ว จะอยู่ในที่นี้นับแต่พระราชาทรงพบแล้ว ไม่ผาสุกดอกนะ จงตามเสด็จไปกับพระราชาเสียเถิดนะลูกนะ. นางรับคำบิดาว่า ดีละพ่อท่าน ไหว้แล้วก็ยืนร้องไห้อยู่. พระราชาทรงดำรัสว่า จำเราจักยึดจิตใจบิดาของนางไว้ ทรงวาง สตรีเหล่านั้นมีปกติริษยาอยู่แล้ว ประสงค์จะทำนางให้แตกกันระหว่างพระราชา จึงพากันเพ็ดทูลอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม สตรีผู้นี้มิใช่มนุษย์ดอกเพคะ ทูลกระหม่อมเคยทอดพระเนตรเห็นดอกปทุมผุดขึ้นในถิ่นที่มนุษย์สัญจรไปที่ไหนเล่าเพคะ นางผู้นี้ต้องเป็นยักษิณีแน่ ขอทูลกระหม่อมโปรดเนรเทศมันไปเสียเถิดเพคะ. พระราชาทรงสดับคำของสตรีเหล่านั้น ก็ได้แต่ทรงนิ่งอึ้ง. ต่อมา เมืองชายแดนของพระราชาเกิดแข็งเมือง ท้าวเธอทรงพระดำริว่า พระนางปทุมวดีมีพระครรภ์แก่ จึงทรงพักพระนางไว้ใน พอทารกของพระนางประสูติออกมา เจ้าจงนำออกไปแล้ว เอาเลือดทาไม้ท่อนหนึ่งวางไว้ใกล้ๆ ไม่นานนัก พระนางปทุมวดีก็ประสูติพระมหา ขณะนั้น หญิงรับใช้ของพระนางรู้ว่า พระนางยังไม่ได้พระสติ ก็เอาเลือดทาไม้ท่อนหนึ่งแล้ววางไว้ใกล้ๆ แล้วให้สัญญาณแก่สตรีเหล่านั้น สตรีทั้ง ๕๐๐ คนก็รับพระกุมารไปคนละองค์ส่งไปสำนักช่างกลึง ให้นำกล่องตลับมาใส่พระกุมารที่แต่ละคนรับไว้ ให้บรรทมในกล่องตลับนั้น ตีตราข้างนอกกล่องวางไว้. ฝ่ายพระนางปทุมวดีรู้สึกพระองค์แล้วรับสั่งถามหญิงรับใช้ว่า ข้าคลอดแล้วหรือแม่คุณ หญิงรับใช้พูดตะคอกเอากะพระนางว่า พระแม่เจ้าจะได้ทารกมาแต่ไหนเล่า แล้ววางท่อนไม้ทาเลือดไว้เบื้องพระพักตร์ทูลว่า นี้ทารกที่ประสูติออกจากพระครรภ์ของ พระแม่เจ้าละ พระนางทอดพระเนตรเห็นท่อนไม้นั้นก็ทรงโทมนัสให้ผ่าท่อนไม้นั้นโดยเร็วแล้วตรัสสั่งว่า เจ้าจงนำออกไป ถ้าใครเห็นก็จะอายเขา หญิงรับใช้นั้นรับพระราชเสาวนีย์แล้ว ทำเป็นเหมือนว่าหวังดี ก็ผ่าท่อนไม้ใส่เข้าไปในเตาไฟ. ฝ่ายพระราชาเสด็จกลับจากเมืองชายแดน ทรงนับถือฤกษ์ยาม ตรัสสั่งให้จัดค่ายพักพลประทับอยู่ภายนอกพระนคร ขณะนั้น สตรีเหล่านั้นพากันออกไปรับเสด็จพระราชากราบทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม พระองค์คงไม่ทรงเชื่อพวกข้าพระบาท คำที่พวกข้าพระบาทกราบทูล เป็นเหมือนมิใช่เหตุการณ์ ขอพระองค์โปรดเรียกหญิงรับใช้ของพระมเหสีมาสอบถามสิ เพคะ พระเทวีของพระองค์ประสูติเป็นท่อนไม้. พระราชาไม่ทันทรงสอบสวนเหตุการณ์นั้น เข้าพระทัยว่าผู้นี้เห็นจะไม่ใช่ชาติมนุษย์แน่ จึงทรงขับไล่พระนางออกไปจากพระราชมณเฑียร. พร้อมกับพระนางเสด็จออกจากพระราชมณเฑียร ดอกปทุมก็หายไป แม้แต่พระฉวีวรรณแห่งพระสรีระก็เผือดลงไป พระนางลำพังพระองค์เสด็จดำเนินไประหว่างถนน. ขณะนั้น หญิงวัยแก่ผู้หนึ่งพบพระนางก็เกิดรักประดุจว่าลูกสาวตน จึงถามว่าลูกเอ๋ย เจ้าจะไปไหนเล่า. พระนางตรัสตอบว่า ดิฉันเป็นคนจรมากำลังเดินตรวจหาที่อยู่จ้ะ. หญิงแก่กล่าวว่ามาที่นี้สิลูก แล้วพาพระนางไปที่อยู่ จัดแจงอาหารเลี้ยง. เมื่อพระนางประทับอยู่ ณ ที่นั้นโดยทำนองนี้นั่นแล สตรี ๕๐๐ คนนั้นก็ร่วมใจกันกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อม เมื่อพระองค์เสด็จพักค่ายอยู่ ข้าพระบาทมีความปรารถนาว่า เมื่อพระทูลกระหม่อมของพวกข้าพระบาท ชนะสงครามเสด็จกลับมา พวกข้าพระบาทจักทำพลีกรรมบวงสรวงเล่นกีฬาทางน้ำถวายแก่ พระราชาทรงยินดีตามคำของสตรีเหล่านั้น ได้เสด็จไปเพื่อทรงเล่นกีฬาทางน้ำ ณ แม่พระคงคา. สตรีเหล่านั้นต่างถือกล่องตลับ ที่แต่ละคนรับไว้อย่างปกปิด พากันไปยังแม่น้ำ คลุมผ้าไว้เพื่อปกปิดกล่องตลับเหล่านั้น กระโดดลงน้ำปล่อยกล่องตลับไป กล่องตลับแม้เหล่านั้นไปพร้อมกันติดอยู่ที่ตาข่ายซึ่งเขาคลี่ไว้ใต้กระแสน้ำทั้งหมด. ต่อนั้น พวกราชบุรุษก็ยกตาข่ายขึ้น เวลาที่พระราชาทรงกีฬาทางน้ำแล้วเสด็จขึ้นจากน้ำก็เห็นกล่องตลับเหล่านั้น ก็นำมาเฝ้าพระราชา. พระราชาทรงตรวจดูกล่องตลับ ตรัสถามว่าพ่อเอ๋ย อะไรอยู่ในกล่องตลับ. กราบ ท้าวเธอโปรดให้เปิดกล่องเหล่านั้นตรวจดู ทรงให้เปิดกล่องตลับของ ท้าวสักกเทวราชโปรดให้จารึกพระอักษรไว้ภายในกล่องตลับ เพื่อให้พระราชานั้นหมดสงสัยว่า พระกุมารเหล่านั้นบังเกิดในพระครรภ์ของพระนางปทุมวดีเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าพาราณสี. ครั้งนั้น สตรี ๕๐๐ คนเป็นศัตรูของพระนางปทุมวดี ใส่พระกุมารเหล่านั้นลงในกล่องตลับแล้วโยนลงน้ำ ขอพระราชาโปรดทรงทราบเหตุการณ์นี้. พอเปิดกล่องตลับ พระราชาทรงอ่านอักษรพบพระกุมาร ทรงยกพระมหาปทุมกุมารขึ้น รีบเร่งเทียมรถ ตรัสสั่งว่าพวกเจ้าจงจัดม้า วันนี้ เราจักเข้าไปภายในพระนครทำให้สะใจสำหรับผู้หญิงบางจำพวก แล้วเสด็จขึ้นพระมหาปราสาท วางถุงทรัพย์พันกหาปณะบนคอช้าง โปรดให้ตีกลองร้องป่าวไปในพระนครว่า ผู้ใดพบพระนางปทุมวดี ผู้นั้นจงรับทรัพย์พันกหาปณะนี้ไป. พระนางปทุมวดีสดับคำประกาศนั้นแล้วได้ให้สัญญาณแก่มารดาว่า แม่จ๋าจงรับถุงทรัพย์พันกหาปณะจากคอช้างสิจ๊ะ. มารดากล่าวว่า แม่รับทรัพย์เช่นนั้นไม่ได้ดอกจ้ะ. แม้มารดาเมื่อถูกพระนางบอกครั้งที่สองครั้งที่สาม จึงถามว่าลูกเอ๋ย แม่จะพูดว่าอย่างไรเล่าจึงจะรับทรัพย์ได้. พระนางจึงตรัสว่า ลูกสาวฉันเขาพบพระนางปทุมวดีจ้ะ แล้วรับเอา. มารดาคิดว่า เรื่องนั้นจะจริงหรือไม่ก็ช่างเถิด แล้วก็ไปรับเอาถุงทรัพย์พันกหาปณะ. ครั้งนั้น ผู้คนทั้งหลายถามนางว่า แม่พบพระนางปทุมวดีหรือจ้ะแม่. นางกล่าวว่า ฉันไม่พบดอกจ้ะ ลูกสาวฉันเขาว่าเขาพบจ้ะ. ผู้คนเหล่านั้นถามว่า ก็ลูกสาวของแม่อยู่ที่ไหนเล่าแม่แล้วก็ไปกับนาง จำพระนางปทุมวดีได้ ก็หมอบลงแทบเท้าทั้งสอง. เวลานั้น นางรู้ว่า ผู้นี้คือพระนางปทุมวดีเทวี จึงกล่าวว่า ข้อที่พระมเหสีของพระราชาเช่นนี้ ราชบุรุษแม้เหล่านั้นให้ทำความสะอาดที่ประทับอยู่ของพระนางปทุมวดีแล้ว ล้อมไว้ด้วยม่าน ตั้งกองอารักขาไว้ที่ประตู กลับไปกราบทูลพระราชา. พระ พระนางปทุมวดีรับสั่งว่า หม่อมฉันจักไม่ไปโดยวิธีอย่างนี้ ขอได้ทรงโปรดให้ลาดเครื่องอันวิจิตรด้วยผ้าเปลือกไม้อย่างดี ในระหว่างตั้งแต่ที่อยู่ของหม่อมฉันไปจนถึงกรุงราชคฤห์ ให้ติดเพดานผ้าอันวิจิตรด้วยดาวทองไว้ข้างบน เมื่อเครื่องอลังการทุกอย่างที่โปรดส่งมาเพื่อประดับ ประดับ พระราชารับสั่งว่า พวกเจ้าจงทำให้ต้องพระทัยของพระนางปทุมวดีเถิด. ลำดับนั้น พระนางปทุมวดีทรงประดับเครื่องประดับทุกอย่างแล้ว ทรงพระดำริจักเสด็จไปพระราชนิเวศน์ ก็เริ่มเดินทาง. ครั้งนั้น ดอกปทุมทั้งหลายก็ผุดชำแรกเครื่องลาดอันวิจิตรด้วยผ้าเปลือกไม้อย่างดี ในที่ๆ พระนางย่างพระบาทเหยียบไปๆ พระนางครั้นทรงแสดงสมบัติ ฝ่ายพระราชารับสั่งให้เรียกสตรี ๕๐๐ คนนั้นมาแล้วตรัสว่า ดูก่อนพระเทวี เราให้ พระนางทรงทราบว่า ทั่วพระนครต่างกำหนดรู้ว่า หญิงเหล่านั้นเป็นทาสีกันแล้ว จึงกราบทูลถามพระราชาว่า ทูลกระหม่อมเพคะ หม่อมฉันจะทำทาสีของหม่อมฉันให้เป็นไทแก่ตัวได้ไหมเพคะ. รับสั่งว่า เทวี เจ้าปรารถนาก็ได้สิ. จึงทูลว่า เมื่อเป็นดังนั้น ขอได้โปรดให้ตีกลองป่าวประกาศอีกว่าหญิง ๕๐๐ คนที่ทรงให้ตีกลองป่าวประกาศพระราชทานให้เป็นทาสี เมื่อพระราชาทรงทำหญิงเหล่านั้นให้เป็นไทแล้ว พระนางก็ทรงมอบพระราชโอรส ๔๙๙ พระองค์ไว้ในมือสตรีเหล่านั้น เพื่อให้เลี้ยงดู พระมหาปทุม อยู่ต่อมา เมื่อพระราชกุมารเหล่านั้นถึงวัยเล่น พระราชาก็โปรดให้สร้างสถานที่เล่นนานาชนิดไว้ในพระราชอุทยาน. คราวมีพระชันษาได้ ๑๖ พรรษา พระราชกุมารเหล่านั้นทุกพระองค์พร้อมพระทัยกัน ทรงเล่นในสระมงคลโบกขรณีที่ดาดาษด้วยดอกปทุม ในพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นดอกปทุมใหม่บานและดอกปทุมเก่าร่วงหล่นจากขั้ว ทรงดำริว่า ชราเห็นปานนี้ยังมาถึงอนุปาทินนกสังขารที่ไม่มีวิญญาณครองนี้หนอ จะป่วยกล่าวไปไยว่าชราจะไม่มาถึงสรีระของพวกเราเล่า แม้สรีระนี้ก็คงจักมีคติอย่างนี้เหมือนกัน ทรงยึดถือให้เป็นอารมณ์แล้ว ก็บังเกิดพระปัจเจกโพธิญาณทุกพระองค์ เสด็จลุกขึ้นประทับนั่งขัดสมาธิ ณ กลีบดอกปทุมทั้งหลาย. ลำดับนั้น พวกราชบุรุษที่ตามเสด็จไปกับพระราชกุมารเหล่านั้น รู้ว่า พระราชกุมารเหล่านั้นก็ทรงนิ่ง. พวกราชบุรุษจึงไปกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระราชกุมารทั้งหลายประทับนั่งเหนือกลีบปทุมทั้งหลาย เมื่อพวกข้าพระบาททูลก็ไม่ยอมเปล่งพระวาจาเลย พระเจ้าข้า. พระราชารับสั่งว่า พวกเจ้าจงให้พระราชกุมารเหล่านั้นประทับนั่งตามความพอพระทัยเถิด. พระราชกุมารเหล่านั้นได้รับอารักขาตลอดคืนยังรุ่ง จนอรุณขึ้นก็ยัง รับสั่งว่า พวกเราไม่ได้เป็นเทวะ พวกเรา พวกราชบุรุษทูลว่า ข้าแต่พระลูกเจ้า พระองค์ตรัสคำหนัก ธรรมดาว่า พระ พระราชกุมารเหล่านั้นทรงลูบพระเศียรด้วยพระหัตถ์เบื้องขวา ทันใดนั้นเอง เพศ ฝ่ายพระนางปทุมวดีเทวีทรงโศกเศร้าพระทัยว่า เรามีบุตรมากก็กลายเป็นคนไร้บุตรไปเสียแล้ว ด้วยความเศร้าโศกนั้นเอง ก็เสด็จทิวงคตไปบังเกิดในสถานที่ของคนทำงานด้วยมือตนเองเลี้ยงชีพ ในหมู่บ้านใกล้ประตู กรุงราชคฤห์ ต่อมามีสามี วันหนึ่งนำข้าวยาคูไปนาเพื่อให้สามี เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ในจำนวนบุตรของตนเหล่านั้นเอง กำลังเหาะมาเวลาภิกษาจาร จึงรีบรุดไปบอกสามีว่า นายเจ้าขา ดู สามีกล่าวว่า ธรรมดานกสมณะเหล่านี้ย่อมสัญจรไปอย่างนี้ แม้ในที่อื่น. นกสมณะเหล่านั้น ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้าดอกจ้ะ. พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ลงมาในที่ไม่ไกล จากที่คนทั้งสองกำลังพูดกัน. หญิงคนนั้นก็ถวายโภชนะคือ ข้าวสวยและกับส่วนของตนในวันนั้นแด่พระ พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ดีละ ท่านอุบาสิกา, สักการะของท่านก็จงมี วันรุ่งขึ้น หญิงคนนั้นก็ปูอาสนะไว้ ๘ ที่ จัดแจงเครื่องสักการสัมมานะไว้สำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์แล้วก็นั่งคอย. พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ได้รับนิมนต์ ก็ให้สัญญาแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าอื่นๆ ว่า ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย วันนี้ ท่านทั้งหลายอย่าไปที่อื่น ทั้งหมดจงช่วยกันทำการสงเคราะห์มารดาของท่านเถิด. พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นฟังคำของพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์นั้นแล้วร่วมใจกันทุกองค์ เหาะไปปรากฏองค์อยู่ใกล้ประตูเรือนของมารดา แม้นางเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ามากองค์ ก็ไม่หวั่นไหว เพราะได้สัญญามาก่อนแล้ว ก็นิมนต์พระ เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นนั่งตามลำดับ องค์ที่ ๙ ก็เนรมิตอีก ๘ อาสนะ ตนเองก็นั่งอาสนะใกล้ เรือนก็ขยายออกไปเท่ากับจำนวนอาสนะที่เพิ่มขึ้น เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหมดนั่งเรียบร้อยแล้วอย่างนี้ หญิงนั้นก็ถวายสักการะที่ตนจัดแจงสำหรับพระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ จนเพียงพอแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๕๐๐ องค์ แล้วนำดอกอุบลขาบ ๘ กำ มาวางไว้แทบเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ตนนิมนต์มาเท่านั้น กล่าวทำความปรารถนาว่า พระคุณเจ้าข้า ขอวรรณะแห่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายกระทำอนุโมทนาแก่มารดาแล้ว ก็พากันไปยัง แม้นางก็กระทำกุศลจนตลอดชีวิต จุติจากมนุษยโลกแล้วก็บังเกิด สมัยนั้น เวลาที่นางเติบโตเป็นสาวแล้ว พระราชาทั้งหลายทั่วชมพูทวีปพากันส่งทูตไปยังสำนักเศรษฐีว่า ขอจงให้ธิดาแก่เราเถิด พระราชาผู้ชื่อว่าไม่ส่งทูตไปไม่มีเลย ดังนั้นเศรษฐีจึงคิดว่า เราไม่อาจจะยึดเหนี่ยวน้ำพระทัยของพระราชาได้ทั้งหมด แต่จำเราจักทำอุบายอย่างหนึ่งดังนี้แล้ว จึงเรียกธิดามาถามว่า ลูกเอ๋ย บวชเสียได้ไหมลูก. คำของบิดาได้เป็นประหนึ่งน้ำมันที่เคี่ยวแล้วร้อยครั้ง รดลงที่ศีรษะ เพราะนางมีภพสุดท้ายแล้ว เพราะฉะนั้น นางจึงตอบบิดาว่า ลูกจักบวชจ้ะพ่อจ๋า. เศรษฐีนั้นก็ทำสักการะแก่นาง นำไปสำนักภิกษุณีแล้วให้บวช เมื่อนางบวชได้ไม่นานนัก วาระตามกาล [เวร] ในโรงอุโบสถก็มาถึง นางจุดประทีปแล้วกวาดโรงอุโบสถยืนถือนิมิตแห่งเปลวประทีป ตรวจดูบ่อยๆ ก็ทำฌานที่มีเตโชกสิณเป็นอารมณ์ให้บังเกิด กระทำฌานนั้นนั่นแลให้เป็นบาท ก็บรรลุพระอรหัต แม้อภิญญาและปฏิสัมภิทา ก็สำเร็จพร้อมกับพระอรหัตผลนั่นแล. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในคัมภีร์อปทานว่า๑- พระพุทธเจ้าพระนามว่าปทุมุตตระ ผู้ทรงถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ผู้เป็นผู้นำ ทรงอุบัติในแสนกัปนับแต่กัปนี้ไป. ครั้งนั้น ข้าพเจ้าเกิดในสกุลเศรษฐีที่รุ่งโรจน์ด้วยรัตนะนานาชนิด ณ กรุง ข้าพเจ้าเข้าเฝ้าพระมหาวีระพระองค์นั้น ฟังพระธรรมเทศนา เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงเกิดความเลื่อมใสถึงพระชินพุทธเจ้าเป็นสรณะ พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้นำ ทรงยกย่องภิกษุณีผู้มีความละอาย ผู้คงที่ ฉลาดในสมาธิและฌานว่าเป็นเลิศของเหล่าภิกษุณีผู้มีฤทธิ์. ครั้งนั้น ข้าพระองค์มีจิตยินดีตาม จำนงหวังตำแหน่งนั้นจึงนิมนต์พระ ข้าแต่พระมหาวีระมุนีผู้นำ ภิกษุณีเช่นใดทรงยกย่องแล้ว ในกัปที่ ๘ นับแต่กัปนี้ไป ข้าพระองค์จักเป็นภิกษุณีเช่นนั้น ถ้าความปรารถนาสำเร็จ. ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะข้าพระองค์ว่า ดูก่อนแม่นาง เจ้าเป็นคนประเสริฐ ในอนาคต แสนกัปนับแต่กัปนี้ไป พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม โดยพระโคตร ทรงสมภพใน เจ้าจะมีรูปสวย มียศ มีนามว่าอุบลวรรณา จักเป็นทายาทในธรรม ครั้งนั้น ข้าพระองค์มีจิตยินดี มีจิตประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระ ด้วยกรรมที่ทำมาดีนั้นและด้วยการตั้งใจไว้ชอบ ข้าพระองค์ละกายมนุษย์แล้วก็ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จุติจากนั้นแล้วข้าพระองค์ก็เกิดในหมู่มนุษย์ ได้ถวายบิณฑบาตที่ปิดด้วยดอกปทุมแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า. ในกัปที่ ๙๑ นับแต่กัปนี้ไป พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้นำ ผู้มีพระเนตรงาม ผู้มีพระจักษุในธรรมทั้งปวง ทรงอุบัติ. ครั้งนั้น ข้าพระองค์เป็นธิดาเศรษฐีในกรุงพาราณสี ราชธานีแห่งแคว้นกาสี นิมนต์พระสัมพุทธเจ้าผู้นำโลกพร้อมทั้งพระสงฆ์ถวายมหาทาน บูชาพระผู้นำพิเศษด้วยดอกอุบล ได้ปรารถนาความงามแห่งผิวพรรณด้วยใจ. ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะ เป็นพราหมณ์มียศมาก เป็นยอดของศาสดาทั้งหลายอุบัติแล้ว. ครั้งนั้น พระเจ้ากาสีพระนามว่ากิกิ เป็นจอมนรชน ในกรุงพาราณสีราชธานีแห่งแคว้นกาสี ทรงเป็นอุปฐากบำรุงพระ ข้าพระองค์เป็นราชธิดาองค์ที่สองของพระเจ้ากิกินั้น พระนามว่าสมณคุตตา ฟังธรรมของพระชินพุทธเจ้าผู้เลิศแล้ว ชอบพระทัยการบรรพชา แต่พระชนกของพวกข้าพระองค์ไม่ทรงอนุญาต ครั้งนั้น พวกข้าพระองค์อยู่แต่ในพระ พระราชธิดาทรงเข้าอยู่โกมาริพรหมจรรย์ [ไม่มีพระสวามี] เสวยสุข ยินดีเนืองนิตย์ในการบำรุงพระพุทธเจ้า ทรงมีมุทิตาจิต พระธิดา ๗ พระองค์ คือ สมณี สมณคุตตา ภิกขุนี ภิกขุทาสิกา ธัมมา สุธัมมา สังฆทาสิกา ครบ ๗ ปัจจุบันคือ ข้าพระองค์ [อุบลวรรณา] เขมาผู้มีปัญญา ปฏาจารา กุณฑลา [กุณฑลเกสา] กิสาโคตมี ธัมมทินนา วิสาขาครบ ๗. ด้วยกรรมที่ทำมาดีเหล่านั้นและด้วยการตั้งใจไว้ชอบ ข้าพระองค์ละกายมนุษย์แล้วก็ไปสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จุติจากนั้นแล้วข้าพระองค์ก็เกิดในสกุลใหญ่ในหมู่มนุษย์ ได้ถวายผ้าอย่างดีเนื้อเกลี้ยงสีเหลืองแด่พระอรหันต์. ข้าพระองค์จุติจากนั้นแล้วก็เกิดในสกุลพราหมณ์ กรุงอริฏฐบุรี เป็นธิดาของ ครั้งนั้น ข้าพระองค์พบพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ถวายข้าวตอก ๕๐๐ ดอกซึ่งปิดด้วยปทุม ปรารถนาบุตร ๕๐๐ คน แม้บุตรเหล่านั้นก็ปรารถนา ข้าพระองค์ |