![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ได้ยินว่า ในอดีตกาล ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัส ร่างของเปรตนั้นได้มีสีเหมือนทองคำ แต่หน้าของเปรตนั้น เหมือนหน้าสุกร. ลำดับนั้น ท่านพระนารทะอยู่ที่เขาคิชฌกูฏ ชำระร่างกายแต่เช้าตรู่ ถือบาตรและจีวร กำลังเที่ยวบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์ พบเปรตนั้นในระหว่างทาง เมื่อจะถามถึงกรรมที่เปรตนั้นทำ จึงกล่าวคาถาว่า กายของท่านล้วนมีสีดุจทองคำ รัศมีกายของท่านสว่างไสวไปทุกทิศ แต่หน้าของท่านเหมือนหน้าสุกร เมื่อก่อนท่านได้ทำกรรมอะไรไว้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาโย เต สพฺพโส วณฺโณ ความว่า กายคือร่างของท่านล้วนมีสีดุจทองคำ คือคล้ายทองคำที่สุกปลั่ง. บทว่า สพฺพา โอภาสเต ทิสา ความว่า รัศมีกายของเขาสว่างไสวโชติช่วง ไปโดยรอบทั่วทุกทิศ. อีกอย่างหนึ่ง ในคำว่า บทว่า โอภาสเต นี้มีเหตุเป็นเครื่องหยั่งลงในภายในเป็นอรรถ พึงเห็นความว่า กายของท่านล้วนมีสีดุจทองคำ สว่างไสว โชติช่วงไปทั่วทุกทิศ. บทว่า มุขํ เต สูกรสุเสว ได้แก่ ก็หน้าของท่านเหมือนสุกร, อธิบายว่า หน้าของท่านเสมือนหน้าสุกร. ด้วยบทว่า กึ กมฺมมกรี ปุเร ความว่า ท่านพระนารทะถามว่า เมื่อก่อนคือในอดีตชาติ ท่านได้ทำกรรมเช่นไรไว้. เปรตนั้นถูกพระเถระถามถึงกรรมที่ตนทำอย่างนี้ เมื่อจะตอบด้วยคาถาจึงกล่าวว่า :- ข้าแต่ท่านนารทะ เมื่อก่อนข้าพเจ้าได้สำรวมทางกาย แต่ไม่สำรวมทางวาจา เพราะเหตุนั้น รัศมีกายของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นกับที่ท่านเห็นอยู่นั้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเยน สญฺญโต อาสึ ความว่า ข้าพเจ้าสำรวมด้วยการสำรวมทางกาย คือได้เป็นผู้สำรวมด้วยดีด้วยการสำรวมทางกายทวาร. บทว่า วาจายาสิมสญฺญโต ความว่า แต่ข้าพเจ้าไม่ได้สำรวมทางวาจา คือได้เป็นผู้ประกอบด้วยการไม่สำรวมทางวาจา. บทว่า เตน ได้แก่ เพราะการสำรวมและการไม่สำรวมทั้งสองอย่างนั้น. บทว่า เม แปลว่า ของข้าพเจ้า. บทว่า เอตาทิโส วณฺโณ ได้แก่ รัศมีกายของข้าพเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ คือเป็นเช่นกับที่ท่านเห็นประจักษ์อยู่นั่นแหละท่านนารทะ. มีวาจาประกอบความว่า ข้าพเจ้ามีกาย มีทรวดทรงเหมือนมนุษย์ มีสีดุจทองคำ แต่มีหน้าเหมือนหน้าสุกร. ก็ วณฺณศัพท์ในคาถานี้ พึงเห็นว่าใช้ในอรรถว่า ผิวพรรณและทรวดทรง. เปรตถูกพระเถระถามอย่างนี้ ครั้นแก้คำถามนั้นแล้ว เมื่อจะทำความนั้นนั่นแหละให้เป็นเหตุแล้วตักเตือนพระเถระ จึงกล่าวคาถาว่า :- ข้าแต่ท่านพระนารทะ เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่าน สรีระ บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตํ แก้เป็น ตสฺมา แปลว่า เพราะเหตุนั้น. บทว่า ตฺยาหํ ตัดเป็น เต อหํ. เปรตเรียกพระเถระด้วยคำว่า นารทะ. บทว่า พฺรูมิ แปลว่า ข้าพเจ้าจะบอก. บทว่า สามํ แปลว่า ข้าพเจ้าเอง. ด้วยบทว่า อิทํ เปรตกล่าวหมายถึงร่างกายของตน. ก็ในคำนี้มีอธิบายดังนี้ ข้าแต่ท่านพระนารทะผู้เจริญ เพราะเหตุที่ร่างกายของข้าพเจ้านี้ ตั้งแต่คอลงไปถึงกายท่อนล่างมีทรวดทรงเหมือนมนุษย์ กายท่อนบนมีทรวดทรงเหมือนสุกรที่ท่านเห็นประจักษ์อยู่นั่นแหละ. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะขอกล่าวเตือนท่าน. เพื่อจะเลี่ยงคำถามว่า เธอกล่าวอย่างไร? เปรตจึงกล่าวว่า ขอท่านอย่าได้ทำบาปด้วยปาก อย่าให้หน้าสุกรเกิดมีแก่ท่านเลย. บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า มา เป็นนิบาตใช้ในอรรถปฏิเสธ. บทว่า มุขสา แปลว่า ด้วยปาก. ศัพท์ว่า โข ใช้ในอวธารณะ ห้ามเนื้อความอื่น. อธิบายว่า ท่านอย่าได้ทำ คือจงอย่าทำกรรมชั่วทางวาจาเลย. ด้วยบทว่า มา โข สูกรมุโข อหุ นี้ เปรตปฏิเสธเฉพาะเหตุ แม้โดยมุ่งถึงการปฏิเสธผลว่า หน้าสุกรเหมือนเราอย่าได้มีเลย ก็ถ้าว่าท่านเป็นคนปากกล้า พึงทำความชั่วด้วยวาจาไซร้ ท่านก็จะพึงเป็นผู้มีหน้าเหมือนสุกรโดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้น ท่าน ลำดับนั้น ท่านพระนารทะเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ กลับจากบิณฑบาตภายหลังอาหาร กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระศาสดาผู้ประทับนั่ง พระศาสดาตรัสว่า นารทะเมื่อก่อนแล เราได้เคยเห็นสัตว์นั้นแล้ว เมื่อจะทรงประกาศโทษอันต่ำทรามโดยอาการเป็นอเนกซึ่งอาศัยวจีทุจริตและอานิสงส์อันเกี่ยวด้วยวจีสุจริต จึงทรงแสดงธรรม. เทศนานั้นได้มีประโยชน์แก่บริษัทผู้ถึงพร้อมแล้วแล. จบอรรถกถาสูกรเปตวัตถุที่ ๒ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ปฐมวรรค ๒. สูกรเปตวัตถุ จบ. |