ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1433 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1443 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1453 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา พิลารโกสิยชาดก
ว่าด้วย ให้ทานไม่ได้เพราะเหตุ ๒ อย่าง

               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้มีทานเป็นเครื่องปลื้มใจรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อปจนฺตาปิ ดังนี้.
               ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นฟังพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว บวชในพระศาสนา จำเดิมแต่บวชแล้ว เป็นผู้มีทานเป็นเครื่องปลื้มใจ มีอัธยาศัยยินดีในการให้ทาน ยังไม่ได้ให้บิณฑบาตที่ตกลงในบาตรแก่ผู้อื่นก่อนแล้วก็ไม่ฉัน โดยที่สุดได้แม้น้ำดื่มมา ยังไม่ให้แก่ผู้อื่นแล้วก็ไม่ดื่ม ได้เป็นผู้ยินดียิ่งในทานด้วยอาการอย่างนี้.
               ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายพากันพรรณนาคุณของภิกษุรูปนั้นในธรรมสภา
               พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันถึงเรื่องอะไร? เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว รับสั่งให้เรียกภิกษุนั้นมา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอมีทานเป็นเครื่องปลื้มใจ มีอัธยาศัยยินดีในการให้ทาน จริงหรือ?
               เมื่อภิกษุนั้นกราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า
               จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนภิกษุนี้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส แม้แต่หยดน้ำมันก็ไม่เอาปลายหญ้าคาจิ้มให้ใคร คราวนั้นเราทรมานเขาทำให้หมดพยศ ให้ตั้งอยู่ในผลแห่งทาน แม้ในภพต่อๆ มา ก็ยังละทานวัตรนั้นไม่ได้
               ภิกษุทั้งหลายทูลอาราธนาให้ตรัสเรื่องราว จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเศรษฐี เจริญวัยแล้วรวบรวมทรัพย์ไว้ได้มาก ครั้นบิดาล่วงลับไปก็ได้ตำแหน่งเศรษฐี
               วันหนึ่ง ตรวจตราดูทรัพย์สมบัติแล้วคิดว่าทรัพย์ยังปรากฏอยู่ แต่ผู้ที่ทำให้ทรัพย์เกิดขึ้นไม่ปรากฏ เราควรสละทรัพย์นี้ให้ทานจึงให้สร้างโรงทานบำเพ็ญทานเป็นการใหญ่ตลอดชีวิต กาลเมื่อจะสิ้นอายุได้ให้โอวาทแก่บุตรไว้ว่า เจ้าอย่าตัดทานวัตรนี้เสีย แล้วตายไปเกิดเป็นท้าวสักกะ ณ ดาวดึงส์พิภพ.
               แม้บุตรของเศรษฐีนั้นก็ให้ทานเช่นนั้นเหมือนกัน แล้วกล่าวสอนบุตร ครั้นสิ้นอายุได้เกิดเป็นจันทเทพบุตร บุตรของเขาได้เกิดเป็นสุริยเทพบุตร บุตรของเขาได้เกิดเป็นมาตลีสังคาหกเทพบุตร บุตรของเขาได้เกิดเป็นคนธรรพ์เทพบุตร ชื่อปัญจสิขะ.
               แต่บุตรชั้นที่ ๖ เป็นคนไม่มีศรัทธา มีจิตกระด้างไม่รักการให้ทานเป็นคนตระหนี่ เขาให้คนรื้อโรงทานเผาเสียให้โบยตีพวกยาจกไล่ไปสิ้น แม้หยาดน้ำผึ้งก็ไม่รินให้แก่ใครๆ ด้วยหญ้าคา.
               ในกาลครั้งนั้น ท้าวสักกเทวราชตรวจตราดูบุพกรรมของพระองค์ ใคร่ครวญว่าวงศ์ทานของเรายังเป็นไปอยู่หรือไม่หนอ ทรงทราบว่า
                         บุตรของเราบำเพ็ญทานเกิดเป็นจันทเทพบุตร
                         บุตรของจันทเทพบุตรเกิดเป็นสุริยเทพบุตร
                         บุตรของสุริยเทพบุตรเกิดเป็นมาตลีเทพบุตร
                         บุตรของมาตลีเทพบุตรเกิดเป็นปัญจสิขเทพบุตร
               แต่บุตรชั้นที่หกได้ตัดวงศ์ทานนั้นเสีย ครั้งนั้นพระองค์ได้ทรงมีพระดำริว่า เราจักทรมานเศรษฐีผู้มีใจลามกนี้ให้รู้จักผลทานแล้วจักมา พระองค์จึงรับสั่งให้หาจันทสุริยมาตลีและปัญจสิขเทพบุตรมาตรัสว่า ดูก่อนสหาย เศรษฐีที่ ๖ ในวงศ์ของพวกเราตัดวงศ์ตระกูลขาดเสียแล้ว ให้เผาโรงทาน ให้ขับไล่พวกยาจกไปเสีย ไม่ให้อะไรแก่ใครๆ มาเถิดท่านทั้งหลาย พวกเราจักไปทรมานเศรษฐีนั้น ดังนี้แล้วได้เสด็จไปยังกรุงพาราณสีพร้อมด้วยเทพบุตรทั้ง ๔ นั้น.
               ขณะนั้น เศรษฐีไปเฝ้าพระราชา แล้วมาแลดูระหว่างถนนอยู่ที่ซุ้มประตูที่ ๗ ท้าวสักกะตรัสกะเทพบุตรทั้ง ๔ ว่า เวลาเราเข้าไปแล้ว ท่านทั้งหลายจงตามเข้าไปโดยลำดับ ดังนี้แล้วไปยืนอยู่ในสำนักเศรษฐี
               ตรัสว่า ดูก่อนมหาเศรษฐีผู้เจริญ ท่านจงให้โภชนะแก่ข้าพเจ้าบ้าง
               เศรษฐีกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ที่นี้ไม่มีภัตสำหรับท่าน ไปที่อื่นเถิด
               ท้าวสักกะตรัสว่า ท่านมหาเศรษฐีผู้เจริญ เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายขอภัตท่านควรให้
               เศรษฐีตอบว่า ท่านพราหมณ์ ภัตนี่หุงสุกแล้วก็ดี ที่จะพึงหุงก็ดี ไม่มีในเรือนของเรา ท่านจงไปที่อื่นเถิด.
               ท้าวสักกะตรัสว่า ท่านมหาเศรษฐี เราจักกล่าวสรรเสริญท่านอย่างหนึ่งท่านจงฟัง
               เศรษฐีตอบว่า เราไม่ต้องการความสรรเสริญของท่าน ท่านจงไปเถิดอย่ายืนอยู่ที่นี้เลย
               ท้าวสักกะทำเป็นไม่ได้ยินคำของเศรษฐี ได้ตรัสคาถา ๒ คาถาว่า :-
               สัตบุรุษทั้งหลายแม้ไม่หุงกินเอง ได้โภชนะมาแล้ว ก็ไม่ปรารถนาจะบริโภคผู้เดียว ท่านหุงโภชนะไว้มิใช่หรือ การที่ท่านไม่ให้นั้นไม่สมควรแก่ท่าน.
               บุคคลให้ทานไม่ได้ด้วยเหตุ ๒ อย่างนี้ คือความตระหนี่ ๑ ความประมาท ๑ บัณฑิตผู้รู้แจ้ง เมื่อต้องการบุญพึงให้ทานแท้.


               ความแห่งคาถาเหล่านั้นว่า ท่านมหาเศรษฐีผู้เจริญ สัตบุรุษทั้งหลายผู้สงบแล้วแม้ไม่หุงกินเอง ก็ปรารถนาจะให้โภชนะแม้ที่ได้มาแล้วด้วยภิกขาจาร ย่อมไม่บริโภคผู้เดียว.
               บทว่า กิเมว ตฺวํ ความว่า ทั้งๆ ที่ท่านหุงอยู่ก็ไม่ให้. บทว่า น ตํ สมํ ความว่า การที่ท่านไม่ให้นั้น ไม่สมควรคือไม่เหมาะแก่ท่าน.
               ก็บุคคลให้ทานไม่ได้ด้วยเหตุ ๒ อย่างคือ ความตระหนี่ ๑ ความประมาท ๑ ก็มนุษย์ผู้เป็นบัณฑิต ผู้รู้แจ้ง ผู้เช่นกับด้วยท่าน เมื่อต้องการบุญควรให้ทานทีเดียว.

               เศรษฐีได้ฟังคำท้าวสักกะแล้วกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นท่านจงเข้าไปนั่งที่เรือนเถิด จักได้หน่อยหนึ่ง ท้าวสักกะได้เข้าไปนั่งสวดสรรเสริญอยู่.
               ลำดับนั้น จันทเทพบุตรได้มาขอภัตกะเศรษฐีนั้นและเมื่อเศรษฐีกล่าวว่า ภัตสำหรับท่านไม่มีจงไปเสียเถิด จึงกล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐี พราหมณ์คนหนึ่งนั่งอยู่แล้วภายในเรือน เห็นจะมีสวดพราหมณ์กระมัง เราจักเข้าไปสวดบ้าง แม้เศรษฐีจะกล่าวว่า ไม่มีสวดพราหมณ์ท่านจงออกไป ก็กล่าวว่า ท่านมหาเศรษฐี เชิญท่านฟังบทสรรเสริญก่อน
               แล้วกล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
               คนผู้ตระหนี่กลัวความยากจน ย่อมไม่ให้อะไรๆ แก่ผู้ใดเลย ความกลัวจนนั่นแหละจะเป็นภัยแก่คนผู้ไม่ให้ คนตระหนี่ย่อมกลัวความอยากข้าวอยากน้ำ ความกลัวนั่นแหละจะกลับมาถูกต้องคนพาลทั้งในโลกนี้และโลกหน้า.
               เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงครอบงำมลทิน กำจัดความตระหนี่เสียแล้ว พึงให้ทานเถิด เพราะบุญย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในโลกหน้า.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺส ภายติ ความว่า ย่อมกลัวความอยากข้าวอยากน้ำใดว่า เราให้แก่ชนเหล่าอื่นเสียแล้ว ก็จักกลายเป็นคนอยากข้าวอยากน้ำเสียเอง.
               บทว่า ตเมว เป็นต้น ความว่า ความกลัว กล่าวคือความอยากข้าวอยากน้ำนั่นแหละจะกลับมาถูกต้อง คือเบียดเบียนคนพาลนั้น ทั้งในโลกนี้และโลกหน้าในที่ที่เขาเกิดแล้ว เขาจะถึงความยากจนอย่างที่สุด.
               บทว่า มลาภิภู คือครอบงำมลทิน คือความตระหนี่.

               เศรษฐีได้ฟังคำของจันทเทพบุตรแม้นั้นแล้วกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเข้าไปจักได้หน่อยหนึ่ง จันทเทพบุตรเข้าไปนั่งใกล้ท้าวสักกะ ต่อจากนั้นสุริยเทพบุตรปล่อยให้เวลาล่วงไปหน่อยหนึ่งแล้วมา
               เมื่อขอภัตได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า :-
               ทานผู้ให้ให้ได้ยาก เพราะต้องครอบงำความตระหนี่ก่อนแล้วจึงให้ได้ การทำทานนั้นทำยากแท้ อสัตบุรุษทั้งหลายย่อมไม่ทำทานตามที่สัตบุรุษทำแล้ว ธรรมของสัตบุรุษอันคนอื่นรู้ได้ยาก.
               เพราะเหตุนั้น การไปจากโลกนี้ของสัตบุรุษกับอสัตบุรุษจึงต่างกัน อสัตบุรุษย่อมไปนรก สัตบุรุษย่อมไปสวรรค์.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุทฺททํ ความว่า ขึ้นชื่อว่าทาน บุคคลให้ได้ยากเพราะผู้ที่จะให้ทานนั้นต้องครอบงำความตระหนี่เสียก่อนจึงให้ได้.
               บทว่า ทุกฺกรํ ความว่า การทำทานนั้นทำยากแท้คล้ายกับการรบศึก.
               บาทคาถาว่า อสนฺโต นานุกุพฺพนฺติ ความว่า พวกอสัตบุรุษไม่รู้จักผลแห่งทาน ก็ไม่เดินตามทางที่พวกสัตบุรุษเหล่านั้นดำเนินไปแล้ว.
               บทว่า สตํ ธมฺโม ความว่า ธรรมของสัตบุรุษ คือพระโพธิสัตว์ทั้งหลายอันคนอื่นรู้ได้ยาก.
               บทว่า อสนฺโต ความว่า พวกอสัตบุรุษไม่ให้ทานด้วยอำนาจแห่งความตระหนี่ ย่อมไปสู่นรก.

               เศรษฐีไม่เห็นว่าจะหยิบเอาของที่ควรหยิบยื่นให้ไปได้ จึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเข้าไปนั่งอยู่ในสำนักพราหมณ์ทั้งหลาย จักได้หน่อยหนึ่ง. ต่อแต่นั้นมาตลีเทพบุตรปล่อยให้เวลาล่วงไปหน่อยหนึ่งแล้วมาขอภัต
               ในระหว่างที่เศรษฐีตอบว่าไม่มีนั่นแหละ ได้กล่าวคาถาที่ ๗ ว่า :-
               บัณฑิตพวกหนึ่งให้ไทยธรรมแม้มีส่วนเล็กน้อยได้ สัตว์บางพวกแม้มีไทยธรรมมากก็ให้ไม่ได้ ทักษิณาทานที่บุคคลให้จากของเล็กน้อย ก็นับว่าเสมอด้วยการให้จำนวนพัน.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปฺปมฺเปเก ปเวจฺฉนฺติ มีอธิบายว่า ดูก่อนมหาเศรษฐี บุรุษผู้เป็นบัณฑิตบางพวกย่อมแบ่งปัน คือย่อมให้ไทยธรรมแม้น้อย.
               บทว่า พหุนา เป็นต้น ความว่า สัตว์บางพวกแม้มีไทยธรรมมากก็ให้ไม่ได้ คือไม่ให้เลย.
               ทานที่บุคคลเชื่อกรรมเชื่อผลแห่งกรรมแล้วให้ชื่อว่าทักษิณา.
               บทว่า สหสฺเสน สมํ ความว่า ทักษิณาทานแม้ประมาณข้าวสักทัพพีเดียวที่บุคคลให้แล้วอย่างนี้ ก็นับว่าเสมอกับด้วยการให้จำนวนตั้งพัน คือเป็นเช่นกับด้วยการให้จำนวนตั้งพันนั่นเทียว เพราะมีผลมาก.

               เศรษฐีกล่าวกะมาตลีเทพบุตรแม้นั้นว่า ถ้าเช่นนั้น ท่านจงเข้าไปนั่งเถิด
               ต่อจากนั้น ปัญจสิขเทพบุตรปล่อยให้เวลาล่วงไปหน่อยหนึ่งแล้วมาขอภัต เมื่อเศรษฐีกล่าวว่าไม่มีไปเสียเถิด จึงกล่าวว่า เราไม่เลยไป ในเรือนนี้เห็นจะมีสวดพราหมณ์กระมัง
               เมื่อจะเริ่มธรรมกถาแก่เศรษฐี จึงกล่าวคาถาที่ ๘ ว่า :-
               แม้ผู้ใดเที่ยวไปขออาหารมา ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติธรรม อนึ่ง บุคคลผู้เลี้ยงบุตรและภรรยาของตน เมื่อไทยธรรมมีน้อย ก็เฉลี่ยให้แก่สมณะและพราหมณ์ บุคคลนั้นชื่อว่าประพฤติธรรม
               เมื่อคนตั้งแสนฆ่าสัตว์มาบูชาแก่คนผู้ควรบูชาจำนวนพัน อิสรภาพนับตั้งแสนนั้น ย่อมไม่ถึงแม้เสี้ยวแห่งผลทานของคนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดยชอบให้อยู่.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมํ ได้แก่ธรรมคือสุจริต ๓ ประการ.
               บทว่า สมุจฺฉกํ ความว่า แม้ผู้ใดเที่ยวไปขออาหารดิบแลสุกตามบ้านก็ตาม นำผลาผลมาแต่ป่าก็ตาม ผู้นั้นชื่อว่าประพฤติธรรมนั่นแล.
               บทว่า ทารญฺจ โปสํ ความว่า อนึ่ง บุคคลผู้เลี้ยงบุตรและภรรยาของตน.
               บทว่า ททํ อปฺปกสฺมึ ความว่า แม้เมื่อไทยธรรมมีน้อย เมื่อเฉลี่ยให้แก่สมณะและพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ชื่อว่าประพฤติอยู่ซึ่งธรรม.
               บทว่า สตสหสฺสานํ สหสฺสยาคินํ ความว่า ยัญที่คนตั้งแสนฆ่าสัตว์อื่นมาบูชาแก่คนที่ควรบูชาจำนวนพัน คือเมื่ออิสรชนตั้งแสนบูชาแก่คนที่ควรบูชาจำนวนพันอยู่.
               บทว่า กลฺลํปิ นาคฺฆนฺติ ตถาวิธสฺส เต ความว่า อิสรภาพนับตั้งแสนนั้น คือยัญที่บูชาแก่คนที่ควรบูชาจำนวนพัน ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งผลทานของทุคคตมนุษย์ผู้ยังไทยธรรมให้เกิดขึ้นโดยธรรมสม่ำเสมอให้อยู่.

               ลำดับนั้น เศรษฐีได้กำหนดฟังถ้อยคำของปัญจสิขเทพบุตรแล้ว
               ทีนั้น เศรษฐีเมื่อจะถามถึงเหตุแห่งการบูชาอันไร้ผล กะปัญจสิขเทพบุตรนั้น
               จึงกล่าวคาถาที่ ๙ ว่า :-
               เพราะเหตุไร ยัญนี้ก็ไพบูลย์มีค่ามาก จึงไม่เท่าค่าแห่งผลทานที่บุคคลให้โดยชอบธรรมเล่า? ไฉนอิสรภาพนับด้วยแสนของผู้ที่บูชามากมายหลายพันนั้น จึงไม่เท่าแม้ส่วนเสี้ยวแห่งผลทานของคนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดยชอบให้อยู่.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยญฺโญ ความว่า การให้และการบูชาชื่อว่าไพบูลย์ด้วยสามารถแห่งการบริจาคทรัพย์นับด้วยแสน และชื่อว่ามีค่ามากเพราะมีผลไพบูลย์.
               บทว่า สเมน ทินฺนสฺส ความว่า เพราะเหตุไรจึงไม่เท่าค่าแห่งผลทานที่บุคคลให้โดยชอบธรรมเล่า?
               บทว่า กถํ สหสฺสานํ ความว่า ดูก่อนพราหมณ์ ไฉนอิสรภาพนับด้วยแสนของคนที่บูชาจำนวนพันๆ คือของคนจำนวนมากมายหลายพัน จึงไม่ถึงเสี้ยวที่ ๑๖ แห่งผลทานของทุคคตมนุษย์คนเดียวผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดยธรรมแล้วให้อยู่.

               ลำดับนั้น ปัญจสิขเทพบุตรเมื่อจะกล่าวแก่เศรษฐีนั้น ได้กล่าวคาถาสุดท้ายว่า :-
               เพราะว่า คนบางพวกตั้งอยู่ในกายกรรมเป็นต้นอันไม่เสมอกัน ทำสัตว์ให้ลำบากบ้าง ฆ่าให้ตายบ้าง ทำให้เศร้าโศกบ้าง แล้วจึงให้ทาน ทักขิณาทานนั้น มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา พร้อมทั้งอาชญา จึงไม่เท่าถึงส่วนเสี้ยวแห่งผลทานที่บุคคลให้แล้วโดยชอบธรรม
               เพราะอย่างนี้ อิสรภาพนับด้วยแสนของผู้ที่บูชามากมายหลายพันเหล่านั้น จึงไม่เท่าถึงส่วนเสี้ยวแห่งผลทานของคนเข็ญใจผู้ยังไทยธรรมให้เกิดโดยชอบให้อยู่.


               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิสเม คือ ตั้งอยู่ในกายกรรมเป็นต้นอันไม่เสมอกัน.
               บทว่า ฆตฺวา คือ ทำสัตว์ให้ลำบาก. บทว่า วธิตฺวา คือ ทำสัตว์ให้ตาย. บทว่า โสจยิตฺวา คือ ทำสัตว์ให้มีความเศร้าโศก.

               เศรษฐีนั้นฟังธรรมกถาของปัญจสิขเทพบุตรแล้ว กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นไปเถิดท่านจงเข้าไปนั่งในเรือน จะได้หน่อยหนึ่ง ปัญจสิขเทพบุตรได้ไปนั่งในสำนักของพราหมณ์เหล่านั้น
               ลำดับนั้น พิลารโกสิยเศรษฐีเรียกทาสีคนหนึ่งมา สั่งว่า เจ้าจงให้ข้าวลีบแก่พราหมณ์เหล่านี้คนละทะนาน นางทาสีถือทะนานข้าวเปลือกเข้าไปหาพราหมณ์แล้ว กล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงเอาข้าวเปลือกเหล่านี้ไปหุงกิน ณ ที่ใดที่หนึ่ง
               พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวว่า พวกเราไม่ต้องการข้าวเปลือก พวกเราไม่จับต้องข้าวเปลือก นางทาสีบอกเศรษฐีว่า ได้ยินว่าพราหมณ์ทั้งหลายไม่จับต้องข้าวเปลือก เศรษฐีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงให้ข้าวสารแก่พราหมณ์เหล่านั้น
               นางทาสีได้ถือเอาข้าวสารไปให้พวกพราหมณ์แล้วกล่าวว่า ท่านพราหมณ์ทั้งหลาย ขอพวกท่านจงรับเอาข้าวสารเถิด พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวว่า พวกเราไม่รับของดิบ
               นางทาสีบอกเศรษฐีว่า ข้าแต่นาย ได้ยินว่าพราหมณ์ทั้งหลายไม่รับของดิบ เศรษฐีกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น เจ้าจงคดข้าวสำหรับโคกินใส่กะโหลกไปให้แก่พวกพราหมณ์เหล่านั้น
               นางทาสีได้คดข้าวสุกสำหรับโคกินใส่กะโหลกไปให้พราหมณ์เหล่านั้นแล้ว พราหมณ์ทั้ง ๕ ปั้นข้าวเป็นคำๆ ใส่ปากทำให้ข้าวติดคอแล้วกลอกตาไปมานอนทำเป็นตายหมดความรู้สึก
               ทาสีเห็นดังนั้นคิดว่า พราหมณ์จักตาย จึงกลัวไปบอกเศรษฐีว่า ข้าแต่นาย พราหมณ์เหล่านั้นไม่อาจจะกลืนข้าวสำหรับโคได้ตายหมดแล้ว.
               เศรษฐีนั้นคิดว่า คราวนี้คนทั้งหลายจักติเตียนเราว่า เศรษฐีนี้มีใจชั่ว ให้นางทาสีให้ข้าวสำหรับโคแก่พวกพราหมณ์ผู้สุขุมาลชาติ พวกพราหมณ์เหล่านั้นไม่อาจกลืนข้าวนั้นได้จึงตายหมด
               ลำดับนั้น เศรษฐีจึงกล่าวกะทาสีว่า เจ้าจงรีบไปเอาข้าวสำหรับโคในกะโหลกเหล่านั้นมาเสีย แล้วจงคดข้าวสาลีที่โอชารสไปให้ใหม่ นางได้กระทำตามนั้นแล้ว
               เศรษฐีเรียกพวกคนเดินถนนมาบอกว่า เราให้ทาสีนำอาหารตามที่เราเคยบริโภคไปให้พวกพราหมณ์เหล่านี้ พราหมณ์เหล่านี้มีความโลภบริโภคคำใหญ่ๆ จึงติดคอตาย ท่านทั้งหลายจงรู้ว่าเราไม่มีความผิด แล้วให้ประชุมบริษัท.
               เมื่อมหาชนประชุมกันแล้ว พราหมณ์ทั้งหลายลุกขึ้นแลดูมหาชนแล้วกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงดูเศรษฐีนี้กล่าวเท็จ เศรษฐีกล่าวว่าได้ให้ข้าวสำหรับตนบริโภคแก่พวกเรา ความจริงเศรษฐีได้ให้ข้าวสำหรับโคกินแก่พวกเราก่อน เมื่อพวกเราทำเป็นนอนตาย จึงให้ทาสีไปคดข้าวนี้ส่งมาให้ กล่าวดังนี้แล้วจึงคายข้าวที่อมไว้ในปากลงบนพื้นดินแสดงแก่มหาชน
               มหาชนพากันติเตียนเศรษฐีว่า แน่ะคนอันธพาลเจ้าทำวงศ์ตระกูลของตนให้พินาศ ให้เผาโรงทาน ให้จับคอพวกยาจกขับไล่ไป บัดนี้ เมื่อจะให้ข้าวแก่พวกพราหมณ์สุขุมาลชาติเหล่านี้ ได้เอาข้าวสำหรับโคกินให้ เมื่อเจ้าจะไปปรโลก เห็นจะเอาสมบัติในเรือนของเจ้าผูกคอไปด้วยกระมัง.
               ขณะนั้น ท้าวสักกะถามมหาชนว่า ท่านทั้งหลายรู้ไหมว่า ทรัพย์ในเรือนนี้เป็นของใคร
               มหาชนตอบว่า ไม่รู้
               ท้าวสักกะถามว่า พวกท่านเคยได้ยินไหมว่าครั้งกระโน้น ในพระนครนี้มีมหาเศรษฐี เมืองพาราณสี สร้างโรงทานแล้วบำเพ็ญทานเป็นการใหญ่
               มหาชนตอบว่า ถูกแล้ว พวกเราได้ยิน
               ท้าวสักกะกล่าวว่า เราคือเศรษฐีคนนั้น ครั้นให้ทานแล้วไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช
                         แม้บุตรของเราก็มิได้ทำลายวงศ์ตระกูลได้ให้ทานแล้วเกิดเป็นจันทเทพบุตร
                         บุตรของจันทเทพบุตรเกิดเป็นสุริยเทพบุตร
                         บุตรของสุริยเทพบุตรเกิดเป็นมาตลีเทพบุตร
                         บุตรของมาตลีเทพบุตรเกิดเป็นคนธรรพ์เทพบุตรชื่อปัญจสิขะ
               บรรดาเทพบุตรเหล่านั้น ผู้นี้คือจันทเทพบุตร ผู้นี้คือสุริยเทพบุตร ผู้นี้คือมาตลีสังคาหกเทพบุตร ผู้นี้คือคนธรรพ์เทพบุตรชื่อปัญจสิขะ ผู้เป็นบิดาของเศรษฐีผู้มีใจลามกนี้ กุศลทานที่มีคุณมากอย่างนี้ บัณฑิตควรทำแท้
               ขณะกำลังกล่าวอยู่ เพื่อจะตัดความสงสัยของมหาชน เทพบุตรทั้งหลายจึงเหาะไปในอากาศ ยืนเปล่งรัศมีกายงามรุ่งเรืองอยู่ด้วยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ พระนครทั้งสิ้นได้เป็นเหมือนสว่างไสวอยู่.
               ท้าวสักกะเรียกมหาชนมาตรัสว่า พวกเราละทิพยสมบัติของตนมาก็เพราะพิลารโกสิยเศรษฐีผู้มีใจลามก ผู้สืบสกุลวงศ์คนสุดท้ายนี้ เศรษฐีใจลามกคนนี้ทำลายวงศ์ตระกูลของตนให้เผาโรงทาน ให้จับคอพวกยาจกขับไล่ไป ตัดวงศ์ของพวกเราเสีย เขาไม่ให้ทานไม่รักษาศีล จะพึงเกิดในนรก พวกเรามาเพื่ออนุเคราะห์เศรษฐีนี้
               เมื่อจะทรงประกาศคุณแห่งทาน ได้แสดงธรรมแก่มหาชน.
               แม้พิลารโกสิยเศรษฐีก็ได้ประคองอัญชลีขึ้นเหนือเศียร ให้ปฏิญญาแก่ท้าวสักกะว่า
               ข้าแต่พระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ข้าพระองค์จักไม่ทำลายวงศ์ตระกูลที่มีมาแต่โบราณ จักบำเพ็ญทาน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ถ้ายังไม่ได้ให้อาหารที่ได้มา แม้ที่สุดจนน้ำและไม้ชำระฟันแก่ผู้อื่นก่อน ข้าพระองค์จักไม่บริโภคเลย
               ท้าวสักกะทรงทรมานเศรษฐีนั้นทำให้หมดพยศ ให้ตั้งอยู่ในศีล ๕ แล้วพาเทพบุตรทั้ง ๔ ไปสู่วิมานของตนๆ
               แม้เศรษฐีนั้นครั้นดำรงอยู่ตลอดชีวิตแล้ว ก็ได้ไปเกิดในดาวดึงส์พิภพ.
               พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อก่อนภิกษุนี้ไม่มีศรัทธา ไม่ให้ทานแก่ใครๆ แต่เราได้ทรมานเธอให้รู้จักผลทานอย่างนี้ แม้เกิดในภพต่อๆ มาก็ยังละจิตคิดจะให้ทานนั้นไม่ได้
               แล้วทรงประชุมชาดกว่า
                         เศรษฐีในครั้งนั้น ได้มาเป็น ภิกษุผู้เป็นทานบดีรูปนี้ ในบัดนี้
                         จันทเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระสารีบุตร ในบัดนี้
                         สุริยเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระโมคคัลลานะ ในบัดนี้
                         มาตลีเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระกัสสปะ ในบัดนี้
                         ปัญจสิขเทพบุตรในครั้งนั้น ได้มาเป็น พระอานนท์ ในบัดนี้
                         ส่วนท้าวสักกเทวราชได้มาเป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

               จบ อรรถกถาพิลารโกสิยชาดกที่ ๑๒               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา พิลารโกสิยชาดก ว่าด้วย ให้ทานไม่ได้เพราะเหตุ ๒ อย่าง จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1433 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1443 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 1453 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=5845&Z=5881
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=39&A=10193
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=39&A=10193
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๖  กรกฎาคม  พ.ศ.  ๒๕๔๘
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :