ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 19 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 20 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 21 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก สีลวรรค
นฬปานชาดก ว่าด้วยการพิจารณา

               พระศาสดา เมื่อเสด็จจาริกไปในโกศลชนบท ถึงบ้านนฬกปานคาม ประทับอยู่ในเกตกวัน ใกล้นฬกปานโบกขรณี ทรงปรารภท่อนไม้อ้อทั้งหลาย จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้
               มีคำเริ่มต้นว่า ทิสฺวา ปทมนุตฺติณฺณํ ดังนี้.
               ได้ยินว่า ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายอาบนํ้าในสระโบกขรณีชื่อว่า นฬกปานะ แล้วให้พวกสามเณรเอาท่อนไม้อ้อมา เพื่อต้องการทำกล่องเข็ม เห็นท่อนไม้อ้อเหล่านั้นทะลุตลอด จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ให้ถือเอาท่อนไม้อ้อทั้งหลายมา เพื่อต้องการทำกล่องเข็ม ท่อนไม้อ้อเหล่านั้นเป็นรูทะลุตลอด ตั้งแต่โคนจนถึงปลาย นี่เหตุอะไรหนอ พระเจ้าข้า?
               พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นการอธิษฐานเดิมของเรา.
               แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้.
               ได้ยินว่า ในอดีตกาลแม้ในกาลก่อน ป่าชัฏนั้นเป็นป่า มีผีเสื้อนํ้าตนหนึ่งเคี้ยวกินคนผู้ลงไปๆ ในสระโบกขรณีแม้นั้น.
               ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระยากระบี่มีขนาดเท่าเนื้อละมั่ง แวดล้อมด้วยหมู่วานรแปดหมื่นตัว บริหารฝูงอยู่ในป่านั้น. พระยากระบี่นั้นได้ให้โอวาทแก่หมู่วานรว่า พ่อทั้งหลาย ในป่านี้มีต้นไม้พิษบ้าง สระโบกขรณีที่เกิดเองอันอมนุษย์หวงแหนบ้าง มีอยู่ในป่านั้นนั่นแหละ ท่านทั้งหลาย เมื่อจะเคี้ยวกินผลไม้น้อยใหญ่ที่ยังไม่เคยเคี้ยวกิน หรือเมื่อจะดื่มนํ้าที่ยังไม่เคยดื่ม ต้องสอบถามเราก่อน. หมู่วานรเหล่านั้นรับคำแล้ว.
               วันหนึ่ง ไปถึงที่ที่ไม่เคยไป เที่ยวไปในที่นั้นหลายวันทีเดียว เมื่อจะแสวงหานํ้าดื่ม เห็นสระโบกขรณีสระหนึ่ง ยังไม่ดื่มนํ้า นั่งคอยการมาของพระโพธิสัตว์.
               พระโพธิสัตว์มาถึงแล้ว จึงกล่าวว่า พ่อทั้งหลาย ทำไมจึงยังไม่ดื่มนํ้า.
               พวกวานรกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าคอยการมาของท่าน.
               พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พ่อทั้งหลาย พวกท่านทำดีแล้ว. จึงเดินวนเวียนสระโบกขรณีนั้น กำหนดรอยเท้าเห็นแต่รอยเท้าลงไม่เห็นรอยเท้าขึ้น. พระโพธิสัตว์นั้นรู้ว่าสระโบกขรณีนี้ อมนุษย์หวงแหนโดยไม่ต้องสงสัย จึงกล่าวว่า พ่อทั้งหลาย ท่านทั้งหลายไม่ดื่มนํ้า ทำดีแล้ว สระโบกขรณีนี้อมนุษย์หวงแล้ว.
               ฝ่ายผีเสื้อนํ้ารู้ว่า วานรเหล่านั้นไม่ลง จึงแปลงเป็นผู้มีท้องเขียว หน้าเหลือง มือเท้าแดงเข็ม รูปร่างน่ากลัว ดูน่าเกลียด แยกนํ้าออกมากล่าวว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึงนั่งอยู่ จงลงสระโบกขรณีนี้ ดื่มนํ้าเถิด.
               ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ถามผีเสื้อนํ้านั้นว่า ท่านเป็นผีเสื้อนํ้าเกิด อยู่ในสระนี้หรือ?
               ผีเสื้อนํ้ากล่าวว่า เออ เราเป็นผู้เกิดแล้ว.
               พระโพธิสัตว์ถามว่า ท่านย่อมได้คนที่ลงไปๆ ยังสระโบกขรณีหรือ?
               ผีเสื้อนํ้ากล่าวว่า เออ เราได้ เราไม่ปล่อยใครๆ จนชั้นที่สุด นกที่ลงในสระโบกขรณีนี้. แม้ท่านทั้งหมด เราก็จักกิน.
               พระโพธิสัตว์กล่าวว่า พวกเราจักไม่ให้ท่านกินตัวเรา.
               ผีเสื้อน้ำกล่าวว่า ก็ท่านทั้งหลายจักดื่มนํ้า มิใช่หรือ?
               พระพระโพธิสัตว์กล่าวว่า เออ พวกเราจักดื่มนํ้า และจักไม่ตกอยู่ในอำนาจของท่าน.
               ผีเสื้อนํ้ากล่าวว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านจักดื่มนํ้าอย่างไร.
               พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ก็ท่านย่อมสำคัญหรือว่า จักลงไปดื่ม ด้วยว่า พวกเราจะไม่ลงไป เป็นวานรทั้งแปดหมื่น ถือท่อนไม้อ้อคนละท่อน จักดื่มนํ้าในสระโบกขรณีของท่าน เหมือนดื่มนํ้าด้วยก้านบัว เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านจักไม่อาจกินพวกเรา.
               พระศาสดา ครั้นทรงรู้แจ้งความนี้ เป็นพระอภิสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้พร้อมยิ่ง ได้ตรัส ๒ บทแรกแห่งคาถานี้ว่า
               พระยากระบี่ไม่เห็นรอยเท้าขึ้น เห็นแต่รอยเท้าลง จึงกล่าวว่า พวกเราจักดื่มนํ้าด้วยไม้อ้อ ท่านจักฆ่าเราไม่ได้.

               เนื้อความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระยากระบี่นั้นเป็นมหาบุรุษ ไม่ได้เห็นรอยเท้าขึ้น แม้แต่รอยเดียวในสระโบกขรณีนั้น ได้เห็นแต่รอยเท้าลงเท่านั้น ครั้นเห็นอย่างนั้น คือไม่เห็นรอยเท้าขึ้น เห็นแต่รอยเท้าลง จึงรู้ว่า สระโบกขรณีนี้ อมนุษย์หวงแหนแน่แท้ เมื่อจะเจรจากับผีเสื้อนํ้านั้น จึงกล่าวว่า พวกเราจักดื่มนํ้าด้วยไม้อ้อ. อธิบายความของคำนั้นว่า พวกเราจักดื่มนํ้าในสระโบกขรณีของท่านด้วยไม้อ้อ. พระมหาสัตว์กล่าวสืบไปว่า ท่านจักฆ่าเราไม่ได้ อธิบายว่า เราพร้อมทั้งบริษัท ดื่มนํ้าด้วยไม้อ้ออย่างนี้ แม้ท่านก็จักฆ่าไม่ได้.
               ก็พระโพธิสัตว์ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงให้นำท่อนไม้อ้อมาท่อนหนึ่ง รำพึงถึงบารมีทั้งหลาย แล้วกระทำสัจกิริยาเอาปากเป่า ไม้อ้อได้เป็นโพรงตลอดไป ไม่เหลือปล้องอะไรๆ ไว้ภายใน พระโพธิสัตว์ให้นำท่อนไม้อ้อแม้ท่อนอื่นมา แล้วได้เป่าให้ไปโดยทำนองนี้ ก็เมื่อเป็นดังกล่าวมาฉะนี้ ไม่อาจให้เสร็จลงได้ เพราะฉะนั้น ไม่ควรเชื่ออย่างนั้น ฝ่ายพระโพธิสัตว์ได้อธิษฐานว่า ไม้อ้อแม้ทั้งหมดที่เกิดรอบสระโบกขรณีนี้ จงเป็นรูตลอด ก็เพราะอุปจารแห่งประโยชน์ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เป็นสภาพยิ่งใหญ่ การอธิษฐานย่อมสำเร็จ. ตั้งแต่นั้นมา ไม้อ้อที่เกิดรอบสระโบกขรณีแม้ทุกต้น เกิดเป็นรูเดียวตลอด.
               จริงอยู่ ในกัปนี้ ชื่อว่าปาฏิหาริย์อันตั้งอยู่ตลอดกัปมี ๔ ประการเป็นไฉน?
               เครื่องหมายกระต่ายบนดวงจันทร์ จักตั้งอยู่ตลอดกัปนี้ แม้ทั้งสิ้น ๑
               ที่ที่ไฟดับในวัฏฏกชาดก ไฟจักไม่ไหม้ตลอดกัปนี้ แม้ทั้งสิ้น ๑
               สถานที่เป็นที่อยู่ของฆฏิการช่างหม้อ ฝนไม่รั่วรดจักตั้งอยู่ตลอดกัปนี้ แม้ทั้งสิ้น ๑
               ไม้อ้อที่ตั้งอยู่รอบสระโบกขรณีนี้ จักเป็นรูเดียว(ไม่มีข้อ) ตลอดกัปนี้ แม้ทั้งสิ้น ๑
               ชื่อว่าปาฏิหาริย์อันตั้งอยู่ชั่วกัป ๔ ประการนี้ ดังพรรณนามาฉะนี้.
               พระโพธิสัตว์ ครั้นอธิษฐานอย่างนี้แล้ว จึงนั่งถือไม้อ้อลำหนึ่ง ฝ่ายวานรแปดหมื่นตัวแม้เหล่านั้น ก็ถือไม้อ้อลำหนึ่งๆ นั่งล้อมสระโบกขรณี. ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เอาไม้อ้อสูบนํ้ามาดื่ม วานรแม้เหล่านั้นทั้งหมดนั่งอยู่ที่ฝั่งนั่นแหละ ดื่มนํ้าแล้ว. เมื่อวานรเหล่านั้นดื่มนํ้าอย่างนี้ ผีเสื้อนํ้าไม่ได้วานรตัวไรๆ ก็เสียใจ จึงไปยังนิเวศน์ของตน นั่นเอง. ฝ่ายพระโพธิสัตว์พร้อมทั้งบริวาร ก็เข้าป่าไปเหมือนกัน.
               ส่วนพระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าความที่ไม้อ้อทั้งหลายเหล่านี้ เป็นไม้มีรูเดียวนั่น เป็นการอธิษฐานอันมีในกาลก่อนของเราเอง.
               ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้ว จึงทรงประชุมชาดก ว่า
               ผีเสื้อนํ้าในครั้งนั้น ได้เป็น พระเทวทัต ในบัดนี้
               วานรแปดหมื่นในครั้งนั้น ได้เป็น พุทธบริษัท ในบัดนี้
               ส่วนพระยากระบี่ผู้ฉลาดในอุบายในครั้งนั้น ได้เป็น เรา แล.

               จบ นฬปานชาดกที่ ๑๐.
               จบ สีลวรรคที่ ๒.
-----------------------------------------------------
               รวมชาดกที่มีในวรรคนี้ คือ
                         ๑. ลักขณชาดก ว่าด้วย ผู้มีศีล
                         ๒. นิโครธมิคชาดก ว่าด้วย การเลือกคบ
                         ๓. กัณฑินชาดก ว่าด้วย ผู้ตกอยู่ในอำนาจหญิง
                         ๔. วาตมิคชาดก ว่าด้วย อำนาจของรส
                         ๕. ขราทิยชาดก ว่าด้วย ผู้ล่วงเลยโอวาท
                         ๖. ติปัลลัตถมิคชาดก ว่าด้วย เล่ห์กลลวงพราน
                         ๗. มาลุตชาดก ว่าด้วย ความหนาวเกิดแก่ลม
                         ๘. มตกภัตตชาดก ว่าด้วย สัตว์ไม่ควรฆ่าสัตว์
                         ๙. อายาจิตภัตตชาดก ว่าด้วย การเปลื้องตน
                         ๑๐. นฬปานชาดก ว่าด้วย การพิจารณา
-----------------------------------------------------

.. อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก สีลวรรค นฬปานชาดก ว่าด้วยการพิจารณา จบ.
อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 0 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 19 อรรถกถาอรรถาธิบาย
เล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 20 อรรถาธิบายเล่มที่ 27 เริ่มข้อที่ 21 อรรถาธิบายเล่มที่  27 เริ่มข้อที่ 2519
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=129&Z=142
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=35&A=5319
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=35&A=5319
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๘  พฤศจิกายน  พ.ศ.  ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :