พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้ดื่มนํ้าที่ไม่ได้กรอง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กุลาวกา ดังนี้.
ได้ยินว่า ภิกษุหนุ่มสองสหายจากเมืองสาวัตถีไปยังชนบท อยู่ในที่ผาสุกแห่งหนึ่งตามอัธยาศัย แล้วคิดว่าจักเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงออกจากชนบทนั้น มุ่งหน้าไปยังพระเชตวันอีก.
ก็ภิกษุรูปหนึ่งมีเครื่องกรองนํ้า ส่วนรูปหนึ่งไม่มี แม้ภิกษุทั้งสองรูปก็ร่วมกันกรองนํ้าดื่ม แล้วจึงดื่ม.
วันหนึ่ง ภิกษุทั้งสองรูปนั้นได้ทำการวิวาทโต้เถียงกัน. ภิกษุผู้เป็นเจ้าของเครื่องกรองนํ้า ไม่ให้เครื่องกรองนํ้าแก่ภิกษุนอกนี้ กรองนํ้าดื่มเฉพาะตนเองแล้วดื่ม.
ส่วนภิกษุนอกนี้ไม่ได้เครื่องกรองนํ้า เมื่อไม่อาจอดกลั้นความกระหาย จึงดื่มนํ้าดื่มที่ไม่ได้กรอง.
ภิกษุ แม้ทั้งสองนั้นมาถึงพระเชตวันวิหารโดยลำดับ ถวายบังคมพระศาสดาแล้วนั่ง.
พระศาสดาทรงตรัสสัมโมทนียกถาแล้ว ตรัสถามว่า พวกเธอมาจากไหน?
ภิกษุทั้งสองนั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์อยู่ในบ้านแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท ออกจากบ้านนั้นมาเพื่อจะเฝ้าพระองค์.
พระศาสดาตรัสถามว่า พวกเธอเป็นผู้สมัครสมาน พากันมาแล้วแลหรือ?
ภิกษุผู้ไม่กรองนํ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้กระทำการวิวาทโต้เถียงกันกับข้าพระองค์ ในระหว่างทาง แล้วไม่ให้เครื่องกรองนํ้า พระเจ้าข้า.
ภิกษุนอกนี้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุนี้ไม่กรองนํ้าเลย รู้อยู่ ดื่มนํ้ามีตัวสัตว์.
พระศาสดาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุ ได้ยินว่า เธอรู้อยู่ ดื่มนํ้ามีตัวสัตว์จริงหรือ?
ภิกษุนั้นกราบทูลว่า พระเจ้าข้า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ดื่มนํ้าไม่ได้กรอง พระเจ้าข้า.
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ครองราชสมบัติในเทพนคร พ่ายแพ้ในการรบ เมื่อจะหนีไปทางหลังสมุทร
จึงคิดว่า เราจักไม่ทำการฆ่าสัตว์ เพราะอาศัยความเป็นใหญ่ ได้สละยศใหญ่ให้ชีวิตแก่ลูกนกครุฑ จึงให้กลับรถก่อน.
แล้วทรงนำอดีตนิทานมาว่า
ในอดีตกาล พระเจ้ามคธราชพระองค์หนึ่งครองราชสมบัติ อยู่ในนครราชคฤห์ แคว้นมคธ.
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นบุตรของตระกูลใหญ่ ในบ้านมจลคามนั้นนั่นแหละ เหมือนอย่างในบัดนี้ ท้าวสักกะบังเกิดในบ้านมจลคาม แคว้นมคธ ในอัตภาพก่อน ฉะนั้น.
ก็ในวันตั้งชื่อพระโพธิสัตว์นั้น ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อว่ามฆกุมาร. มฆกุมารนั้นเจริญวัยแล้ว ปรากฏชื่อว่ามฆมาณพ.
ลำดับนั้น บิดามารดาของมฆมาณพนั่น นำเอานางทาริกามาจากตระกูลที่มีชาติเสมอกัน. มฆมาณพนั้นเจริญด้วยบุตรและธิดาทั้งหลาย ได้เป็นทานบดี รักษาศีล ๕.
ก็ในบ้านนั้น มีอยู่ ๓๐ ตระกูลเท่านั้น และวันหนึ่งคนในตระกูลทั้ง ๓๐ ตระกูลนั้น ยืนอยู่กลางบ้าน ทำการงานในบ้าน.
พระโพธิสัตว์เอาเท้าทั้งสองกวาดฝุ่นในที่ที่ยืนอยู่ กระทำประเทศที่นั้นให้น่ารื่นรมย์ยืนอยู่แล้ว. ครั้งนั้น คนอื่นผู้หนึ่งมายืนในที่นั้น.
พระโพธิสัตว์จึงกระทำที่อื่นอีกให้น่ารื่นรมย์แล้วได้ยืนอยู่. แม้ในที่นั้น คนอื่นก็มายืนเสีย. พระโพธิสัตว์ได้กระทำที่อื่นๆ แม้อีกให้น่ารื่นรมย์ รวมความว่า ได้กระทำที่ที่ยืนให้น่ารื่นรมย์แม้แก่คนทั้งปวง.
สมัยต่อมา ให้สร้างปะรำลงในที่นั้น แม้ปะรำก็ให้รื้อออกเสีย แล้วให้สร้างศาลา ปูอาสนะแผ่นกระดานในศาลานั้น แล้วตั้งตุ่มนํ้าดื่มไว้.
สมัยต่อมา ชน ๓๒ คนแม้เหล่านั้นได้มีฉันทะเสมอกันกับพระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์จึงให้ชน ๓๒ คนนั้นตั้งอยู่ในศีล ๕ ตั้งแต่นั้นไป ก็เที่ยวทำบุญทั้งหลายพร้อมกับคนเหล่านั้น.
ชนแม้เหล่านั้น เมื่อกระทำบุญกับพระโพธิสัตว์นั้นนั่นแล จึงลุกขึ้นแต่เช้ามืด ถือมีด ขวานและสาก เอาสากทุบหินให้แตก ในหนทางใหญ่ ๔ แพร่งเป็นต้น แล้วกลิ้งไป
นำเอาต้นไม้ที่กระทบเพลารถทั้งหลายออกไป กระทำที่ขรุขระให้เรียบ ทอดสะพาน ขุดสระโบกขรณี สร้างศาลา ให้ทาน รักษาศีล โดยมาก
ชาวบ้านทั้งสิ้นตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์แล้วรักษาศีล ด้วยประการอย่างนี้.
ลำดับนั้น นายบ้านของชนเหล่านั้นคิดว่า ในกาลก่อน เมื่อคนเหล่านี้ดื่มสุรา กระทำปาณาติบาตเป็นต้น เรายังได้ทรัพย์ ด้วยอำนาจกหาปณะค่าตุ่ม (สุรา) เป็นต้น และด้วยอำนาจพลีค่าสินไหม
แต่บัดนี้ มฆมาณพให้รักษาศีล ไม่ให้ชนเหล่านั้นกระทำปาณาติบาตเป็นต้น อนึ่ง บัดนี้ จักให้เราทั้งหลายรักษาศีล ๕ จึงโกรธเข้าไปเฝ้าพระราชา
แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกโจรเป็นอันมากเที่ยวกระทำการฆ่าชาวบ้านเป็นต้น. พระราชาได้ทรงสดับคำของนายบ้านนั้น จึงรับสั่งว่า ท่านจงไปนำคนเหล่านั้นมา
นายบ้านนั้นจึงไปจองจำชนเหล่านั้นทั้งหมด แล้วนำมา กราบทูลแด่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ พวกคนที่ข้าพระบาทนำมานี้ เป็นโจร พระเจ้าข้า.
ลำดับนั้น พระราชาไม่ทรงชำระกรรมของชนเหล่านั้นเลย รับสั่งว่า ท่านทั้งหลายจงให้ช้างเหยียบชนเหล่านี้. แต่นั้น ราชบุรุษจึงให้ชนเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ให้นอนที่พระลานหลวง แล้วนำช้างมา.
พระโพธิสัตว์ได้ให้โอวาทแก่ชนเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงรำพึงถึงศีล จงเจริญเมตตาในคนผู้กระทำการส่อเสียด ในพระราชา ในช้างและในร่างกายของตน ให้เป็นเช่นเดียวกัน ชนเหล่านั้นได้กระทำอย่างนั้น.
ลำดับนั้น ราชบุรุษทั้งหลายจึงนำช้างเข้าไป เพื่อต้องการให้เหยียบชนเหล่านั้น ช้างนั้นแม้จะถูกคนนำเข้าไป ก็ไม่เข้าไป ร้องเสียงลั่นแล้วหนีไป. ลำดับนั้น จึงนำช้างเชือกอื่นๆ มา. ช้างแม้เหล่านั้นก็หนีไปอย่างนั้นเหมือนกัน.
พระราชาตรัสว่า จักมีโอสถบางอย่างอยู่ในมือของชนเหล่านี้ พวกท่านจงค้นดู.
พวกราชบุรุษตรวจค้นดูแล้วก็ไม่เห็น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ไม่มี พระเจ้าข้า.
พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น ชนเหล่านี้จักร่ายมนต์อะไรๆ พวกท่านจงถามพวกเขาดูว่า มนต์สำหรับร่ายของท่านทั้งหลายมีอยู่หรือ?
ราชบุรุษทั้งหลายจึงได้ถาม.
พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า มี.
ราชบุรุษทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นัยว่า มีมนต์สำหรับร่าย พะย่ะค่ะ.
พระราชารับสั่งให้เรียกชนเหล่านั้น แม้ทั้งหมดมา แล้วตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงบอกมนต์ที่ท่านทั้งหลายรู้.
พระโพธิสัตว์ได้กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ชื่อว่ามนต์ของข้าพระองค์ทั้งหลายอย่างอื่นไม่มี แต่ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นคนประมาณ ๓๓ คน ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่กล่าวคำเท็จ ไม่ดื่มน้ำเมา เจริญเมตตา ให้ทาน กระทำทางให้สม่ำเสมอ ขุดสระโบกขรณี สร้างศาลา นี้เป็นมนต์ เป็นเครื่องป้องกัน เป็นความเจริญของข้าพระองค์ทั้งหลาย.
พระราชาทรงเลื่อมใสต่อชนเหล่านั้น ได้ทรงให้สมบัติในเรือนทั้งหมดของนายบ้านผู้กระทำการส่อเสียด และได้ทรงให้นายบ้านนั้นให้เป็นทาสของชนเหล่านั้น ทั้งได้ทรงให้ช้างและบ้านแก่ชนเหล่านั้นเหมือนกัน.
จำเดิมแต่นั้น ชนเหล่านั้นกระทำบุญทั้งหลายตามความชอบใจ คิดว่า จักสร้างศาลาใหญ่ในทาง ๔ แพร่ง จึงให้เรียกช่างไม้ มาแล้วเริ่มสร้างศาลา แต่ว่า ไม่ได้ให้มาตุคามทั้งหลายมีส่วนบุญในศาลานั้น เพราะไม่มีความพอใจในมาตุคามทั้งหลาย.
ก็สมัยนั้น ในเรือนของพระโพธิสัตว์มีสตรี ๔ คน คือ นางสุธรรมา นางสุจิตรา นางสุนันทา และนางสุชาดา.
บรรดาสตรีเหล่านั้น นางสุธรรมาเป็นอันเดียวกันกับช่างไม้ กล่าวว่า พี่ช่าง ท่านจงทำฉันให้เป็นใหญ่ในศาลานี้ ดังนี้แล้วได้ให้สินบน.
ช่างไม้นั้นรับคำแล้ว ยังไม้ช่อฟ้าให้แห้งก่อนทีเดียว แล้วถากเจาะทำช่อฟ้าให้เสร็จ แล้วจะยกช่อฟ้า จึงกล่าวว่า ตายจริง เจ้านายทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้ระลึกถึงสิ่งของอย่างหนึ่ง.
ชนเหล่านั้นถามว่า ท่านผู้เจริญของชื่ออะไร.
ช่างไม้กล่าวว่า การได้ช่อฟ้าจึงจะควร. ชนเหล่านั้นกล่าวว่า ช่างเถิด เราจักนำมาให้.
ช่างไม้กล่าวว่า พวกเราไม่อาจทำด้วยไม้ที่ตัดในเดี๋ยวนี้ จะต้องได้ช่อฟ้าที่เขาตัดไว้ก่อน แล้วถาก เจาะทำสำเร็จแล้ว จึงจะควร, ชนเหล่านั้นกล่าวว่า บัดนี้ จะทำอย่างไร.
ช่างไม้กล่าวว่า ถ้าช่อฟ้าสำหรับขายที่เขาทำไว้ เสร็จแล้วเก็บไว้ในเรือนของใครๆ มีอยู่ ท่านต้องหาช่อฟ้าอันนั้น. ชนเหล่านั้น เมื่อแสวงหาได้พบในเรือนของนางสุธรรมา ไม่ได้ด้วยมูลค่า
แต่เมื่อนางสุธรรมากล่าวว่า ถ้าท่านทั้งหลายจะกระทำข้าพเจ้าให้มีส่วนบุญด้วย ข้าพเจ้าจึงจักให้. จึงพากันกล่าวว่า พวกเราจะไม่ให้ส่วนบุญแก่มาตุคามทั้งหลาย.
ลำดับนั้น ช่างไม้จึงกล่าวกะชนเหล่านั้นว่า เจ้านายท่านทั้งหลายพูดอะไร ชื่อว่าที่ที่เว้นจากมาตุคามที่อื่น ย่อมไม่มี เว้นพรหมโลก ท่านทั้งหลายจงถือเอาช่อฟ้าเถิด เมื่อเป็นเช่นนั้น การงานทั้งหลายของพวกเราจักถึงความสำเร็จ.
ชนเหล่านั้นกล่าวว่า ดีละ แล้วถือเอาช่อฟ้ายังศาลาให้สำเร็จแล้ว ปูแผ่นกระดานสำหรับนั่ง ตั้งตุ่มนํ้าดื่ม เริ่มตั้งยาคูและภัตเป็นต้นเป็นประจำ ล้อมศาลาด้วยกำแพง ประกอบประตู เกลี่ยทรายภายในกำแพง ปลูกแถวต้นตาลภายนอกกำแพง.
ฝ่ายนางสุจิตราให้กระทำอุทยานในที่นั้น ไม่มีคำที่จะพูดว่า ต้นไม้ที่มีดอกและไม้ที่มีผล ชื่อโน้น ไม่มีในอุทยานนั้น.
ฝ่ายนางสุนันทาให้กระทำสระโบกขรณีในที่นั้นเหมือนกัน ให้ดารดาษด้วยปทุม ๕ สี น่ารื่นรมย์.
นางสุชาดาไม่ได้กระทำอะไร?
พระโพธิสัตว์บำเพ็ญวัตรบท ๗ เหล่านี้ คือ การบำรุงมารดา ๑ การบำรุงบิดา ๑ การกระทำความอ่อนน้อมถ่อมตนแก่คนผู้เป็นใหญ่ในตระกูล ๑ การกล่าววาจาสัตย์ ๑
วาจาไม่หยาบ ๑ วาจาไม่ส่อเสียด ๑ และการนำไปให้พินาศซึ่งความตระหนี่ ๑ ถึงความเป็นผู้ควรสรรเสริญอย่างนี้ว่า
เทพทั้งหลายชั้นดาวดึงส์กล่าวนรชน ผู้เป็นคนพอเลี้ยงบิดามารดา ผู้มีปรกติอ่อนน้อมต่อผู้เจริญที่สุดในตระกูล
ผู้กล่าววาจากลมเกลี้ยงอ่อนหวาน ผู้ละคำส่อเสียด ผู้ประกอบในการทำความตระหนี่ให้พินาศ ผู้มีคำสัจ ครอบงำความโกรธได้นั้นแล ว่าเป็นสัปบุรุษ.
ในเวลาสิ้นชีวิต บังเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช ในภพดาวดึงส์ สหายของพระโพธิสัตว์นั้นทั้งหมด พากันบังเกิดในภพดาวดึงส์นั้น เหมือนกัน.
ในกาลนั้น อสูรทั้งหลายอยู่อาศัยในภพดาวดึงส์.
ท้าวสักกเทวราชทรงดำริว่า เราทั้งหลายจะประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติ อันเป็นสาธารณะทั่วไปแก่คนอื่น จึงให้พวกอสูรดื่มนํ้าดื่มอันเป็นทิพย์ แล้วให้จับพวกอสูรผู้เมาแล้วที่เท้า แล้วโยนลงไปที่เชิงเขาสิเนรุ.
พวกอสูรเหล่านั้นย่อมถึงภพอสูร นั่นแล.
ชื่อว่า ภพอสูรมีขนาดเท่าดาวดึงสเทวโลกอยู่ ณ พื้นภายใต้เขาสิเนรุ ในภพอสูรนั้นได้มีต้นไม้ตั้งอยู่ชั่วกัป ชื่อว่าต้นจิตตปาตลิ (แคฝอย) เหมือนต้นปาริฉัตตกะของเหล่าเทพ.
เมื่อต้นจิตตปาตลิบาน พวกอสูรเหล่านั้นก็รู้ว่า นี้ไม่ใช่เทวโลกของพวกเรา เพราะว่า ในเทวโลก ต้นปาริฉัตตกะย่อมบาน.
ลำดับนั้น พวกอสูรเหล่านั้นจึงกล่าวว่า ท้าวสักกะแก่ทำพวกเราให้เมา แล้วโยนลงหลังมหาสมุทร ยึดเทพนครของพวกเรา
เราทั้งหลายนั้นจักรบกับท้าวสักกะแก่นั้น แล้วยึดเอาเทพนครของพวกเราเท่านั้นคืนมา จึงลุกขึ้นเที่ยวสัญจรไปตามเขาสิเนรุ เหมือนมดแดงไต่เสา ฉะนั้น.
ท้าวสักกะทรงสดับว่า พวกอสูรขึ้นมา จึงเหาะขึ้นเฉพาะหลังสมุทร รบอยู่ถูกพวกอสูรเหล่านั้นให้พ่ายแพ้ จึงเริ่มหนีไปสุดมหาสมุทรด้านทิศเหนือ ด้วยเวชยันตรถมีประมาณ ๑๕๐ โยชน์.
ลำดับนั้น รถของท้าวสักกะนั้นแล่นไปบนหลังสมุทร ด้วยความเร็ว จึงแล่นเข้าไป ยังป่าไม้งิ้ว ทำลายป่าไม้งิ้ว ในหนทางที่ท้าวสักกะนั้นเสด็จไป
เหมือนทำลายป่าไม้อ้อ ขาดตกลงไปบนหลังสมุทร พวกลูกนกครุฑพลัดตกลงบนหลังมหาสมุทร พากันร้องเสียงขรม.
ท้าวสักกะตรัสถามมาตลีสารถีว่า มาตลีผู้สหาย นั่นเสียงอะไร เสียงร้องน่ากรุณายิ่งนักเป็นไปอยู่?
พระมาตลีทูลว่า ข้าแต่เทพ เมื่อป่าไม้งิ้วแหลกไป ด้วยกำลังความเร็วแห่งรถของพระองค์ แล้วตกลงไป พวกลูกนกครุฑถูกมรณภัยคุกคาม จึงพากันร้องเป็นเสียงเดียวกัน.
พระมหาสัตว์ตรัสว่า ดูก่อนมาตลีผู้สหาย ลูกนกครุฑเหล่านี้จงอย่าลำบาก เหตุอาศัยเราเลย เราจะไม่อาศัยความเป็นใหญ่ กระทำกรรมคือการฆ่าสัตว์ ก็เพื่อประโยชน์แก่ลูกนกครุฑนั้น เราจักสละชีวิตให้แก่พวกอสูร ท่านจงกลับรถนั่น.
แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
ดูก่อนมาตลีเทพบุตร ที่ต้นงิ้วมีลูกนกครุฑจับอยู่ ท่านจงหันหน้ารถกลับ เรายอมสละชีวิตให้พวกอสูร ลูกนกครุฑเหล่านี้ อย่าแหลกรานเสียเลย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุลาวกา ได้แก่พวกลูกนกครุฑนั่นแหละ ท้าวสักกะตรัสเรียกนายสารถีว่า มาตลิ ด้วยบทว่า สิมฺพลิสฺมึ นี้ ท่านแสดงว่า ท่านจงดู ลูกนกครุฑเหล่านี้จับห้อยอยู่ที่ต้นงิ้ว.
บทว่า อีสามุเขน ปริวชฺชยสฺสุ ความว่า ท่านจงงดเว้นลูกนกครุฑเหล่านั้น โดยประการที่พวกมันไม่เดือดร้อน ด้วยด้านหน้างอนรถนี้เสีย.
บทว่า กามํ จชาม อสุเรสุ ปาณํ ความว่า ถ้าเมื่อเราสละชีวิตให้แก่พวกอสูร ความปลอดภัยก็จะมีแก่ลูกนกครุฑเหล่านั้น เราจะสละโดยแท้ คือจะสละชีวิตของเราให้พวกอสูรโดยแท้ทีเดียว.
บทว่า มายิเม ทิชา วิกุลาวา อเหสุํ ความว่า ก็นกเหล่านี้ คือก็ลูกนกครุฑเหล่านี้ ชื่อว่าอย่าพลัดพรากจากรัง เพราะรังถูกขจัดแหลกลาญ คืออย่าโยนทุกข์ของพวกเรา ลงเบื้องบนลูกนกครุฑเหล่านี้ ท่านจงกลับรถ.
พระมาตลีสารถีได้ฟังคำของท้าวสักกะนั้นแล้ว จึงกลับรถหันหน้ามุ่งไปยังเทวโลก โดยหนทางอื่น.
ฝ่ายพวกอสูรพอเห็นท้าวสักกะกลับรถเท่านั้น คิดว่า ท้าวสักกะจากจักรวาลแม้อื่น พากันมาเป็นแน่ รถจักกลับเพราะได้กำลังพล เป็นผู้กลัวต่อมรณภัย จึงพากันหนีเข้าไปยังภพอสูรตามเดิม.
ฝ่ายท้าวสักกะก็เสด็จเข้ายังเทพนคร แวดล้อมด้วยหมู่เทพในเทวโลกทั้งสอง ได้ประทับยืนอยู่ในท่ามกลางนคร.
ขณะนั้น เวชยันตปราสาทสูงพันโยชน์ชำแรกปฐพีผุดขึ้น เพราะปราสาทผุดขึ้นในตอนสุดท้ายแห่งชัยชนะ เทพทั้งหลายจึงขนานนาม ปราสาทนั้นว่าเวชยันตะ.
ลำดับนั้น ท้าวสักกะทรงตั้งอารักขาในที่ ๕ แห่ง ก็เพื่อต้องการไม่ให้พวกอสูรกลับมาอีก ซึ่งท่านหมายกล่าวไว้ว่า
ในระหว่างอยุชฌบุรีทั้งสอง ท้าวสักกะทรงตั้งการรักษาอย่างแข็งแรงไว้ ๕ แห่ง นาค ๑ ครุฑ ๑ กุมภัณฑ์ ๑ ยักษ์ ๑ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ๑.
แม้นครทั้งสอง คือเทพนคร และอสูรนครก็ชื่อว่าอยุทธปุระ เพราะใครๆ ไม่อาจยึดได้ด้วยการรบ เพราะว่า
ในกาลใด พวกอสูรมีกำลัง ในกาลนั้น เมื่อพวกเทวดาหนีเข้าเทพนคร แล้วปิดประตูไว้ แม้พวกอสูรตั้งแสนก็ไม่อาจทำอะไรได้.
ในกาลใด พวกเทวดามีกำลัง ในกาลนั้น เมื่อพวกอสูรหนีไปปิดประตูอสูรนครเสีย พวกเทวดาแม้ตั้งแสน ก็ไม่อาจทำอะไรได้ ดังนั้น นครทั้งสองนี้จึงชื่อว่า อยุชฌปุระ เมืองที่ใครๆ รบไม่ได้.
ระหว่างนครทั้งสองนั้น ท้าวสักกะทรงตั้งการรักษาไว้ในฐานะ ๕ ประการ มีนาคเป็นต้นเหล่านี้.
บรรดาฐานะ ๕ ประการนั้น ท่านถือเอานาคด้วยศัพท์ว่า อุรคะ นาคเหล่านั้นมีกำลังในนํ้า เพราะฉะนั้น นาคเหล่านั้นจึงมีการอารักขา ที่เฉลียงที่ ๑ แห่งนครทั้งสอง.
ท่านถือเอาครุฑด้วยศัพท์ว่า กโรติ ได้ยินว่า ครุฑเหล่านั้นมีปานะและโภชนะ ชื่อว่า กโรติ ครุฑเหล่านั้นจึงได้นามตามปานะและโภชนะนั้น ครุฑเหล่านั้นมีการอารักขาที่เฉลียงที่ ๒ ของนครทั้งสอง.
ท่านถือเอากุมภัณฑ์ด้วยศัพท์ว่า ปยสฺส หาริ. ได้ยินว่า พวกกุมภัณฑ์เหล่านั้น คือ ทานพ (อสูรสามัญ) และรากษส (ผีเสื้อนํ้า) พวกกุมภัณฑ์เหล่านั้นมีการอารักขาที่เฉลียงที่ ๓ แห่งนครทั้งสอง.
ท่านถือเอาพวกยักษ์ด้วยศัพท์ว่า มทนยุต ได้ยินว่า ยักษ์เหล่านั้นมีปรกติเที่ยวไปไม่สมํ่าเสมอ เป็นนักรบ ยักษ์เหล่านั้นมีการอารักขาที่เฉลียงที่ ๔ แห่งนครทั้งสอง.
ท่านกล่าวถึงท้าวมหาราชทั้ง ๔ ด้วยบทว่า จตุโร จ มหนฺตา นี้. ท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้นมีการอารักขาที่เฉลียงที่ ๕ แห่งนครทั้งสอง.
เพราะฉะนั้น ถ้าพวกอสูรโกรธ มีจิตขุ่นมัว เข้าไปยังเทพบุรี บรรดานักรบ ๕ ประเภท พวกนาคจะตั้งป้องกันเขาปริภัณฑ์ลูกแรกนั้น อารักขาที่เหลือในฐานะที่เหลือ ก็อย่างนั้น.
ก็เมื่อท้าวสักกะจอมเทพทรงตั้งอารักขาในที่ ๕ แห่งเหล่านี้ แล้วเสวยทิพยสมบัติอยู่ นางสุธรรมาจุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั่นแหละ.
ก็เทวสภาชื่อว่า สุธรรมา มีประมาณ ๕๐๐ โยชน์ ซึ่งเป็นที่ที่ท้าวสักกะจอมเทพประทับนั่งบนบัลลังก์ทองขนาดหนึ่งโยชน์
ภายใต้เศวตฉัตรทิพย์ ทรงกระทำกิจที่จะพึงกระทำแก่เทวดาและมนุษย์ ได้เกิดขึ้นแก่นางสุธรรมา เพราะผลวิบากที่ให้ช่อฟ้า.
ฝ่ายนางสุจิตราก็จุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั้นเหมือนกัน และอุทยานชื่อว่า จิตรลดาวัน ก็เกิดขึ้นแก่นางสุจิตรานั้น เพราะผลวิบากของการกระทำอุทยาน.
ฝ่ายนางสุนันทาก็จุติมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าวสักกะนั้นเหมือนกัน และสระโบกขรณีชื่อว่า นันทา ก็เกิดขึ้นแก่นางสุนันทานั้น เพราะผลวิบากของการขุดสระโบกขรณี.
ส่วนนางสุชาดาบังเกิดเป็นนางนกยาง อยู่ที่ซอกเขาในป่าแห่งหนึ่ง เพราะไม่ได้กระทำกุศลกรรมไว้.
ท้าวสักกะทรงพระรำพึงว่า นางสุชาดาไม่ปรากฏ นางบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ. ครั้นทรงเห็นนางสุชาดานั้น จึงเสด็จไปที่ซอกเขานั้น พานางมายังเทวโลก
ทรงแสดงเทพนครอันน่ารื่นรมย์ เทวสภาชื่อ สุธรรมา สวนจิตรลดาวันและนันทาโบกขรณี แก่นาง แล้วทรงโอวาทนางว่า หญิงเหล่านี้ได้กระทำกุศลไว้ จึงมาบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของเรา
ส่วนเธอไม่ได้กระทำกุศลไว้ จึงบังเกิดในกำเนิดเดียรัจฉาน ตั้งแต่นี้ไป เธอจงรักษาศีล แล้วให้นางตั้งอยู่ในศีล ๕ แล้วนำไปปล่อยไว้ ณ ซอกเขานั้นนั่นแหละ.
ฝ่ายนางนกยางนั้น ก็รักษาศีลตั้งแต่กาลนั้น โดยล่วงไป ๒-๓ วัน ท้าวสักกะทรงดำริว่า นางนกยางอาจรักษาศีลหรือหนอ จึงเสด็จไปแปลงรูปเป็น ปลานอนหงายอยู่ข้างหน้า.
นางนกยางนั้นสำคัญว่า ปลาตาย จึงได้คาบที่หัว ปลากระดิกหาง. ลำดับนั้น นางนกยางนั้นจึงปล่อยปลานั้น ด้วยสำคัญว่า เห็นจะเป็นปลามีชีวิตอยู่. ท้าวสักกะตรัสว่า สาธุ สาธุ เธออาจรักษาศีลได้ แล้วได้เสด็จไปยังเทวโลก
นางนกยางนั้นจุติจากอัตภาพนั้น มาบังเกิดในเรือนของนายช่างหม้อ ในนครพาราณสี.
ท้าวสักกะทรงพระดำริว่า นางนกยางบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ ทรงรู้ว่า เกิดในตระกูลช่างหม้อ จึงทรงเอาฟักทองคำบรรทุกเต็มยานน้อย
แปลงเพศเป็นคนแก่ นั่งอยู่กลางบ้านป่าวร้องว่า ท่านทั้งหลายจงรับเอาฟักเหลือง คนทั้งหลายมากล่าวว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้.
ท้าวสักกะตรัสว่า เราให้แก่คนทั้งหลายผู้รักษาศีล ท่านทั้งหลายจงรักษาศีล คนทั้งหลายกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าศีล พวกเราไม่รู้จัก ท่านจงให้ด้วยมูลค่า.
ท้าวสักกะตรัสว่า เราไม่ต้องการมูลค่า เราจะให้เฉพาะแก่ผู้รักษาศีลเท่านั้น. คนทั้งหลายกล่าวว่า นี้ฟักเหลืองอะไรกันหนอ แล้วก็หลีกไป.
นางสุชาดาได้ฟังข่าวนั้นแล้ว คิดว่า เขาจักนำมาเพื่อเรา จึงไปพูดว่า ข้าแต่พ่อ ท่านจงให้เถิด.
ท้าวสักกะตรัสว่า แม่ เธอรักษาศีลแล้วหรือ.
นางสุชาดากล่าวว่า จ้ะ ฉันรักษาศีล.
ท้าวสักกะตรัสว่า สิ่งนี้เรานำมาเพื่อประโยชน์แก่เจ้าเท่านั้น แล้ววางไว้ที่ประตูบ้านพร้อมกับยานน้อย แล้วหลีกไป.
ฝ่ายนางสุชาดานั้นรักษาศีลจนตลอดชั่วอายุ จุติจากอัตภาพนั้น ไปบังเกิดเป็นธิดาของจอมอสูรนามว่า เวปจิตติ ได้เป็นผู้มีรูปร่างงดงาม ด้วยอานิสงส์แห่งศีล.
ในเวลาธิดานั้นเจริญวัยแล้ว ท้าวเวปจิตตินั้นดำริว่า ธิดาของเราจงเลือกสามีตามความชอบใจของตน จึงให้พวกอสูรประชุมกัน.
ท้าวสักกะทรงตรวจดูว่า นางสุชาดานั้นบังเกิด ณ ที่ไหนหนอ. ครั้นทรงทราบว่า นางเกิดในภพอสูรนั้น จึงทรงดำริว่า นางสุชาดา เมื่อจะเลือกเอาสามีตามที่ใจชอบ จักเลือกเอาเรา จึงทรงนิรมิตเพศเป็นอสูร แล้วได้ไปในที่ประชุมนั้น.
ญาติทั้งหลายประดับประดานางสุชาดา แล้วนำมายังที่ประชุม พลางกล่าวว่า เจ้าจงเลือกเอาสามีที่ใจชอบ. นางตรวจดูอยู่ แลเห็นท้าวสักกะ ด้วยอำนาจความรักอันมีในกาลก่อน จึงได้เลือกเอาว่า ท่านผู้นี้เป็นสามีของเรา.
ท้าวสักกะจึงทรงนำนางมายังเทพนคร ทรงกระทำให้เป็นใหญ่กว่า นางฟ้อนจำนวน ๒๕๐๐ โกฏิ. ทรงดำรงอยู่ตลอดชั่วพระชนมายุ แล้วเสด็จไปตามยถากรรม.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มา แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อน ครองราชสมบัติในเทวโลก
ถึงจะสละชีวิตของตน ก็ไม่กระทำปาณาติบาต ด้วยประการอย่างนี้ ชื่อว่าเธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์ เห็นปานนี้ เหตุไร จักดื่มนํ้ามีตัวสัตว์อันมิได้กรองเล่า.
จึงทรงติเตียนภิกษุนั้น แล้วทรงสืบอนุสนธิ ประชุมชาดก ว่า
มาตลีสารถีในครั้งนั้น ได้เป็น พระอานนท์ ในบัดนี้
ส่วนท้าวสักกะในครั้งนั้น ได้เป็น เรา แล.
-----------------------------------------------------
.. อรรถกถา เอกกนิบาตชาดก กุลาวกวรรค ๑. กุลาวกชาดก ว่าด้วยการเสียสละ จบ.
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=212&Z=218
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=35&A=6122
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=35&A=6122
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]