พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันวิหาร ทรงปรารภความอกตัญญูของพระเทวทัต จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อกรมฺหาว เต กิจฺจํ ดังนี้
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่บัดนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็เป็นคนอกตัญญูเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี
พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นนกหัวขวานอยู่ในหิมวันตประเทศ.
ครั้งนั้น ราชสีห์ตัวหนึ่งกินเนื้อ กระดูกติดคอจนคอบวม ไม่สามารถจับเหยื่อกินได้ เวทนากล้าแข็งเป็นไป.
ลำดับนั้น นกนั้นเที่ยวขวนขวายหาเหยื่อ เห็นราชสีห์นั้นจึงจับที่กิ่งไม้ ถามว่า สหาย ท่านเป็นทุกข์เพราะอะไร? ราชสีห์นั้นจึงบอกเนื้อความนั้น.
นกนั้นกล่าวว่า สหาย เราจะนำกระดูกนั้นออกให้แก่ท่าน แต่เราไม่อาจเข้าไปในปากของท่าน เพราะกลัวว่า ท่านจะกินเรา.
ราชสีห์กล่าวว่า ท่านอย่ากลัวเลย สหาย เราจะไม่กินท่าน ท่านจงให้ชีวิตเราเถิด.
นกนั้นรับคำว่าดีละ แล้วให้ราชสีห์นั้นนอนตะแคง แล้วคิดว่า ใครจะรู้ว่าอะไรจักมีแก่เรา
จึงวางท่อนไม้ค้ำไว้ริมฝีปากทั้งข้างล่างและข้างบนของราชสีห์นั้น โดยที่มันไม่สามารถหุบปากได้ แล้วเข้าไปในปาก เอาจะงอยปากเคาะปลายกระดูก
กระดูกก็เคลื่อนตกไป จากนั้นครั้นทำให้กระดูกตกไปแล้ว เมื่อจะออกจากปากราชสีห์จึงเอาจะงอยปากเคาะท่อนไม้ให้ตกลงไป แล้วบินออกไปจับที่ปลายกิ่งไม้.
ราชสีห์หายโรคแล้ว วันหนึ่ง ฆ่ากระบือป่าได้ตัวหนึ่งแล้วกินอยู่.
นกคิดว่า เราจักทดลองราชสีห์นั้นดู จึงจับที่กิ่งไม้ ณ ส่วนเบื้องบนราชสีห์นั้น
เมื่อจะเจรจากับราชสีห์นั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๑ ว่า :-
ข้าแต่พระยาเนื้อ ขอความนอบน้อมจงมีแก่ท่าน
ข้าพเจ้าได้ทำกิจอย่างหนึ่งแก่ท่านตามกำลังของข้าพเจ้าที่มีอยู่
ข้าพเจ้าจะได้อะไรตอบแทนบ้าง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกรมฺหาว เต กิจฺจํ ความว่า ท่านสีหะผู้เจริญ แม้เราก็ได้กระทำกิจอย่างหนึ่งแก่ท่าน.
บทว่า ยํ พลํ อหุวมฺหเส ความว่า กำลังใดได้มีแก่เรา เรามิได้ทำอะไรๆ ให้เสื่อมเสียจากกิจนั้น ได้กระทำแล้วด้วยกำลังนั้นทีเดียว.
ราชสีห์ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ข้อที่ท่านเข้าไปอยู่ในระหว่างฟันของข้าพเจ้าผู้มีโลหิตเป็นภักษาหาร ผู้กระทำกรรมหยาบเป็นนิจ
ท่านยังรอดชีวิตอยู่ได้นั้น ก็เป็นคุณมากอยู่แล้ว.
นกได้ฟังดังนั้น จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถานอกนี้ว่า :-
น่าติเตียนคนที่ไม่รู้คุณที่เขาทำแล้ว ผู้ไม่ทำคุณให้แก่ใคร
ผู้ไม่ทำตอบแทนคุณที่เขาทำไว้ ความกตัญญูย่อมไม่มีในบุคคลใด การคบคนนั้นย่อมไร้ประโยชน์.
บุคคลไม่ได้มิตรธรรมด้วยอุปการคุณที่ตนประพฤติต่อหน้าในบุคคลใด
บุคคลนั้น บัณฑิตไม่ต้องริษยา ไม่ต้องด่าว่า พึงค่อยๆ หลีกห่างออกจากบุคคลนั้นไปเสีย.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อกตญฺญุ แปลว่า ผู้ไม่รู้คุณที่เขากระทำแล้ว.
บทว่า อกตฺตารํ ได้แก่ ผู้ไม่ทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง.
บทว่า สมฺมุขจิณฺเณน ความว่า ด้วยคุณที่ทำไว้ต่อหน้า.
บทว่า อนุสฺสุยมนกฺโกสํ ความว่า บัณฑิตอย่าริษยา อย่าด่าว่าบุคคลนั้นพึงค่อยๆ หลีกออกห่างจากบุคคลนั้น.
ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว นกนั้นก็บินหลีกไป.
พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า
ราชสีห์ในครั้งนั้น ได้เป็น พระเทวทัต
ส่วนนกในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาชวสกุณชาดกที่ ๘
-----------------------------------------------------
.. อรรถกถา จตุกกนิบาตชาดก กาลิงควรรค ชวสกุณชาดก ว่าด้วยผู้ไม่มีกตัญญูไม่ควรคบ จบ.
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=27&A=2714&Z=2726
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=38&A=5347
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=38&A=5347
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก ๒๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]