บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] หน้าต่างที่ ๓ / ๗. ว่าด้วยอาทีนวญาณ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าภยตูปัฏฐานคือปัญญา เพราะอรรถว่าปรากฏโดยความเป็นภัย คำนั้นย่อมเป็นคำอธิบาย อันท่านกล่าวแล้วว่า ภยตูปัฏฐาน. คำว่า อาทีนเว ญาณํ เป็นภุมมวจนะ คือสัตตมีวิภัตติ. เพราะพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้กล่าวไว้ว่า๑- ธรรมเหล่านั้น คือ ปัญญาในความปรากฏโดย ความเป็นภัย ๑, อาทีนวญาณ ๑, นิพพิทาญาณ ๑, มีอรรถอย่างเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น. ____________________________ ๑- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๕๐๗ แม้จะกล่าวเพียงคำเดียว (ญาณเดียว) ก็ย่อมเป็นอันกล่าวทั้ง ๓ โดยประเภทแห่งการกำหนด ดุจมุญจิตุกัมยตาญาณเป็นต้น ฉะนั้น แม้ไม่กล่าวว่า เมื่อภยตูปัฏฐานและอาทีนวานุปัสสนาสำเร็จแล้ว นิพพิทานุปัสสนาก็ย่อมสำเร็จ ดังนี้ ก็พึงทราบว่า เป็นอันกล่าวแล้วทีเดียว. สังขารทั้งหลายอันจำแนกไว้ในภพ ๓, กำเนิด ๔, คติ ๕, วิญญาณฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙ ย่อมปรากฏเป็นมหาภัยแก่พระโยคี บุคคลผู้เสพอยู่ เจริญอยู่ กระทำให้มากอยู่ซึ่งภังคานุปัสสนามีความดับไปแห่งสังขารทั้งปวงเป็นอารมณ์ เหมือนอย่างสีหะ, เสือโคร่ง, เสือเหลือง, หมี, เสือดาว, ยักษ์, รากษส, โคดุ, สุนัขดุ, ช้างซับมันดุ, งูดุ, ฟ้าผ่า, ป่าช้า, สมรภูมิ, หลุมถ่านเพลิงที่คุกรุ่นเป็นต้น ย่อมปรากฏเป็นภัยใหญ่แก่บุรุษผู้กลัวภัยใคร่มีชีวิตอยู่เป็นสุข, ภยตูปัฏฐานญาณย่อมเกิดขึ้นได้ในฐานะนี้แก่พระโยคีบุคคลผู้เห็นอยู่ว่า สังขารทั้งหลายในอดีตก็ดับไปแล้ว, ในปัจจุบันก็กำลังดับ, ถึงแม้ในอนาคตก็จักดับไปอย่างนี้เหมือนกัน ในภพ, กำเนิด, คติ, ฐิติและสัตตาวาสทั่วทุกแห่งหน ที่ต้านทาน ที่ซ่อนเร้น ที่ไป ที่พึ่ง ย่อมไม่ปรากฏเลยแก่พระโยคีบุคคลผู้เสพอยู่เจริญอยู่กระทำให้มากอยู่ซึ่งภยตูปัฏฐานญาณนั้น, ความปรารถนาก็ดี ความถือมั่นก็ดี ย่อมไม่มีในสังขารทั้งหลายอันมีในภพ, กำเนิด, คติ, ฐิติ, นิวา ภพทั้ง ๓ ปรากฏดุจหลุมถ่านเพลิงที่เต็มด้วยถ่านเพลิงไม่มีเปลว, มหาภูตรูป ๔ ปรากฏดุจอสรพิษที่มีพิษร้าย, ขันธ์ ๕ ปรากฏดุจเพชฌฆาตที่กำลังเงื้อดาบ, อัชฌัตติกายตนะ ๖ ปรากฏดุจเรือนว่างเปล่า, พาหิรายตนะ ๖ ปรากฏดุจโจรปล้นชาวบ้าน, วิญญาณฐิติ ๗ และสัตตาวาส ๙ ปรากฏดุจถูกไฟ ๑๑ กองลุกเผาอยู่โชติช่วง. สังขารทั้งหลายทั้งปวงปรากฏแก่ผู้นั้นเหมือนเป็นฝี, เป็นโรค, เป็นลูกศร, เป็นไข้, เป็นอาพาธ, ปราศจากความแช่มชื่น, หมดรส, เป็นกองแห่งโทษใหญ่ เป็นเหมือนป่าชัฏที่มีสัตว์ร้าย แม้จะตั้งขึ้นโดยอาการที่น่ารื่นรมย์แก่บุรุษผู้กลัวภัยใคร่จะมีชีวิตอยู่เป็นสุข เป็นเหมือนถ้ำที่มีภูเขาไฟพ่นอยู่, เป็นเหมือนสระน้ำที่มีรากษสสิงสถิตอยู่, เป็นเหมือนข้าศึกที่กำลังเงื้อดาบขึ้น. เป็นเหมือนโภชนะที่เจือด้วยยาพิษ, เป็นเหมือนหนทางที่เต็มไปด้วยโจร, เป็นเหมือนเรือนที่ไฟติดทั่วแล้ว, เป็นเหมือนสนามรบที่เหล่าทหารกำลังต่อยุทธกัน. เหมือนอย่างว่า บุรุษนั้นอาศัยภัยมีป่าชัฏที่เต็มไปด้วยสัตว์ร้ายเป็นต้นเหล่านี้ กลัวแล้ว ตกใจแล้ว ขนลุกชูชัน ย่อมเห็นโทษ อย่างเดียวรอบด้านฉันใด, พระโยคาวจรนั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ครั้นเมื่อสังขารทั้งปวงปรากฏแล้วโดยความเป็นภัยด้วยอำนาจภังคานุปัสสนา ก็ย่อมเห็นแต่โทษอย่างเดียวปราศจากรสหมดความแช่มชื่นอยู่รอบด้าน. อาทีนวานุปัสสนาญาณย่อมเกิดขึ้นแก่พระโยคีบุคคลนั้นผู้เห็นอยู่อย่างนี้. พระโยคีบุคคลนั้นเมื่อเห็นสังขารทั้งปวงโดยความเป็นโทษอย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย กระวนกระวาย ไม่ยินดีในสังขารทั้งหลาย อันมีประเภทในภพ, กำเนิด, คติ, วิญญาณฐิติและสัตตาวาสทั้งปวง. เหมือนอย่างว่าพญาหงส์ทองผู้ยินดีเฉพาะเชิงเขาจิตรกูฏ ย่อมไม่ยินดีบ่อน้ำแถบประตูบ้านคนจัณฑาลซึ่งไม่สะอาด, ย่อมยินดีเฉพาะสระใหญ่ทั้ง ๗ เท่านั้นฉันใด, พญาหงส์คือพระโยคีนี้ย่อมไม่ยินดีสังขารอันมีประเภทต่างๆ ล้วนแล้วด้วยโทษอันตนเห็นแจ่มแจ้งแล้ว, แต่ย่อมยินดียิ่งในอนุปัสสนา ๗ เท่านั้น เพราะยินดีในภาวนาคือเพราะประกอบด้วยความยินดีในภาวนาก็ฉันนั้นเหมือนกัน. และเหมือนสีหะผู้มิคราชาถูกจับขังไว้ แม้ในกรงทองก็ไม่ยินดี, แต่ย่อมยินดีใน อนึ่ง เหมือนพญาช้างฉัททันต์ เผือกผ่องทั้งตัวมีที่ตั้งดี ๗ สถาน มีฤทธิเหาะไปในเวหาส ย่อมไม่ยินดีในใจกลางพระนคร, แต่ย่อมยินดีในสระใหญ่ชื่อฉัททันต์เท่านั้นฉันใด. พระโยคีบุคคลเพียงดังช้างตัวประเสริฐนี้ ย่อมไม่ยินดีในสังขารธรรมแม้ทั้งปวง, แต่ย่อมยินดีในสันติบทคือพระนิพพานเท่านั้น อันท่านแสดงแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า การไม่เกิดขึ้นเป็นการปลอดภัย,๒- มีใจน้อมไปโน้มไปเงื้อมไปในสันติบทคือพระนิพพานนั้น. นิพพิทานุปัสสนาญาณย่อมเป็นอันเกิดขึ้นแล้วแก่พระโยคีนั้นด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ด้วยประการฉะนี้. ____________________________ ๒- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๑๑๕ ๙. อรรถกถาสังขารุเปกขาญาณุทเทส ว่าด้วยสังขารุเปกขาญาณ ปัญญาใดย่อมพิจารณา ย่อมใคร่ครวญ ฉะนั้น ปัญญานั้นจึงชื่อว่า ปฏิสงฺขา. อีก ปัญญาใดย่อมตกลง ย่อมวางเฉยเสียได้ ฉะนั้น ปัญญานั้นชื่อว่า สนฺติฏฺฐนา แปลว่า วางเฉย, อีก ปัญญาชื่อว่า มุญฺจิตุกมฺยตานั้นด้วย ปฏิสงฺขาด้วย สนฺติฏฺฐนาด้วย ฉะนั้นจึงชื่อว่า มุญฺจิตุกมฺยตาปฏิสงฺขาสนฺติฏฺฐนา แปลว่า ความใคร่จะพ้น, การพิจารณาและการวางเฉย. ความเป็นผู้ใคร่จะสลัดเสียซึ่งความเกิดเป็นต้นของพระโยคีบุคคลผู้เบื่อหน่ายด้วยนิพ การใคร่ครวญสังขารทั้งหลายที่พิจารณาแล้ว เพื่อทำอุบายแห่งการละในท่ามกลาง ชื่อปฏิสังขา. การปล่อยวางแล้ววางเฉยได้ในที่สุด ชื่อสันติฏฐนา. ปัญญา ๓ ประการโดยประเภทแห่งการกำหนดอย่างนี้ ชื่อว่าความรู้ในการพิจารณาสังขารทั้งหลาย. ก็พระโยคีบุคคลผู้ปรารถนาความเข้าไปวางเฉยในสังขาร ด้วยปัญญาแม้ทั้ง ๓ ต่างด้วยประเภทการกำหนด กล่าวคือ ๑. มุญจิตุกัมยตา ปรารถนาจะพ้นการเกิดเป็นต้น ๒. ปฏิสังขา พิจารณาสังขารทั้งหลาย ๓. สันติฏฐนา วางเฉยในสังขารทั้งหลาย คำว่า ปญฺญา และคำว่า สงฺขารุเปกฺขาสุ ท่านทำเป็นพหุวจนะไว้, คำว่า ญาณํ พึงทราบว่า ท่านทำไว้เป็นเอกวจนะ เพราะแม้จะต่างกันโดยประเภทแห่งการกำหนดก็เป็นอย่างเดียวกัน. สมจริงดังคำที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรกล่าวไว้ว่า ธรรมเหล่านี้ คือมุญจิตุกัมยตา ปฏิสังขานุปัสสนาและปฏิสังขารุเปกขา มีเนื้อความเป็นอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น.๑- ____________________________ ๑- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๕๐๘ แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า คำว่า สงฺขารุเปกฺขาสุ นี้เป็นพหุวจนะ เพราะสังขารุเปกขาเป็นของมากด้วยสามารถแห่งสมถะและวิปัสสนาดังนี้ก็มี. ก็คำว่า สงฺขารุเปกฺขาสุ ในการเพ่งสังขารทั้งหลาย พึงทราบว่า เพ่งการกระทำ. แต่จิตของพระโยคีบุคคลผู้เบื่อหน่ายอยู่ ระย่ออยู่ด้วยนิพพิทาญาณนั้นด้วยประเภทแห่งการกำหนด ย่อมไม่ติด ย่อมไม่ข้อง ย่อม ไม่เกี่ยวอยู่ในสังขารทั้งหลายทุกประเภท อันอยู่ในภพ, กำเนิด, คติ, วิญญาณฐิติและสัต อีกอย่างหนึ่ง เสมือนปลาที่ติดอยู่ในข่าย, กบที่อยู่ในปากงู, ไก่ป่าที่ถูกขังอยู่ในกรง, มฤคที่ติดบ่วงแน่น, งูที่อยู่ในกำมือของหมองู, ช้างที่แล่นไปตกหล่มใหญ่, นาคราชอยู่ในปากของครุฑ, พระจันทร์ที่เข้าไปอยู่ในปากของราหู, บุรุษถูกศัตรูล้อมไว้เหล่านี้เป็นต้นล้วนเป็นผู้ใคร่เพื่อจะพ้นเพื่อจะหลุดรอดไปจากพันธนาการนั้นๆ ด้วยกันทั้งสิ้นฉันใด, จิตของพระโยคีบุคคลนั้นย่อมใคร่ที่จะพ้น ใคร่ที่จะหลุดรอดจากสังขารทั้งปวงก็ฉันนั้น. ก็เมื่อกล่าวอยู่อย่างนี้ พระปาฐะว่า มุญฺจิตุกามสฺส มุญฺจิตุกมฺยตา แปลว่า ความใคร่ที่จะพ้นของพระโยคีบุคคลผู้ใคร่จะพ้น ก็ย่อมถูกต้อง. เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พึงกล่าวได้ว่า ในบทว่า อุปฺปาทํ มุญฺจิตุกมฺยตา เป็นต้นก็ควรเป็น อุปฺปาทา มุญฺจิตุกมฺยตา เป็นต้น, เพราะฉะนั้น เนื้อความก่อนนั่นแหละดีกว่า. ก็แลมุญจิตุกัมยตาญาณย่อมเกิดแก่พระโยคีบุคคลนั้นผู้ทอดอาลัยในสังขารทั้งปวง ผู้ใคร่จะพ้นจากสังขารทั้งปวง. พระโยคีบุคคลเป็นผู้ใคร่จะพ้นสังขารทุกประเภทบรรดามี ในภพกำเนิดคติวิญญาณฐิติและสัตตาวาสทั้งปวง จึงยกสังขารเหล่านั้นขึ้นสู่พระไตรลักษณ์อีกเพื่อจะทำอุบายแห่งการพ้นให้สำเร็จ แล้วจึงเห็นแจ้งด้วยปฏิสังขานุปัสสนาญาณ. ก็เมื่อพระโยคีบุคคลนั้นเห็นแจ้งอยู่อย่างนี้แล ปฏิสังขาญาณเป็นนิมิตด้วยอนิจจ พระโยคีบุคคลนั้นเห็นว่า สพฺเพ สงฺขารา สุญฺญา แปลว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นของว่าง ดังนี้แล้วจึงยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณาสังขารทั้งหลายอยู่จึงละความกลัวและความยินดีเสียได้ก็ย่อมวางเฉย มีตนเป็นกลางในสังขารทั้งหลาย ดุจบุรุษเห็นโทษของภริยาแล้วทิ้งภริยาเสีย แล้ววางเฉย มีตนเป็นกลางในร่างกายของภริยานั้น, พระโยคีบุคคลนั้นย่อมไม่ถืออหังการว่า เรา หรือ มมังการว่า ของเรา. จิตของพระโยคีบุคคลนั้น เมื่อรู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้ ก็ย่อมหลีกออก ถอยกลับ หมุนกลับ ไม่ยินดีในภพทั้ง ๓. เหมือนใบบัวโอนไปหน่อยหนึ่ง หยาดน้ำทั้งหลายย่อมไหลไป ถอยกลับ หมุนกลับ ไม่ไหลลื่นไป, หรือเหมือนขนไก่หรือเอ็นและหนังที่เขาใส่ในไฟย่อมหลีกออก งอกลับ ม้วนกลับ ไม่คลี่ออกแม้ฉันใด. จิตของพระโยคีบุคคลนั้นย่อมหลบหลีก ถอยกลับ หมุนกลับ ไม่ยินดีในภพทั้ง ๓ ฉันนั้น. อุเบกขา ความวางเฉยก็ย่อมตั้งขึ้น. สังขารุเปกขาญาณย่อมเป็นอันเกิดขึ้นแล้วแก่พระโยคีบุคคลนั้นด้วยประการฉะนี้. อนุโลมญาณกับสังขารุเปกขาญาณนี้ เป็นเหตุให้สำเร็จโคตรภูญาณในเบื้องบน แม้จะมิได้กล่าวไว้ด้วยญาณต้นและญาณหลัง ก็พึงทราบว่า ย่อมเป็นอันกล่าวไว้แล้วทีเดียว. สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๒- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้พิจารณาเห็นสังขารไรๆ โดยความเป็นของเที่ยง จักเป็นผู้ประกอบด้วยขันติที่สมควร ข้อนั้นย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้, ไม่ประกอบด้วยขันติที่สมควร จักก้าวลงสู่ความเป็น แห่งความเห็นชอบและความแน่นอน ข้อนั้นย่อมไม่เป็น ฐานะที่จะมีได้, เมื่อไม่ก้าวลงสู่ความเป็นแห่งความเห็นชอบและความ แน่นอน จักกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผลหรืออรหัตผล ข้อนั้นย่อมไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ ดังนี้เป็นต้น. ____________________________ ๒- องฺ. ฉกฺก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๓๖๙ และพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้กล่าวคำเป็นต้นว่า๓- ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการเท่าไร, ย่อมก้าวลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการเท่าไร. ภิกษุย่อมได้อนุโลมขันติด้วยอาการ ๔๐, ย่อมก้าวลงสู่สัมมัตตนิยามด้วยอาการ ๔๐ ดังนี้. ____________________________ ๓- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๗๓๕ และในปัฏฐานปกรณ์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำเป็นต้นว่า๔- อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โคตรภูด้วยอำนาจของอนันตรปัจจัย อนุโลมเป็นปัจจัยแก่โวทานด้วยอำนาจของอนันตรปัจจัย. ____________________________ ๔- อภิ. ป. เล่ม ๔๐/ข้อ ๕๐๕. จริงอยู่ เมื่อพระโยคีบุคคลนั้นเสพอยู่ เจริญอยู่ กระทำให้มากอยู่ซึ่งสังขารุเปกขาญาณนั้น อธิโมกขสัทธาก็ย่อมมีกำลังยิ่ง, วิริยะก็ประคองไว้ได้ด้วยดี, สติก็ตั้งมั่น, จิตก็เป็นสมาธิ, สังขารุเปกขาญาณก็ย่อมเป็นไปอย่างแก่กล้า. จิตนั้นพิจารณาสังขารทั้งหลายว่า อนิจฺจา ไม่เที่ยง, ทุกฺขา เป็นทุกข์, หรือ อนตฺตา ไม่ใช่ตัวตนด้วยสังขารุเปกขาโดยหวังว่า "มรรคจักเกิดขึ้นในบัดนี้ดังนี้" แล้วก็ลงสู่ภวังค. ต่อจากภวังค์ มโนทวาราวัชชนะก็เกิดขึ้นทำสังขารทั้งหลายโดยนัยที่สังขารุเปกขาทำแล้วนั้นแหละให้เป็นอารมณ์ว่า อนิจจา ไม่เที่ยง, ทุกขา เป็นทุกข์, หรืออนัตตา ไม่ใช่ตัวตน. ต่อจากมโนทวาราวัชชนะนั้น ชวนจิตก็เกิดขึ้น ๒ ขณะ, ๓ ขณะหรือ ๔ ขณะ รับเอาสังขารทั้งหลายทำให้เป็นอารมณ์ เหมือน ญาณอันสัมปยุตกับชวนจิตนั้น ชื่อว่าอนุโลมญาณ. จริงอยู่ อนุโลมญาณนั้นย่อมอนุโลมตามวิปัสสนาญาณ ๘ ในเบื้องต้น เพราะเป็นกิจแห่งสัจญาณ และอนุโลมตาม เหมือนอย่างว่า ธรรมิกราชาประทับนั่งบนบัลลังก์เป็นที่วินิจฉัย ทรงสดับการวินิจฉัยของอำมาตย์ผู้ฉลาดในโวหาร ๘ คน แล้วทรงละอคติวางพระองค์เป็นกลาง อนุโมทนาว่าเป็นอย่างนั้นเถิด ย่อมอนุโลมตามข้อวินิจฉัยของอำมาตย์ทั้ง ๘ คนเหล่านั้น และอนุโลมตาม ในข้ออุปมานั้น อนุโลมญาณเปรียบเหมือนพระราชา, วิปัสสนาญาณ ๘ เปรียบเหมือนมหาอำมาตย์ผู้ฉลาดในโวหาร, โพธิปักขิยธรรม ๓๗ เปรียบเหมือนโบราณราชธรรม, พระราชาทรงอนุโมทนาว่าเป็นอย่างนั้นเถิด ชื่อว่าย่อมอนุโลมตามข้อวินิจฉัยของเหล่าอำมาตย์ผู้ฉลาดในโวหารด้วยตามราชธรรมด้วยฉันใด, อนุโลมญาณนี้ก็ฉันนั้น ย่อมอนุโลมตามวิปัสสนาญาณ ๘ ที่เกิดขึ้นปรารภสังขารทั้งหลายด้วยสามารถแห่งพระไตร ๑๐. อรรถกถาโคตรภูญาณุทเทส ว่าด้วยโคตรภูญาณ บทว่า พหิทฺธา ได้แก่ สังขารนิมิต. เพราะว่า สังขารนิมิตนั้น ท่านกล่าวว่า พหิทธา - ภายนอก เพราะอาศัย วุฏฐานะนั้นด้วย วิวัฏฏนะนั้นด้วย ฉะนั้นจึงชื่อว่าวุฏฐานวิวัฏฏนะ. เพราะเหตุนั้น ท่านพุทธโฆสาจารย์จึงกล่าวว่า๑- โคตรภูญาณ ยังไม่ออกจากปวัตตขันธ์ เพราะตัดสมุทัยยังไม่ขาด, แต่ออกจากนิมิตได้ เพราะมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ฉะนั้นจึงชื่อว่า เอกโตวุฏฐานะ คือออกจากสังขารนิมิตโดยส่วน เดียว ดังนี้. ____________________________ ๑- ปัญญานิทเทสแห่งวิสุทธิมรรค. ชื่อว่าโคตรภู เพราะครอบงำเสียได้ซึ่งโคตร ๑๑. อรรถกถามัคคญาณุทเทส ว่าด้วยมรรคญาณ คำว่า ทุภโต แปลว่า ทั้ง ๒. อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวอธิบายว่า ทั้งคู่. มรรคญาณย่อมออกคือย่อมหมุนกลับจากกิเลสทั้งหลาย และขันธ์อันเป็นไปตามกิเลสเหล่านั้น กับทั้งจากสังขารนิมิตทั้งปวงในภายนอกจากการกระทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ เพราะตัดกิเลสทั้งหลายได้ขาดแล้ว ฉะนั้นจึงชื่อว่าปัญญาในการออกและหลีกจากขันธ์และนิมิตทั้ง ๒. เพราะเหตุนั้น พระพุทธโฆสาจารย์จึงกล่าวว่า๑- มรรคญาณแม้ทั้ง ๔ ออกจากนิมิต เพราะ มีพระนิพพานอันไม่มีนิมิตเป็นอารมณ์, และย่อม ออกจากปวัตตขันธ์ เพราะตัดสมุทัยได้ขาด ฉะนั้น จึงชื่อว่าทุภโตวุฏฐานะ คือออกโดยส่วนทั้งสอง ดังนี้. ____________________________ ๑- ปัญญานิทเทสแห่งวิสุทธิมรรค. ธรรมชาติใดย่อมขวนขวาย ย่อมเพ่งเล็งพระนิพพาน, หรือพระโยคีบุคคลผู้ต้องการพระนิพพาน ย่อมขวนขวายคือย่อมแสวงหา, หรือว่าธรรมชาติใดยังกิเลสทั้งหลายให้ตายไป เป็นไปอยู่ ฉะนั้นธรรมชาตินั้นชื่อว่ามรรค, ญาณในมรรคนั้น ชื่อว่า มคฺเค ญาณํ - มรรคญาณ. มรรคญาณท่านทำเป็นเอกวจนะโดยชาติศัพท์. ก็มรรคญาณนั้นเกิดขึ้น ทำพระนิพพานให้เป็นอารมณ์ต่อจากโคตรภูญาณ, ตัดกิเลสอันจะพึงฆ่าได้เองโดยไม่มีส่วนเหลือ, เผาผลาญห้วงสมุทรคือทุกข์ในสังสารวัฏอันมีเบื้องต้นและที่สุดอันบุคคลไปตามอยู่รู้ไม่ได้แล้วให้เหือดแห้งไป, ปิดประตูอบายทั้งปวงเสีย, กระทำอริยทรัพย์ ๗ ให้ปรากฏอยู่ต่อหน้า, ละมิจฉามรรคประกอบด้วยองค์ ๘, ทำเวรภัยทั้งปวงให้สงบ, นำตนเข้าสู่ความเป็นบุตรผู้เกิดแต่พระอุระแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และได้อานิสงส์อื่นๆ อีกหลายร้อยเท่าเหมือนคำที่กล่าวว่า บุรุษผู้ปรารถนาจะโดดข้ามแม้น้ำน้อยขึ้นไป ยืนอยู่บนฝั่งโน้น จึงจับเชือกหรือท่อนไม้ ที่ติดอยู่ กับต้นไม้บนฝั่งนี้ แล้วโดดข้ามไปโดยเร็ว จนตัวไป ตกอยู่บนฝั่งโน้น เมื่อตัวตกที่ฝั่งโน้นแล้วก็ละความ หวาดหวั่นนั้น ยืนอยู่บนฝั่งได้ฉันใด, พระโยคีบุคคลผู้ปรารถนาจะข้ามพ้นกิเลสทั้ง หลายเห็นภัยฝั่งนี้ล้วนแล้วด้วยสักกายทิฏฐิ แล้วยืน อยู่ที่ฝั่งคือพระนิพพานอันไม่มีภัย จึงจับเชือกคือรูป- ขันธ์เป็นที่ยึดโดดมาโดยเร็วด้วยอุทยัพพยานุปัสสนา เป็นเบื้องแรก หรือจับไม้กล่าวคือนามขันธ์นั้นไว้ด้วย ดี กระโดดมาด้วยอาวัชชนจิตโดยนัยตามที่กล่าวแล้ว ในก่อน โดดขึ้นด้วยอนุโลมญาณ แล้วโน้มไปในพระ นิพพาน เข้าไปสู่ที่ใกล้แห่งพระนิพพานนั้น ก็ปล่อย อารมณ์คือสังขารธรรมนั้นเสียได้ด้วยโคตรภูญาณ แล้วตกลงที่ฝั่งอื่นคือพระนิพพานอันเป็นอสังขตธรรม แต่นั้นก็ตั้งอยู่ด้วยมรรคญาณฉันนั้น. นระผู้ใคร่จะดูพระจันทร์ ในเวลาที่พระจันทร์ ถูกเมฆหมอกบดบังไว้ ครั้นเมื่อเมฆหมอกถูกพายุพัด ไปตามลำดับ จากหนาทึบเป็นบางและบางเข้าก็เห็น พระจันทร์ได้ฉันใด. โคตรภูญาณที่กำลังเพ่งอมตนิพพานอยู่ เมื่อ โมหะที่ปกปิดสัจจะไว้ถูกทำลายให้พินาศไปด้วย อนุโลมญาณตามลำดับก็ฉันนั้นเหมือนกัน อนุโลม- ญาณก็มิได้เห็นอมตนิพพาน เหมือนลมเหล่านั้นก็ มิได้เห็นพระจันทร์ โคตรภูญาณก็บรรเทาความมืด ไม่ได้ เหมือนบุรุษก็บรรเทาเมฆหมอกไม่ได้ฉะนั้น. แต่มรรคญาณนี้เป็นไปในพระนิพพาน มิได้ละ สัญญาอันโคตรภูญาณให้แล้ว จึงทำลายกองกิเลสมี กองโลภะเป็นต้นได้ เหมือนจักรยนต์ที่ใช้เป็นเป้า กำลังหมุนอยู่ นายขมังธนูยืนจ้องจะยิงอยู่แล้ว พอ สัญญาอันคนอื่นให้แล้ว ก็ยิงลูกศรไปทะลุแผ่นเป้า ได้ตั้ง ๑๐๐ ฉะนั้น. มรรคญาณนั้นนั่นแลทำทะเลหลวงคือสังสาร- ทุกข์ให้เหือดแห้งไป ปิดประตูทุคติเสียได้ ทำคน ที่มีหนี้คือกิเลสให้เป็นเสฏฐบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วย อริยทรัพย์ ละมิจฉามรรคเสียได้. ทำเวรและภัยทั้ง หลายให้สงบ, ทำตนให้เป็นลูกผู้เกิดแต่อกแห่งพระ พุทธเจ้าผู้เป็นนาถะของโลก, ญาณนี้ย่อมให้ซึ่ง อานิสงส์อื่นๆ อีกหลายร้อยอย่าง. ๑๒. อรรถกถาผลญาณุทเทส ว่าด้วยผลญาณ บทว่า ปโยโค แปลว่า การประกอบอย่างแรงกล้า, คือความพยายามที่ออกจากกิเลสและขันธ์ทั้ง ๒ ได้ด้วยมรรคภาวนาโดยทำให้แจ้งซึ่งผล, ความสงบ ปโยคปฏิปัสสัทธินั้นอย่างไร? คือการสิ้นสุดแห่งกิจในมรรคทั้ง ๔. ปัญญาในผลเป็นไปแล้ว เพราะปโยคปฏิปัสสัทธินั้นเป็นเหตุ ชื่อว่า ในผลนั้น ญาณอันสัมปยุตกับด้วยผลจิตนั้น (ชื่อว่า ผเล ญาณํ) ก็ต่อจากมรรคญาณหนึ่งๆ ผลจิตอันเป็นวิบากแห่งมรรคจิตนั้นๆ นั่นแหละมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เกิดขึ้น ๓ ขณะก็มี ๒ ขณะก็มี ๑ ขณะก็มี. และเพราะผลจิตนั้นเป็นวิบากเกิดขึ้นในลำดับแห่งโลกุตรกุศลทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สมาธิมานนฺตริกญฺญมาหุ บัณฑิตทั้งหลายกล่าวสมาธิอันประกอบด้วยผลญาณ ซึ่งเกิดต่อจากมรรคญาณว่าเป็นธรรมอันบัณฑิตพึงรู้ทั่วถึง, และตรัสคำเป็นต้นว่า ทนฺธํ อานนฺตริกํ ปาปุณาติ อาสวานํ ขยาย๑- - พระโยคีบุคคลบรรลุธรรมวิเศษเพื่อความสิ้นอาสวะช้า. ____________________________ ๑- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๑๖๒ อนุโลมจิตของพระโยคีบุคคลใดมี ๒ ขณะ, ที่ ๓ เป็นโคตรภู ที่ ๔ เป็นมรรค อนุโลมจิตของพระโยคีบุคคลใดมี ๓ ขณะ, ที่ ๔ เป็นโคตรภู ที่ ๕ เป็น อนุโลมจิตของพระโยคีบุคคลใดมี ๔ ขณะ, ที่ ๕ เป็นโคตรภู ที่ ๖ เป็นมรรค นี้เป็นผลในมรรควิถี. ส่วนผลในระหว่างกาล เกิดขึ้นด้วยอำนาจสมาบัติ และเกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติก็สงเคราะห์ด้วยผลญาณนี้เหมือนกัน. ๑๓. อรรถกถาวิมุตติญาณุทเทส ว่าด้วยวิมุตติญาณ ความว่า ปัญญาในการเห็นภายหลังซึ่งอุปกิเลสนั้นๆ อันอริยมรรคนั้นๆ ตัดขาดแล้ว. คำว่า วิมุตฺติญาณํ เป็นวิมุตติญาณ ความว่า ญาณในวิมุตติ. คำว่า วิมุตฺติ ได้แก่ จิตบริสุทธิหลุดพ้นจากอุปกิเลสทั้งหลาย, หรือความที่จิตนั้นหลุดพ้นแล้ว, ญาณคือความรู้ในวิมุตตินั้น ชื่อว่าวิมุตติญาณ. ท่านกล่าวอธิบายการพิจารณากิเลสที่ละแล้วด้วยญาณนี้ว่า พระอริยบุคคลเมื่อพิจารณาความสืบต่อแห่งจิตที่หลุดพ้นจากกิเลสแล้วก็ดี ซึ่งความหลุดพ้นจากกิเลสก็ดี เว้นกิเลสเสียก็พิจารณาไม่ได้ดังนี้. ก็คำว่า วิมุตฺตสฺมึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ โหติ แปลว่า เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วก็รู้ว่าหลุดพ้นแล้วดังนี้ ท่าน ส่วนการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่ แม้ไม่ได้กล่าวไว้แล้ว ก็พึงถือเอาว่าเป็นอันกล่าวแล้วด้วยวิมุตติญาณนี้แล. และท่านกล่าวไว้ว่า แม้กล่าวในเอกธรรม ก็เป็นอันกล่าวทั้งหมด เพราะสภาวธรรมนั้นมีลักษณะเป็นอันเดียวกัน, นี้เป็นลักษณะ เป็นหาระ ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบว่าเป็นอันกล่าวถึงการพิจารณากิเลสที่ละแล้วซึ่งพระอริยบุคคล ๔ จะพึงได้ เพราะพระอรหันต์ไม่มีการพิจารณากิเลสที่ยังเหลืออยู่. .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มาติกา |