บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
อ่าน อรรถกถาหน้าต่างที่ [หน้าสารบัญ] [๑] [๒] [๓] [๔] [๕] [๖] [๗] หน้าต่างที่ ๗ / ๗. ว่าด้วยทิพจักขุญาณ ความว่า ด้วยอำนาจแสงสว่างแห่งกสิณอย่างใดอย่างหนึ่ง คือเตโชกสิณ โอทาตกสิณ อาโลกกสิณอันเป็นอารมณ์แห่งจตุตถฌานอันแผ่ไปเพื่อเห็นรูปด้วยทิพยจักษุ. คำว่า นานตฺเตกตฺตรูปนิมิตฺตานํ - นิมิตคือรูปต่างกันและอย่างเดียวกัน. ความว่า รูปแห่งสัตว์ต่างๆ หรือรูปสัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในจำพวกที่มีกายต่างกัน หรือรูปทั้งหลายในทิศต่างๆ หรือรูปทั้งหลายที่ไม่ระคนกัน ชื่อว่า นานตฺตรูป - รูปต่างกัน. รูปแห่งสัตว์ผู้เดียว หรือรูปแห่งสัตว์ผู้เกิดในจำพวกที่มีกายอย่างเดียวกัน หรือรูปทั้งหลายในทิศเดียว หรือรูปทั้งหลายเข้ากันได้แห่งทิศต่างๆ เป็นต้น ชื่อ เอกตฺตรูป - รูปอย่างเดียวกัน. ก็ในคำว่า รูปํ นี้ ได้แก่ วัณณายตนะ (สี) เท่านั้น. เพราะวัณณายตนะนั้นย่อมแตกดับไป ฉะนั้นจึงชื่อว่ารูป. อธิบายว่า วัณณายตนะนั้น เมื่อถึงซึ่งวรรณวิการ - ความเปลี่ยนไปแห่งวรรณะ ก็ย่อมประกาศความถึงซึ่งหทัย. รูปนั่นแหละชื่อว่านิมิตคือรูป. แห่งนิมิตคือรูปต่างกันและอย่างเดียวกันเหล่านั้น. คำว่า ทสฺสนฏฺเฐ ปญฺญา - ปัญญาในอรรถว่าเห็น ได้แก่ปัญญาในการเห็นเป็นสภาวะ. คำว่า ทิพฺพจกฺขุญาณํ - ญาณในทิพจักขุ ชื่อว่าทิพย์ เพราะเป็นเช่นกับด้วยของทิพย์. ปสาทจักขุอันเป็นทิพย์ของทวยเทพอันเกิดขึ้นด้วยสุจริตกรรม อันไม่แปดเปื้อนด้วยมลทินทั้งหลายมีน้ำดีเสมหะและโลหิตเป็นต้น สามารถรับอารมณ์แม้ในที่ไกลได้เพราะพ้นจากมลทินเครื่องเศร้าหมอง. ญาณจักขุแม้นี้อันเกิดเพราะกำลังแห่งวีริยภาวนา ก็เป็นเช่นนั้นนั่นเอง ฉะนั้นจึงชื่อว่าทิพย์ เพราะเป็นเช่นกับของทิพย์, ชื่อว่าทิพย์ แม้เพราะเป็นธรรมอันตนอาศัยทิพวิหารธรรม เพราะได้เฉพาะด้วยอำนาจทิพวิหารธรรม, ชื่อว่าทิพย์ เพราะเป็นของรุ่งเรืองมากด้วยการกำหนดอาโลกะ - แสงสว่าง, ชื่อว่าทิพย์ แม้เพราะมีทางไปมาก ด้วยการเห็นรูปภายในฝาเรือนเป็นต้นได้. คำทั้งหมดนั้น พึงทราบตามครรลองแห่งคัมภีร์ศัพทศาสตร์. เพราะอรรถว่าเห็น จึงชื่อว่าจักขุ, ญาณนั้นเหมือนกับจักขุ แม้เหตุนั้นจึงชื่อว่าจักขุ, จักขุนั้นด้วยเป็นเพียงดังทิพย์ด้วย ฉะนั้นจึงชื่อว่าทิพจักขุ. ทิพจักขุนั้นด้วย ญาณด้วย รวมกันเป็นทิพจักขุญาณ - ญาณในทิพจักขุ. ๕๕. อรรถกถาอาสวักขยญาณุทเทส ว่าด้วยอาสวักขยญาณ ความว่า ด้วยอาการแห่งอินทรีย์อย่างละ ๘ ในมรรคผลหนึ่งๆ ทั้ง ๘ ในมรรคผลละ ๘ ละ ๘ จึงรวมเป็น ๖๔. คำว่า ติณฺณนฺนํ อินฺทฺริยานํ - อินทรีย์ ๓. ความว่า ในอินทรีย์ ๓ เหล่านี้คือ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์, อัญญินทรีย์, อัญญาตาวินทรีย์. คำว่า วสิภาวตา ปญฺญา - ปัญญาคือความเป็นผู้มีความชำนาญ. ความว่า ปัญญาอันเป็นไปแล้วโดยความเป็นผู้มีความชำนาญ, ปัญญาอันเป็นไปแล้วโดยความเป็นผู้มีความชำนาญแห่ง คำนี้พึงทราบว่าท่านกล่าวแล้ว เพราะความสำเร็จผลนั้นด้วยสามารถแห่งการสำเร็จเหตุ แม้เพราะความไม่มีในขณะแห่งอรหัต บทว่า อาสวานํ ขเย ญาณํ - ญาณในความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย. ความว่า อรหัตมรรคญาณอันกระทำความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายอันตนฆ่าเสียแล้ว. ๔๖-๕๙. อรรถกถาทุกขสมุทยนิโรธมรรคญาณุทเทส ว่าด้วยญาณในอริยสัจ บรรดาสัจจะทั้ง ๔ นั้น ทุกขสัจจะ ท่านกล่าวก่อน เพราะทุกข อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวทุกข์ก่อนก็เพื่อจะให้เกิดความสังเวชแก่สัตว์ทั้งหลายผู้ติดอยู่ด้วยความยินดีสุขในภพ, ทุกข์นั้นมิใช่มีมาโดยไม่มีเหตุ มิใช่มีเพราะพระอิศวรนิรมิตเป็นต้น, แต่มีมาจากสมุทัยนี้ ฉะนั้น ท่านจึงได้กล่าวสมุทยสัจจะไว้ในลำดับแห่งทุกข์นั้น เพื่อจะให้รู้เนื้อความนี้, แล้วกล่าวนิโรธไว้เพื่อให้เกิดความยินดีแก่สัตว์ทั้งหลายผู้มีใจสลดแล้ว ผู้แสวงหาธรรมเป็นเครื่องพ้นทุกข์ เพราะถูกทุกข์อันเป็นไปกับด้วยเหตุ คือสมุทัยครอบงำ, แล้วกล่าวมรรคอันให้ถึงนิโรธเพื่อให้บรรลุนิโรธ. ท่านได้ยกญาณทั้งหลายอันเป็นวิสัยแห่งสัจจะทั้ง ๔ นั้นขึ้นแสดงตามลำดับ ณ บัดนี้. บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ปริญฺญฏฺเฐ - ในอรรถว่ารู้รอบ. ความว่า ในสภาวะที่ควรรู้รอบ ๔ อย่างมีการเบียดเบียนเป็นต้นแห่งทุกข์. คำว่า ปหานฏฺเฐ - ในอรรถว่าละ. ความว่า ในสภาวะที่ควรละ ๔ อย่างมีการประมวลมาเป็นต้นแห่งสมุทัย. คำว่า สจฺฉิกิริยฏฺเฐ - ในอรรถว่ากระทำให้แจ้ง. ความว่า ในสภาวะที่ควรทำให้แจ้ง ๔ อย่าง มีการออกจากทุกข์เป็นต้นแห่งนิโรธ. คำว่า ภาวนฏฺเฐ - ในอรรถว่าเจริญ. ความว่า ในสภาวะที่ควรเจริญ ๔ อย่างมีการนำออกเป็นต้นแห่งมรรค. ๖๐-๖๓. อรรถกถาทุกขทุกขสมุทัยทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณุทเทส ว่าด้วยทุกขทุกขสมุทัยทุกขนิโรธทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาญาณ บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ทุกฺเข - ในทุกข์. ทุ ศัพท์ ในคำนี้ย่อมปรากฏในอรรถว่าน่าเกลียด. ชนทั้งหลายย่อมเรียกบุตรน่าเกลียดว่า ทุปุตตะ - บุตรชั่ว. ข ศัพท์นั้นย่อมปรากฏในอรรถว่าว่างเปล่า. จริงอยู่ ท่านเรียกอากาสที่ว่างว่า ขํ. ก็สัจจะที่ ๑ นี้ชื่อว่าน่าเกลียด เพราะเป็นที่ตั้งแห่งอุปัทวะเป็น ในคำว่า ทุกฺขสมุทเย - ในทุกขสมุทัยนี้ สํ ศัพท์นี้แสดงถึงสังโยคะ - การประกอบพร้อมกัน ดุจในคำเป็นต้นว่า สมาคโม - มาประชุมพร้อมกัน สเมตํ - มาถึงพร้อมกัน. อุ ศัพท์นี้แสดงถึงการอุบัติ ดุจในคำเป็นต้นว่า อุปฺปนฺนํ - เกิดขึ้นแล้ว อุทิตํ - ตั้งขึ้นแล้ว. อย ศัพท์ก็ย่อมแสดงถึงการณะ - เหตุ. ก็สัจจะที่ ๒ นี้ เมื่อการประชุมพร้อมแห่งปัจจัยที่เหลือมีอยู่ก็เป็นเหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่าทุกข ในคำว่า ทุกฺขนิโรเธ - ในความดับแห่งทุกข์นี้ นิศัพท์แสดงถึงอภาวะ - ความไม่มี, และโรธศัพท์ แสดงถึงการเที่ยวไปในวัฏสงสาร. เพราะฉะนั้น ความไม่มีแห่งการเที่ยวไปแห่งทุกข์ กล่าวคือการเที่ยวไปในสังสารทุกข์ เพราะว่างจากคติทั้งปวง, อีกอย่างหนึ่ง เมื่อบรรลุนิโรธนั้นแล้ว ทุกขนิโรธอันท่องเที่ยวไปในสงสารย่อมไม่มี เพราะความที่ทุกขนิโรธเป็นปฏิปักษ์ต่อการท่องเที่ยวไปในสังสาร แม้เพราะเหตุนี้ ก็เรียกว่าทุกข อีกอย่างหนึ่ง เรียกว่าทุกขนิโรธ เพราะเป็นปัจจัยแก่การดับไม่เกิดแห่งทุกข์. ในคำว่า ทุกฺขนิโรธคามินิยา ปฏิปทาย - ในปฏิปทาเป็นเหตุถึงซึ่ง มรรคญาณ ๔ เท่านั้น ในเบื้องต้นท่านกล่าวว่า มรรคญาณด้วยสามารถแห่งการแสดงอาการคือการออก, ท่าน ท่านแสดงญาณ ๔ เป็นต้นว่า ปัญญาในปริญเญยยธรรม ชื่อว่าทุกขญาณ เพื่อแสดงความที่มรรคญาณทั้ง ๔ เป็นญาณที่ตรัสรู้ โดยความเป็นอันเดียวกันซ้ำอีก ท่านยกญาณทั้ง ๔ มีทุกขญาณเป็นต้นด้วยสามารถแห่งการแสดงการเกิดขึ้นแยกกันในสัจจะหนึ่งๆ อีก ฉะนั้น พึงทราบความต่างกันทั้งในเบื้องต้นและเบื้องปลาย ดังแสดงมาด้วยประการฉะนี้แล. ๖๕-๖๗. อรรถกถาอัตถปฏิสัมภิทาธัมมปฏิสัมภิทา นิรุตติปฏิสัมภิทาปฏิภาณปฏิสัมภิทาญาณุทเทส ว่าด้วยปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ก็ปฏิสัมภิทาญาณเหล่านี้เป็นสุทธิกปฏิสัมภิทาญาณทั่วไปแก่พระอริย หรือญาณที่ท่านแสดงในลำดับมีทุกข์เป็นอารมณ์และมีนิโรธเป็นอารมณ์ เป็นอรรถปฏิสัมภิทา, ญาณมีสมุทัยเป็นอารมณ์และมีมรรคเป็นอารมณ์ เป็นธรรมปฏิสัมภิทา, ญาณในโวหารอันแสดงอรรถและธรรมนั้นเป็นนิรุตติปฏิสัมภิทา, ญาณในญาณทั้ง ๓ เหล่านั้นเป็นปฏิภาณปฏิสัมภิทา. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า ท่านยกสุทธิกปฏิสัมภิทาญาณขึ้นแสดง เพื่อจะชี้แจงความ ๖๘. อรรถกถาอินทริยปโรปริยัตตญาณุทเทส ว่าด้วยอินทริยปโรปริยัตตญาณ แม้บรรดาอสาธารณญาณทั้ง ๖ นั้น พระตถาคตเจ้าทั้งหลายเมื่อจะทรงตรวจดูความที่สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีภาชนะเป็นเครื่องรองรับพระธรรมเทศนา ก็ย่อมตรวจดูด้วยพุทธจักษุ. อินทริยปโรปริยัตตญาณและอาสยานุสยญาณทั้ง ๒ นี้เท่านั้น ชื่อว่าพุทธจักษุ. สมจริงดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๑- พระผู้มีพระภาคเจ้าตรวจดูสัตว์โลกด้วย พุทธจักษุได้ทรงเห็นแล้วแล ซึ่งสัตว์ทั้งหลาย บางพวกมีธุลีคือกิเลสในจักษุน้อย บางพวกมีธุลี คือกิเลสในจักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า บางพวกมีอินทรีย์อ่อน ดังนี้เป็นต้น. ____________________________ ๑- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๙ และเมื่อตรวจดูสัตว์โลกทั้งหลาย ก็ทรงตรวจดูความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ในสันดานของสัตว์ก่อน. ครั้นทรงทราบความแก่กล้าแห่งอินทรีย์แล้ว ต่อแต่นั้นก็ทรงตรวจดูอาสยานุสัยและจริต เพื่อแสดงธรรมตามสมควรแก่อาสยะเป็นต้น, แม้เพราะเหตุนั้น ท่านจึงยกอินทริยปโรปริยัตตญาณขึ้นแสดงก่อน, ในลำดับต่อจากนั้นก็ยกอาสยานุสยญาณขึ้นแสดง. ก็เมื่อจะทรงแสดงธรรม ย่อมทรงกระทำปาฏิหาริย์แก่ผู้ควรแนะนำด้วยปาฏิหาริย์, เพราะเหตุนั้น พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรจึงยกญาณในยมกปาฏิหาริย์ขึ้นแสดงในลำดับต่อจากอาสยานุสยญาณ, เพื่อจะแสดงเหตุแห่งญาณทั้ง ๓ เหล่านี้จึงยกมหากรุณาญาณขึ้นแสดง แล้วยกสัพพัญญุตญาณขึ้นแสดงเป็นลำดับต่อไป เพื่อแสดงความบริสุทธิ์แห่งมหากรุณาญาณ. พึงทราบว่า พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรได้ยกอนาวรณญาณขึ้นแสดงในลำดับแห่งสัพพัญญุตญาณนั้น เพื่อแสดงความที่พระสัพพัญญุตญาณเป็นญาณที่เนื่องด้วยการระลึกถึงธรรมทั้งปวง และเพื่อแสดงความที่พระสัพพัญญุตญาณเป็นอนาวริยภาพ คือไม่มีอะไรขัดข้อง. ในคำว่า อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณํ - ญาณในความยิ่งและหย่อนแห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลายนี้. บทว่า สตฺตานํ - แห่งสัตว์ทั้งหลาย. ข้างหน้าพึงนำมาประกอบในที่นี้ด้วยเป็น สตฺตานํ อินฺทฺริยปโรปริยตฺตญาณํ. เมื่อควรจะกล่าวว่า ปรานิ จ อปรานิ จ ปราปรานิ ท่านก็เรียกเสียว่า ปโรปรานิ เพราะทำให้เป็น โรอักษรด้วยสนธิวิธี. ภาวะแห่งปโรประ ชื่อว่าปโรปริยะ, ปโรปริยะนั่นแหละชื่อว่าปโรปริยัตตะ, ความอ่อนและความแก่กล้าแห่งอินทรีย์ ๕ มีสัทธาเป็นต้นของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ชื่อว่าอินทริยปโรปริ อธิบายว่า ญาณในความที่อินทรีย์ทั้งหลายเป็นคุณสูงและต่ำ ปาฐะว่า อินฺทฺริยวโรวริยตฺตญาณํ - ญาณในความที่อินทรีย์เป็นคุณประเสริฐ พึงประกอบคำว่า วรานิ จ อวริยานิ จ วโรวริยานิ - ประเสริฐด้วย ไม่ คำว่า อวริยานิ - ไม่ประเสริฐ. ความว่า ไม่สูงสุด. อีกอย่างหนึ่ง ปร-อินทรีย์ที่ใช้ได้ด้วย, โอปร-อินทรีย์ที่ใช้ไม่ได้ด้วย ชื่อว่าปโรประ. พึงประกอบความว่า ภาวะแห่งปโรประ ชื่อว่าปโรปริยัตตะ - ความเป็นแห่งอินทรีย์ที่ใช้ได้และใช้ไม่ได้ดังนี้. คำว่า โอปรานิ - อินทรีย์ที่ใช้ไม่ได้. มีคำอธิบายว่า ต่ำทราม. ความว่า ลามก ดุจในคำเป็นต้นว่า๑- พิจารณาธรรมอันลามกของผู้ใดอยู่ ดังนี้. ท่านตั้งปาฐะไว้เป็นสัตตมีวิภัตติว่า อินฺทฺริยปโรปริยตฺเตญาณํ ดังนี้ก็มี. ____________________________ ๑- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๕๙ ๖๙. อรรถกถาอาสยานุสยญาณุทเทส ว่าด้วยอาสยานุสยญาณ สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑- ดูก่อนราธะ เพราะเหตุที่ความพอใจ ความ กำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยานอยากใน รูปแล เป็นผู้ข้องในรูป เป็นผู้เกี่ยวข้องในรูปนั้น ฉะนั้นจึงเรียกว่าสัตว์ เพราะเหตุที่ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความทะยาน อยากในเวทนา... ในสัญญา... ในสังขาร... ใน วิญญาณ เป็นผู้ข้องในวิญญาณ เป็นผู้เกี่ยวข้อง ในวิญญาณนั้น ฉะนั้นจึงเรียกว่าสัตว์ ดังนี้เป็นต้น. ____________________________ ๑- สํ. ขนฺธ. ๑๗/๓๖๗ ส่วนอาจารย์ผู้เพ่งเฉพาะตัวอักษร ไม่ใคร่ครวญถึงอรรถะ ก็ลงความเห็นว่า คำนี้เป็นเพียงคำนามเท่านั้น. ฝ่ายอาจารย์เหล่าใดใคร่ครวญถึงอรรถะ, อาจารย์เหล่านั้นก็ย่อมประสงค์ความว่า ชื่อว่าสัตว์ เพราะประกอบกับสิ่งทั้งปวง. สิ่งใดอาศัยอยู่ เป็นที่อาศัยอยู่แห่งสัตว์เหล่านั้น ฉะนั้นสิ่งนั้นจึงชื่อว่าอาสยะ, คำนี้เป็นชื่อของสันดานอันมิจฉาทิฏฐิ หรือสัมมาทิฏฐิอบรมแล้ว, หรือว่าอันโทษทั้งหลายมีกามเป็นต้น หรือคุณทั้งหลายมีเนกขัมมะเป็นต้น อบรมแล้ว. กิเลสใดๆ ที่นอนเนื่องเป็นไปตาม อยู่ในสันดานของสัตว์ ฉะนั้น กิเลสนั้นๆ จึงชื่อว่าอนุสยา. คำนี้เป็นชื่อของกิเลสทั้งหลายมีกามราคะเป็นต้นอันมีกำลัง. อาสยะด้วย อนุสยะด้วย ชื่อว่าอาสยานุสยะ. พึงทราบว่าเป็นเอกวจนะ โดยชาติศัพท์และด้วยสามารถแห่งทวันทวสมาส. อธิมุติกล่าวคือจริต สงเคราะห์เข้าในอาสยานุสยะ เพราะเหตุนั้น ในอุทเทส ก็ท่านทำอุทเทสไว้ด้วยประสงค์ใด, นิทเทสท่านก็ทำไว้ด้วยประสงค์นั้นนั่นแล. ๗๐. อรรถกถายมกปาฏิหีรญาณุทเทส ว่าด้วยยมกปาฏิหีรญาณ ชื่อว่ายมกะ เพราะทำกองไฟและท่อธารแห่งน้ำเป็นต้น ให้เป็นไปในคราวเดียวกันไม่ก่อนไม่หลังทีเดียว, ชื่อว่าปาฏิหีระ เพราะกำจัดเสียซึ่งปฏิปักขธรรมทั้งหลายมีความไม่เชื่อเป็นต้น, ยมกะนั้นด้วย ปาฏิหีระด้วย ฉะนั้นจึงชื่อว่ายมกปาฏิหีระ. ๗๑. อรรถกถามหากรุณาสมาปัตติญาณุทเทส ว่าด้วยมหากรุณาสมาปัตติญาณ ธรรมชาติใด ครั้นเมื่อทุกข์ของผู้อื่นมีอยู่ ย่อมทำความหวั่นใจแก่สาธุชนทั้งหลาย หรือว่าย่อมรื้อคือย่อมเบียดเบียนทำลายทุกข์ของผู้อื่น ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่ากรุณา. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมชาติใดย่อมเรี่ยไร คือย่อมแผ่ไปด้วยอำนาจการแผ่ไปในเหล่าทุกขิตสัตว์ - สัตว์ผู้มีทุกข์ ฉะนั้น ธรรมชาตินั้นชื่อว่ากรุณา. กรุณาใหญ่ ชื่อว่ามหากรุณา ด้วยอำนาจกรรมคือการแผ่ไปและด้วยอำนาจกรรมอันเป็นคุณ. พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณา ย่อมเข้าสู่สมาบัตินี้ได้ ฉะนั้นจึงชื่อว่าสมาปัตติ - สมาบัติ. พระมหากรุณานั้นด้วย เป็นสมาบัติด้วย ฉะนั้นจึงชื่อว่ามหากรุณาสมาบัติ. ในมหากรุณาสมาบัตินั้น, ญาณอันสัมปยุตกับด้วยมหากรุณาสมาบัตินั้น. ๗๒-๗๓. อรรถกถาสัพพัญญุตญาณอนาวรณญาณุทเทส ว่าด้วยสัพพัญญุตญาณอนาวรณญาณ พระพุทธะพระองค์ใดทรงรู้ธรรมทั้งปวงมีประเภทแห่งคลองอันจะพึงแนะนำ ๕ ประการ ฉะนั้น พระพุทธะพระองค์นั้น ชื่อว่าสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวง, ความเป็นแห่งพระสัพพัญญู ชื่อว่าสัพพัญญุตา, ญาณคือพระสัพพัญญุตาญาณนั้น ควรกล่าวว่าสัพพัญญุตาญาณ ท่านก็กล่าวเสียว่า สัพพัญญุตญาณ. จริงอยู่ ธรรมทั้งปวงต่างโดยเป็นสังขตธรรมเป็นต้น เป็นครรลองธรรมที่จะพึงแนะนำมี ๕ อย่างเท่านั้น#- คือสังขาร ๑, วิการ ๑, ลักขณะ ๑, นิพพาน ๑ และบัญญัติ ๑. ____________________________ #- ในคัมภีร์อภิธานัปปทีปิกาเรียกธรรม ๕ มีสังขารเป็นต้นนี้ว่าไญยธรรม. คำว่า สพฺพญฺญู - รู้ธรรมทั้งปวง ความว่า สัพพัญญูมี ๕ อย่างคือ ๑. กมสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงตามลำดับ, ๒. สกิงสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงในคราวเดียวกัน, ๓. สตตสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงติดต่อกันไป, ๔. สัตติสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงด้วยความสามารถ, ๕. ญาตสัพพัญญู - รู้ธรรมทั้งปวงที่รู้แล้ว. กมสัพพัญญุตาย่อมมีไม่ได้ เพราะกาลเป็นที่รู้ธรรมทั้งปวงไม่เกิดขึ้น ตามลำดับ, สกิงสัพพัญญุตาก็มีไม่ได้ เพราะไม่มีการรับอารมณ์ทั้งปวงได้ในคราวเดียวกัน, สตตสัพพัญญุตาก็มีไม่ได้ เพราะความเกิดขึ้นแห่งจิตในอารมณ์ตามสมควรแก่จิต มีจักขุวิญญาณจิตเป็นต้น และเพราะไม่มีการประกอบในภวังคจิต, สัตติสัพพัญญุตาพึงมีได้ เพราะสามารถรู้ธรรมทั้งปวงโดยการแสวงหา, ญาตสัพพัญญุตาก็พึงมีได้ เพราะธรรมทั้งปวงรู้แจ่มแจ้งแล้ว. ข้อว่าความรู้ธรรมทั้งปวงไม่มีในสัตติสัพพัญญุตาแม้นั้นย่อมไม่ถูกต้อง เพราะท่านกล่าวไว้ว่า๑- อะไรๆ อันพระตถาคตเจ้านั้นไม่เห็นแล้วไม่มีในโลกนี้ อนึ่ง อะไรๆ ที่ไม่รู้แจ้งและไม่ควรรู้ก็ไม่มี, สิ่งใดที่ควร แนะนำมีอยู่ พระตถาคตเจ้าได้รู้ธรรมทั้งหมดนั้นแล้ว เพราะเหตุนั้น พระตถาคตเจ้าจึงชื่อว่าสมันตจักขุ. ฉะนั้น ญาตสัพพัญญุตาเท่านั้น ย่อมถูกต้อง. ____________________________ ๑- ขุ. มหา. เล่ม ๒๙/ข้อ ๗๒๗ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ สัพพัญญุตญาณนั่นแลย่อมมีได้โดยกิจ โดยอสัมโมหะ โดยการสำเร็จแห่งเหตุ โดยเนื่องกับอาวัชชนะ ด้วยประการฉะนี้. อารมณ์เป็นเครื่องกั้นญาณนั้นไม่มี เป็นญาณที่เนื่องด้วยอาวัชชนะนั่นเอง ฉะนั้น ญาณนั้นจึงชื่อว่าอนาวรณะ - ไม่มีการติดขัด, อนาวรณะนั้นนั่นแหละ ท่านเรียกว่าอนาวรณญาณ ด้วยประการฉะนี้. คำว่า อิมานิ เตสตฺตติ ญาณานิ - ญาณ ๗๓ เหล่านี้. ความว่า ญาณทั้ง ๗๓ เหล่านี้ ท่านยกขึ้นแสดงด้วยสามารถแห่งญาณอันทั่วไปและไม่ทั่วไปแก่พระสาวกทั้งหลาย. คำว่า อิเมสํ เตสตฺตติยา ญาณานํ - แห่งญาณ ๗๓ เหล่านี้. ความว่า แห่งญาณทั้งหลาย ๗๓ ญาณเหล่านี้อันท่านกล่าวแล้วตั้งแต่ต้น. ก็คำนี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถว่าเป็นกลุ่ม. ปาฐะว่า เตสตฺตตีนํ ดังนี้ก็มี. เมื่อกล่าวว่า เตสตฺตติยา พึงทราบว่าเป็นพหุวจนะในรูปเอกวจนะ คำว่า สตฺตสฏฺฐิ ญาณานิ - ญาณ ๖๗ ได้แก่ ญาณ ๖๗ นับตั้งแต่ต้นมา. คำว่า สาวกสาธารณานิ - ทั่วไปแก่พระสาวก. ความว่า ชื่อว่าสาวก เพราะเกิดโดยชาติแห่งอริยะในที่สุดแห่งการฟัง, ชื่อว่าสาธารณะ เพราะการทรงไว้มีอยู่แก่ญาณเหล่านั้น, ญาณ ๖๗ นั้นเป็นญาณที่ทั่วไปแก่พระสาวกของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าสาวกสาธารณะ - ทั่วไปแก่พระสาวกทั้งหลาย. คำว่า ฉ ญาณานิ - ญาณ ๖ ได้แก่ ๖ ญาณที่ท่านยกขึ้นแสดงในที่สุด. คำว่า อสาธารณานิ สาวเกหิ - ไม่ทั่วไปแก่พระสาวก. ความว่า ญาณทั้งหลาย ๖ ญาณเฉพาะของพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย ไม่ทั่วไปแก่พระสาวกทั้งหลาย ฉะนี้แล. อรรถกถาญาณกถามาติกุทเทส ในอรรถกถาปฏิสัมภิทามรรค ชื่อสัทธัมมปกาสินีจบ ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มาติกา จบ. |