ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 103อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 112อ่านอรรถกถา 31 / 115อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา
ภังคานุปัสสนาญาณนิทเทส

               อรรถกถาภังคานุปัสสนาญาณนิทเทส               
               โส อุทยพฺพยานุปสฺสนาย ฐิโต โยคาวจโร มคฺคามคฺคววตฺถาปเนน อุปกฺกิเลสวิมุตฺตํ วีถิปฏิปนฺนํ อุทยพฺพยานุปสฺสนาญาณํ มคฺโคติ ญตฺวา ติลกฺขณสลฺลกฺขเณน ตสฺเสว มคฺคสฺส สุวิสทกรณตฺถํ ปุน อุทยพฺพยานุปสฺสนํ อารภิตฺวา อุทยพฺพเยน ปริจฺฉินฺเน สงฺขาเร อนิจฺจาทิโต วิปสฺสติ ฯ
               [๑๑๒-๑๑๓] พระโยคาวจรนั้นตั้งอยู่ในอุทยัพพยานุปัสนาญาณ ครั้นรู้อุทยัพพยานุปัสนาญาณที่ปฏิบัติไปตามวิถี พ้นจากอุปกิเลสด้วยการให้กำหนดมรรค - ทาง และมิใช่มรรค - ทาง ว่าเป็นมรรค - ทางดังนี้ แล้วปรารภอุทยัพพยานุปัสนาญาณอีก เพื่อทำญาณนั้นให้บริสุทธิ์ด้วยดี ด้วยกำหนดพระไตรลักษณ์ แล้วเห็นแจ้งสังขารทั้งหลายที่กำหนดด้วยความเกิดและความเสื่อม โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น. ญาณนั้นของพระโยคาวจรนั้นเป็นญาณแก่กล้า ย่อมนำไปอย่างนี้, สังขารทั้งหลายย่อมปรากฏเบา, เมื่อญาณแก่กล้านำไป เมื่อสังขารปรากฏเบา ญาณไม่ก้าวล่วงความเกิด เมื่อความดับมีอยู่ ก็ยังตั้งอยู่พร้อม.
               อีกอย่างหนึ่ง เพราะน้อมไปสู่นิโรธ ญาณละความเกิดตั้งสติไว้ในความดับ, ภังคานุปัสนาญาณย่อมเกิดขึ้นในที่นี้.
               บัดนี้ พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งญาณนั้น.
               บทว่า รูปารมฺมณตา จิตฺตํ อุปฺปชฺชิตฺวา ภิชฺชติ ได้แก่ จิตมีรูปเป็นอารมณ์เกิดขึ้นแล้วดับไป.
               อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า จิตเกิดขึ้นในความมีรูปเป็นอารมณ์แล้วดับไป.
               บทว่า ตํ อารมฺมณํ ปฏิสงฺขา - พิจารณาเห็นอารมณ์นั้น. ความว่า รู้อารมณ์นั้นด้วยการพิจารณา. เห็นโดยความสิ้นไป โดยความเสื่อมไป.
               บทว่า ตสฺส จิตฺตสฺส ภงฺคํ อนุปสฺสติ - ย่อมพิจารณาเห็นความดับแห่งจิตนั้น. ความว่า รูปอารมณ์นั้นอันจิตใดเห็นโดยความสิ้นไปและโดยความเสื่อมไป, พระโยคาวจรย่อมพิจารณาเห็นความดับแห่งจิตนั้น ด้วยจิตดวงอื่น. ด้วยเหตุนั้น พระโบราณาจารย์จึงกล่าวไว้ว่า ญาตญฺจ ญาณญฺจ อุโภ วิปสฺสติ - พระโยคาวจรย่อมพิจารณาเห็นทั้งสองอย่าง คือจิตที่รู้แล้ว และญาณ.
               อนึ่ง ในบทว่า จิตฺตํ นี้ ท่านประสงค์เอาสัมปยุตจิต.
               บทว่า อนุปสฺสติ - ย่อมพิจารณาเห็น. ความว่า ย่อมเห็นตามๆ ไป, คือเห็นบ่อยๆ ด้วยอาการไม่น้อย. ด้วยเหตุนั้น พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า อนุปสฺสตีติ กถํ อนุปสฺสติ, อนิจฺจโต อนุปสฺสติ เป็นอาทิ - ย่อมพิจารณาเห็นอย่างไร ชื่อว่าพิจารณาเห็น ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นของไม่เที่ยง.
               ในบทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้
               เพราะที่สุดโต่ง โดยความเป็นของไม่เที่ยง ชื่อว่าภังคะ, ฉะนั้น พระโยคาวจรผู้เจริญภังคานุปัสนา ย่อมพิจารณาเห็นรูปทั้งหมด โดยความเป็นของไม่เที่ยง, มิใช่เห็นโดยความเป็นของเที่ยง. แต่นั้นพิจารณาเห็นรูปนั้นนั่นแล โดยความเป็นทุกข์ มิใช่โดยความเป็นสุข เพราะสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และสิ่งที่เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา. ย่อมพิจารณาเห็นโดยความเป็นอนัตตา, มิใช่โดยความเป็นอัตตา.
               อนึ่ง เพราะสิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สิ่งนั้นไม่ควรยินดี, สิ่งใดไม่ควรยินดี ไม่ควรกำหนัดในสิ่งนั้น. ฉะนั้น พระโยคาวจรย่อมเบื่อหน่าย, มิใช่พอใจ, ย่อมคลายกำหนัด, มิใช่กำหนัดในรูปที่เห็นนั้นว่า อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา โดยทำนองเดียวกับภังคานุปัสนาญาณ.
               พระโยคาวจรนั้นคลายกำหนัดอย่างนี้ ดับราคะด้วยญาณอันเป็นเพียงโลกิยะ. อธิบายว่า ไม่เกิดขึ้น, ไม่ทำให้เกิดขึ้น.
               อีกอย่างหนึ่ง พระโยคาวจรนั้นคลายกำหนัดอย่างนี้แล้ว ย่อมดับแม้รูปที่ไม่เห็นเหมือนรูปที่เห็นด้วยสามารถ อนฺวยญาณ - ญาณอันสืบเนื่องกัน มิใช่ให้เกิดขึ้น.
               พระโยคาวจรทำไว้ในใจโดยการดับ, ย่อมเห็นการดับของรูปนั้น, มิใช่เห็นความเกิด. พระโยคาวจรนั้นปฏิบัติอย่างนี้แล้วย่อมสละคืน, มิใช่ถือเอา.
               ท่านอธิบายไว้อย่างไร?
               การพิจารณาเห็นความไม่เที่ยงเป็นต้นนี้ ท่านกล่าวว่า เป็นการสละคืนด้วยการบริจาค และสละคืนด้วยการแล่นไป เพราะสละกิเลสด้วยอภิสังขารถือขันธ์กับด้วยตทังคปหานะ และเพราะความแล่นไป เพราะน้อมญาณนั้นไปในนิพพานอันตรงกันข้ามกับกิเลสนั้น ด้วยการเห็นโทษของสังขตะ.
               เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้ประกอบด้วยอนุปัสนานั้น ย่อมบริจาค - สละกิเลสทั้งหลาย โดยนัยดังกล่าวแล้ว และย่อมแล่นไปในนิพพาน. ไม่ยึดถือกิเลสด้วยทำให้เกิดขึ้น, ไม่ยึดถือสังขตะเป็นอารมณ์ด้วยการไม่ชี้ถึงโทษ,
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปฏินิสฺสชฺชติ, โน อาทิยติ - ย่อมสละคืน, ย่อมไม่ยึดถือ.
               บัดนี้ เพื่อแสดงการละธรรมด้วยญาณเหล่านั้นของพระโยคาวจรนั้น พระสารีบุตรจึงกล่าวบทมีอาทิว่า อนิจฺจโต อนุปสฺสนฺโต นิจฺจสญฺญํ ปชหติ - พระโยคาวจรเมื่อพิจารณาเห็นโดยความไม่เที่ยง ย่อมสละนิจสัญญา ดังนี้.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า นนฺทึ - ความพอใจ ได้แก่ ตัณหาพร้อมด้วยปีติ.
               บทว่า ราคํ - ความกำหนัด ได้แก่ ตัณหาที่เหลือ.
               บทว่า สมุทยํ - ความเกิดขึ้น ได้แก่ ความเกิดขึ้นแห่งราคะ.
               อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ความเกิดขึ้นแห่งรูป.
               บทว่า อาทานํ - ความยึดถือ ได้แก่ ยึดถือกิเลสด้วยการทำให้เกิด. พึงทราบบทมีอาทิว่า เวทนารมฺมณตา - ความมีเวทนาเป็นอารมณ์โดยนัยดังกล่าวแล้วในที่นี้ และในตอนก่อน.
               [๑๑๔] อนึ่ง พึงทราบความในคาถาทั้งหลายดังต่อไปนี้
               บทว่า วตฺถุสงฺกมนา - การก้าวไปสู่วัตถุ. ความว่า การก้าวไปสู่วัตถุอื่นแด่ปุริมวัตถุ ด้วยการเห็นความดับของจิตที่เห็นความดับของขันธ์หนึ่งๆ ในขันธ์ทั้งหลายมีรูปขันธ์เป็นต้น เป็นอันเห็นความดับแล้ว.
               บทว่า ปญฺญาย จ วิวฏฺฏนา - การหลีกไปด้วยปัญญา ได้แก่ ละความเกิดเสียแล้วตั้งอยู่ในความเสื่อม.
               บทว่า อาวชฺชนา พลญฺเจว - การคำนึงถึงอันเป็นกำลัง คือความเป็นผู้สามารถคำนึงถึงในลำดับนั่นเอง เพื่อเห็นความดับของขันธ์หนึ่งๆ ในขันธ์ทั้งหลายมีรูปขันธ์เป็นต้นแล้ว เห็นความดับของจิตอันมีความดับเป็นอารมณ์.
               บทว่า ปฏิสงฺขา วิปสฺสนา - การพิจารณาหาทางและความเห็นแจ้ง คือการพิจารณาอารมณ์นี้ ชื่อว่าภังคานุปัสสนา.
               บทว่า อารมฺมณอนฺวเยน อุโภ เอกววตฺถนา ธรรม ๒ อย่าง บัณฑิตกำหนดเอาด้วยสภาพเดียวกัน โดยความเป็นไปตามอารมณ์.
               ความว่า การกำหนดธรรม ๒ ประการ โดยสภาพเดียวกันว่า สังขารแม้ในอดีตแตกแล้ว, แม้ในอนาคตก็จักแตกเหมือนสังขารนี้ ด้วยความเป็นไปตามอารมณ์ที่เห็นแล้ว โดยประจักษ์.
               แม้โบราณาจารย์ก็กล่าวไว้ว่า
                                   สํวิชฺชมานมฺหิ วิสุทฺธทสฺสโน
                                   ตทนฺวยํ เนติ อตีตนาคเต,
                                   สพฺเพปิ สงฺขารคตา ปโลกิโน
                                   อุสฺสาวพินฺทู สุริเยว อุคฺคเต.

                         ภิกษุผู้มีความเห็นบริสุทธิ์ในสังขารที่เป็นปัจจุบัน
                         ย่อมน้อมนำความเห็นบริสุทธิ์นั้นไปพิจารณาสังขาร
                         ที่เป็นอดีตและอนาคตว่า สังขารทั้งหลายแม้ทั้งหมด
                         ก็มีปรกติแตกสลายไป เหมือนหยาดน้ำค้างแห้งไป
                         ในเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ฉะนั้น.

               บทว่า นิโรเธ อธิมุตฺตตา - ความน้อมจิตไปในความดับ.
               ความว่า ความน้อมไป ความเป็นผู้หนักแน่น ความเอียงไป ความโอนไป ความลาดไปในความดับอันได้แก่ภังคะ-ความทำลายนั้น เพราะทำความกำหนดธรรมทั้งสองอย่างให้เป็นอันเดียวกัน ด้วยอำนาจความดับอย่างนี้.
               บทว่า วยลกฺขณวิปสฺสนา - วิปัสสนาอันมีความเสื่อมไปเป็นลักษณะ. ท่านอธิบายว่า วิปัสสนานี้ชื่อว่าวยลักขณวิปัสสนา.
               บทว่า อารมฺมณญฺจ ปฏิสงฺขา - พิจารณาอารมณ์ คือรู้อารมณ์มีรูปเป็นต้นก่อน.
               บทว่า ภงฺคญฺจ อนุปสฺสติ - พิจารณาเห็นความดับ.
               ความว่า เห็นความดับของอารมณ์นั้นแล้ว พิจารณาเห็นความดับของอารมณ์นั้นและของจิต.
               บทว่า สุญฺญโต จ อุปฏฺฐานํ - ปรากฏโดยความเป็นของสูญ ได้แก่ ความปรากฏโดยความเป็นของสูญว่า สังขารทั้งหลายย่อมแตก, ความแตกแห่งสังขารเหล่านั้นคือความตาย, ไม่มีอะไรๆ อื่น ดังนี้ย่อมสำเร็จ.
               ด้วยเหตุนั้น โบราณาจารย์จึงกล่าวว่า
                                   ขนฺธา นิรุชฺฌนฺติ น จตฺถิ อญฺโญ
                                   ขนฺธาน เภโท มรณนฺติ วุจฺจติ,
                                   เตสํ ขยํ ปสฺสติ อปฺปมตฺโต
                                   มณีว วิชฺฌํ วชิเรน โยนิโส.

                                   ขันธ์ทั้งหลายย่อมดับ ไม่มีอะไรๆ อื่น
                         คือ ไม่มีสัตว์บุคคล ความแตกแห่งขันธ์ ท่าน
                         เรียกว่า มรณะ ผู้ไม่ประมาทเห็นความสิ้นไป
                         แห่งขันธ์เหล่านั้นโดยแยบคาย ดุจช่างแก้วมณี
                         ใส่ใจอยู่ซึ่งการเจาะด้วยแก้ววิเชียร ฉะนั้น.

               บทว่า อธิปญฺญา วิปสฺสนา ท่านอธิบายไว้ว่า การพิจารณาอารมณ์ การเห็นแจ้งความดับและความปรากฏโดยความเป็นของสูญ ชื่อว่าอธิปัญญาวิปัสสนา - ความเห็นแจ้งด้วยอธิปัญญา.
               บทว่า กุสโล ตีสุ อนุปสฺสนาสุ ได้แก่ ภิกษุผู้ฉลาดในอนุปัสสนา ๓ มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น.
               บทว่า จตูสุ จ วิปสฺสนาสุ ได้แก่ ในวิปัสสนา ๔ มีนิพพิทานุปัสสนาเป็นต้น.
               บทว่า ตโย อุปฏฺฐาเน กุสลตา ความเป็นผู้ฉลาด ความปรากฏ ๓ ประการ ได้แก่เพราะความเป็นผู้ฉลาดในความปรากฏ ๓ ประการนี้ คือโดยความสิ้นไป โดยความเสื่อมไปและโดยความสูญไป.
               บทว่า นานาทิฏฺฐีสุ น กมฺปติ - ย่อมไม่หวั่นในทิฏฐิต่างๆ คือไม่หวั่นไหวในทิฏฐิมีประการต่างๆ มีสัสสตทิฏฐิเป็นต้น.
               พระโยคาวจรนั้นมิได้หวั่นไหวอยู่อย่างนี้ มีมนสิการเป็นไปแล้วว่า สิ่งไม่ดับย่อมดับ สิ่งไม่แตกย่อมแตกดังนี้ ก็สละนิมิตอันเป็นไปแล้วในอุปาทะฐิติแห่งสังขารทั้งปวง ดุจภาชนะเก่ากำลังแตก, ดุจธุลีละเอียดกำลังกระจัดกระจาย, ดุจเมล็ดงาถูกคั่วอยู่ ย่อมเห็นความทำลายนั่นเอง.
               พระโยคาวจรนั้นย่อมเห็นว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงย่อมทำลายไป ทำลายไปเหมือนบุรุษผู้มีตาดียืนอยู่บนฝั่งสระโบกขรณีหรือบนฝั่งแม่น้ำ เมื่อฝนหนาเม็ดตก พึงเห็นฟองน้ำฟองใหญ่ๆ ผุดขึ้นๆ บนหลังน้ำแล้วก็แตกไป ฉะนั้น.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงพระโยคาวจรเห็นปานนั้นว่า๑-
                         ยถา ปุพฺพุฬกํ ปสฺเส  ยถา ปสฺเส มรีจิกํ
                         เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ   มจฺจุราชา น ปสฺสติ.
                              มัจจุราชย่อมไม่เห็นผู้พิจารณาเห็นโลกอยู่
                         เหมือนพระโยคาวจรเห็นฟองน้ำ หรือพยับแดด
                         ฉะนั้น.
____________________________
๑- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๓

               เมื่อพระโยคาวจรนั้นเห็นบ่อยๆ อย่างนี้ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงย่อมแตกไปๆ ดังนี้ ภังคานุปัสสนาญาณมีอานิสงส์ ๘ เป็นบริวารย่อมมีกำลัง.
               อานิสงส์ ๘ เหล่านี้ คือ
                         การละภวทิฏฐิ ๑
                         การสละความใคร่ในชีวิต ๑
                         การประกอบความขวนขวายในการบุญทุกเมื่อ ๑
                         ความมีอาชีพบริสุทธิ์ ๑
                         การละความขวนขวายในการทำบาป ๑
                         ความปราศจากภัย ๑
                         การได้ขันติและโสรัจจะ ๑
                         การอดกลั้นความยินดียินร้าย ๑.
               ด้วยเหตุนั้น โบราณาจารย์จึงกล่าวว่า
                                   อิมานิ อฏฺฐคฺคุณมุตฺตมานิ
                                   ทิสฺวา ตหึ สมฺมสตี ปุนปฺปุนํ,
                                   อาทิตฺตเจลสฺสิรสูปโม มุนิ
                                   ภงฺคานุปสฺสี อมตสฺส ปตฺติยา.

                         พระมุนี ผู้เห็นสังขารทั้งหลายแตกดับไปเนืองๆ
               ครั้นเห็นอานิสงส์อันมีการละภวทิฏฐิเป็นต้น เหล่านี้ว่า
               เป็นธรรมสูงสุด ด้วยคุณ ๘ ประการแล้ว เพื่อบรรลุอมตะ
               คือพระนิพพาน จึงพิจารณาสังขารด้วยภังคานุปัสสนา-
               ญาณบ่อยๆ เหมือนบุคคลมีผ้าโพกศีรษะอันไฟกำลังลุก
               ไหม้ ฉะนั้น.

               จบอรรถกถาภังคานุปัสสนาญาณนิทเทส               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา ภังคานุปัสสนาญาณนิทเทส จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 103อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 112อ่านอรรถกถา 31 / 115อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=1360&Z=1393
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=47&A=6188
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=47&A=6188
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :