![]() |
บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
![]() |
![]() | |
![]() ![]() ![]() ![]() ![]() พระสารีบุตรเถระครั้นกล่าวองค์แห่งมรรคไว้แผนกหนึ่งๆ ก่อน เพราะอรรถว่าเป็นเหตุในขณะแห่งมรรคนั่นเอง แล้วจึงแสดงถึงโพชฌงค์ไว้แผนกหนึ่งโดยความเป็นองค์แห่งอริยะ อันได้ชื่อว่าโพธิ เพราะอรรถว่าตรัสรู้ธรรมอันเป็นองค์แห่งมรรค และมิใช่องค์แห่งมรรคอีก. จริงอยู่ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ วีริยสัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ เป็นองค์แห่งมรรคอย่างเดียว, ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ มิใช่องค์แห่งมรรค. บรรดาธรรมทั้งหลายที่แสดงไว้ต่างหาก โดยเป็นพละและอินทรีย์ ศรัทธาเท่านั้นมิใช่เป็นองค์แห่งมรรค. พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงธรรมที่เกิดในขณะแห่งมรรคอีก ด้วยสามารถเป็นหมวดหมู่ จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อาธิปเตยฺยฏฺเฐน - ชื่อว่าอินทรีย์ เพราะอรรถว่าเป็นใหญ่. ในบทเหล่านั้นบทว่า อุปฏฺฐานฏฺเฐน สติปฏฺฐานา - ชื่อว่าสติปัฏฐาน เพราะอรรถว่าตั้งมั่น. ความว่า สติเป็นไปในกาย เวทนา จิต ธรรม มีนิพพานเป็นอารมณ์อย่างเดียวเท่านั้น ทั้ง ๔ อย่างนั้น ชื่อว่าสติปัฏฐาน ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจในการละความสำคัญว่างาม เป็นสุข เที่ยง เป็นตัวตน, วีริยะอย่างเดียวเท่านั้น มีนิพพานเป็นอารมณ์ ชื่อว่าสัมมัปธาน ๔ ด้วยให้สำเร็จกิจ คือละอกุศลที่เกิดแล้วและอกุศลที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น ให้สำเร็จกิจคือความเกิดขึ้นแห่งกุศลที่ยังไม่เกิดและความตั้งอยู่แห่งกุศลที่เกิดขึ้นแล้ว. บทว่า ตถฏฺเฐน สจฺจา - ชื่อว่าสัจจะ เพราะอรรถว่าจริงแท้. ความว่า ชื่อว่าอริยสัจ ๔ เพราะอรรถว่าไม่ผิด ในความเป็นสัจจะมีทุกข์เป็นต้น. อนึ่ง ในบทนี้ อริยสัจ ๔ นั่นแหละ ชื่อว่าประชุมกันในครั้งนั้น เพราะอรรถว่าเป็นการรู้แจ้งแทงตลอด. และท่านกล่าวถึงนิพพานไว้ต่างหากว่า อมโตคธํ นิพฺพานํ - หยั่งลงสู่อมตะ คือ พระนิพพาน. ส่วนธรรมที่เหลือชื่อว่าประชุมกันในครั้งนั้น เพราะอรรถว่าได้รับเฉพาะ. ในบทนี้ควรตัดสินว่า พระโยคาวจรย่อมพิจารณาสัจจะ ๔ อย่างแน่นอนในที่สุดแห่งมรรคผล เพราะคำว่า ตถฏฺเฐน สจฺจา ตทา สมุทาคตา - ชื่อว่าสัจจะประชุมกันในครั้งนั้น เพราะอรรถว่าเป็นสภาวะจริงแท้. และเพราะคำว่า๑- กตํ กรณียํ นาปรํ อิตฺถตฺ ตายาติ ปชานาติ - ย่อมรู้ว่ากิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นที่ควรทำเพื่ออย่างนี้อีก จึงเป็นอันกล่าวถึงการพิจารณาว่า ทุกข์อันเรากำหนดรู้แล้ว สมุทัยอันเราละแล้ว นิโรธอันเราทำให้แจ้งแล้ว มรรคอันเราเจริญแล้ว. การพิจารณาอย่างนั้นสมควร. ____________________________ ๑- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๒๓ อนึ่งในบทว่า สมุทโย นี้ พึงทราบถึงกิเลสที่ทำลายด้วยมรรคนั้นๆ นั่นแล. ด้วยการพิจารณาสมุทัยที่ท่าน จริงอยู่ เมื่อการรู้แจ้งแทงตลอดสัจจะ สำเร็จแก่ผู้ปฏิบัติเพื่อรู้แจ้งแทงตลอดสัจจะ การพิจารณาถึงกิจที่ทำเสร็จแล้วด้วยตนเอง เป็นความสมควรทีเดียว. บทมีอาทิว่า อวิกฺเขปฏฺเฐน สมโถ - ชื่อว่าสมถะ เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน. ความว่า พระสารีบุตรเถระกล่าวธรรม คือสมถะและวิปัสสนาอันสัมปยุตด้วยมรรค เพื่อแสดงโดยอรรถมีรสอย่างเดียวกัน และโดยอรรถอันไม่ล่วงล้ำกัน. บทว่า สํวรฏฺเฐน สีลวิสุทฺธิ - ชื่อว่าสีลวิสุทธิ เพราะอรรถว่าสำรวม ได้แก่ มีวาจาชอบ มีการงานชอบ มีการเลี้ยงชีพชอบ. บทว่า อวิกฺเขปฏฺเฐน จิตฺตวิสุทฺธิ - ชื่อว่าจิตตวิสุทธิ เพราะอรรถว่าไม่ฟุ้งซ่าน ได้แก่ มีความตั้งใจชอบนั่นเอง. บทว่า ทสฺสนฏฺเฐน ทิฏฺฐิวิสุทฺธิ - ชื่อว่าทิฏฐิวิสุทธิ เพราะอรรถว่าเห็น ได้แก่ เห็นชอบนั่นเอง. บทว่า วิมุตฺตฏฺเฐน เพราะอรรถว่าหลุดพ้น คือหลุดพ้นจากกิเลส ทำลายด้วยมรรค ด้วยความเด็ดขาด หรือน้อมไปในอารมณ์คือนิพพาน. บทว่า วิโมกฺโข - ความหลุดพ้น ได้แก่ ความหลุดพ้นโดยเด็ดขาด คืออริยมรรคนั่นเอง. บทว่า ปฏิเวธนฏฺเฐน วิชฺชา - ชื่อว่าวิชชา เพราะอรรถว่าแทงตลอด คือแทงตลอดสัจจะ. ได้แก่ สัมมาทิฏฐิ - เห็นชอบนั่นเอง. บทว่า ปริจฺจาคฏฺเฐน วิมุตฺติ - ชื่อว่าวิมุตติ เพราะอรรถว่าปล่อย. มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่าวิมุตติ เพราะพ้นจากกิเลสนั้นด้วยการละกิเลสอันมรรคฆ่าแล้ว. ได้แก่อริยมรรคนั่นเอง. บทว่า สมุจฺเฉทฏฺเฐน ขเย ญาณํ - ชื่อว่าขยญาณ เพราะอรรถว่าตัดขาด. ความว่า ชื่อว่าอริยมรรคญาณทำความสิ้นไปแห่งกิเลสด้วยการตัดกิเลสได้เด็ดขาด. ได้แก่ เห็นชอบนั่นเอง. พึงทราบฉันทะเป็นต้น โดยนัยดังได้กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล. จริงอยู่ ในบทนี้พระสารีบุตรเถระแสดงโดยอาการเป็น อนึ่ง ในบทว่า วิมุตฺติ นี้ได้แก่ มรรควิมุตตินั่นเอง. อนึ่ง นิพพานแม้ท่านถือเอาในบทว่า ตถฏฺเฐน สจฺจา ชื่อว่าสัจจะ เพราะอรรถว่าจริงแท้ ก็พึงทราบว่าท่านกล่าวอีก เพื่อแสดงถึงความเป็นที่สุดในบทนี้. แม้ในขณะแห่งผลก็มีนัยนี้เหมือนกัน. แต่ในบทนี้ว่า เหตฏฺเฐน มคฺโค ชื่อว่ามรรค เพราะอรรถว่าเป็นเหตุ พึงทราบในความเป็นเหตุแห่งผลนั่นเอง. บทว่า สมฺมปฺปธานา - ความเพียรชอบ พึงทราบว่า ท่าน พระเถระผู้ยกโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ขึ้นในขณะแห่งมรรค พึงทราบแม้สัจจะเป็นต้น ตามที่ประกอบด้วยสามารถสำเร็จกิจ มีกิจคือการแทงตลอดเป็นต้นอย่างนั้นเหมือนกัน. อนึ่ง บทว่า วิโมกฺโข ได้แก่ ผลวิโมกข์. บทว่า วิมุตฺติ ได้แก่ ผลวิมุตติ. ชื่อ อนุปฺปาทญาณ - ญาณในความไม่เกิด เพราะอรรถว่าระงับ มีความดังได้กล่าวแล้วนั่นแล. บทว่า วุฏฺฐหิตฺวา - ออกแล้ว ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ด้วยอำนาจแห่งผล เพราะไม่มีการออกในระหว่าง. บทว่า อิเม ธมฺมา ตทา สมุทาคตา - ธรรมเหล่านี้เริ่มเกิดในครั้งนั้น. พึงทราบการเชื่อมใส่ อิติ ศัพท์ อันเป็นบาลีที่เหลือว่า พระโยคาวจรย่อมพิจารณาว่า ธรรมมีประการดังกล่าวแล้วเหล่านี้ เริ่มเกิดในขณะแห่งมรรคและในขณะแห่งผล ดังนี้. จบอรรถกถาปัจจเวกขณญาณนิทเทส ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา ปัจจเวกขณญาณนิทเทส จบ. |