ขอนอบน้อมแด่
พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
                      พระองค์นั้น
บทนำ  พระวินัยปิฎก  พระสุตตันตปิฎก  พระอภิธรรมปิฎก  ค้นพระไตรปิฎก  ชาดก  หนังสือธรรมะ 
 
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 163อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 165อ่านอรรถกถา 31 / 171อ่านอรรถกถา 31 / 737
อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา
จริยานานัตตญาณนิทเทส

               อรรถกถาจริยานานัตตญาณนิทเทส               
               [๑๖๕] พึงทราบวินิจฉัยในจริยานานัตตญาณนิทเทสดังต่อไปนี้.
               ในบทมีอาทิว่า วิญฺญาณจริยา มีความดังต่อไปนี้
               ชื่อว่าจริยา๑- เพราะอรรถว่าประพฤติในอารมณ์.
____________________________
๑- อารมฺมเณ จรตีติ จริยา. ชื่อว่าจริยา เพราะอรรถว่าท่องเที่ยวไปในอารมณ์.

               จริยาคือวิญญาณ ชื่อว่าวิญญาณจริยา.
               ชื่อว่าอัญญาณจริยา เพราะอรรถว่าประพฤติด้วยความไม่รู้. หรือประพฤติเพราะความไม่รู้, หรือประพฤติในอารมณ์ที่ไม่รู้, หรือประพฤติซึ่งความไม่รู้.
               ชื่อว่าญาณจริยา เพราะอรรถว่าจริยาคือญาณ, หรือการประพฤติด้วยญาณ, หรือประพฤติเพราะญาณ, หรือประพฤติในอารมณ์ที่รู้แล้ว, หรือประพฤติซึ่งความรู้.
               บทว่า ทสฺสนตฺถาย - เพื่อต้องการเห็น คือเป็นไปเพื่อต้องการเห็นรูป.
               บทว่า อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา - กิริยาคือความนึกเป็นอัพยากฤต คือ ชื่อว่าอาวัชนะ เพราะอรรถว่านำออกไปจากสันดานอันเป็นภวังค์ แล้วนึกคือน้อมไปสู่จิตสันดานในรูปารมณ์.
               ชื่อว่ากิริยา เพราะอรรถว่าเป็นเพียงการกระทำโดยความไม่มีวิบาก.
               ชื่อว่าอัพยากฤต เพราะอรรถว่าพยากรณ์ไม่ได้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล.
               บทว่า ทสฺสนฏฺโฐ - เป็นแต่เพียงเห็น.
               ชื่อว่า ทสฺสนํ - เพราะอรรถว่าเป็นเหตุเห็น หรือเห็นเอง หรือเป็นแต่เพียงเห็นรูปนั้น. อรรถะคือการเห็น ชื่อว่า ทสฺสนฏฺโฐ.
               บทว่า จกฺขุวิญฺญาณํ - จักขุวิญญาณ ได้แก่ กุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก.
               บทว่า ทิฏฺฐตฺตา - เพราะได้เห็นแล้ว คือ เพราะได้เห็นรูปารมณ์ด้วยจักขุวิญญาณ เพราะไม่มีการรับอารมณ์ที่ไม่เห็น.
               บทว่า อภินิโรปนา วิปากมโนธาตุ - มโนธาตุอันเป็นวิบากที่ขึ้นสู่อารมณ์.
               ชื่อว่า อภินิโรปนา เพราะอรรถว่ายกขึ้นสู่อารมณ์ที่เห็นแล้ว. สัมปฏิจฉนมโนธาตุเป็นวิบากทั้งสอง.
               บทว่า อภินิโรปิตตฺตา - เพราะขึ้นแล้ว คือเพราะขึ้นสู่รูปารมณ์.
               บทว่า วิปากมโนวิญฺญาณธาตุ - มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก คือสันตีรณมโนวิญญาณธาตุ พิจารณาอารมณ์เป็นวิบากทั้งสอง.
               แม้ในโสตทวารเป็นต้นก็มีนัยนี้
               แม้เมื่อท่านไม่กล่าวถึงโวฏฐัพพนะ - การกำหนดอารมณ์ ในลำดับสันตีรณะ - การพิจารณาอารมณ์ก็พึงถือเอาว่าย่อมได้ เพราะพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้แล้ว.
               บทว่า วิชานนตฺถาย - เพื่อต้องการรู้แจ้ง คือเพื่อต้องการรู้แจ้งธรรมารมณ์ และอารมณ์มีรูปเป็นต้น.
               บทว่า อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา - กิริยาคือความนึกเป็นอัพยากฤต ได้แก่ จิตอันเป็นมโนทวาราวัชชนะ.
               บทว่า วิชานนฏฺโฐ - เป็นแต่เพียงรู้แจ้ง.
               ความว่า การรู้แจ้งอารมณ์ด้วยสามารถจิตแล่นไป ในลำดับอารมณ์นั้นเป็นอรรถ มิใช่อื่น. เพราะท่านกล่าวถึงชวนจิตเป็นอกุศล และชวนจิตอันเป็นมรรคผลแห่งวิปัสสนาไว้ต่างหากแล้วในเบื้องหน้า ในที่นี้ควรถือเอาชวนจิตที่เหลือ.
               แต่ควรถือเอาชวนจิตที่ให้เกิดความร่าเริงจากคำมีอาทิว่า๒- ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะอรรถว่าไม่ประพฤติประกอบด้วยกุศลกรรม.
               เพราะท่านกล่าวอเหตุกจิตไว้แล้วในทวาร ๖ พึงทราบว่า อเหตุกจิต ๑๘ คือ อาวัชชจิต ๒ ทวิปัญจวิญญาณจิต คือวิญญาณ ๕ อย่างละ ๒ สัมปฏิจฉนจิต ๒ สันตีรณจิต ๓ หสิตุปปาทจิต - จิตให้เกิดความร่าเริง ๑ ว่าเป็นวิญญาณจริยา.
____________________________
๒- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๑๖๖

               [๑๖๖] บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเพื่อจะแสดงว่า ที่ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะอรรถว่าเพียงรู้แจ้งอารมณ์ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า นีราคา จรติ - ประพฤติไม่มีราคะ.
               ความว่า วิญญาณย่อมถึงระหว่างการตั้งลงในการประกอบด้วยราคะเป็นต้น และการประกอบด้วยศรัทธาเป็นต้น. เมื่อไม่มีการประกอบเหล่านั้น วิญญาณย่อมตั้งอยู่ในที่ตั้งของตน. เพราะฉะนั้น พระสารีบุตรเถระย่อมแสดงเพียงกิจของวิญญาณแห่งวิญญาณที่ท่านกล่าวแล้วนั้น ด้วยคำมี นีราคา เป็นต้น.
               ชื่อว่า นีราคา เพราะอรรถว่าประพฤติไม่มีราคะ. อาจารย์บางพวกกล่าวทำเป็นรัสสะว่า นิราคา.
               อนึ่ง คนมีราคะด้วยความกำหนัด. มีโทสะด้วยการประทุษร้าย. มีโมหะด้วยการหลง. มีมานะด้วยการถือตัว. มีทิฏฐิด้วยความเห็นวิปริต. ความเป็นผู้ฟุ้งซ่านหรือความเป็นผู้ไม่สงบ ชื่อว่าอุทธัจจะ. วิจิกิจฉามีอรรถดังได้กล่าวแล้ว.
               ชื่อว่าอนุสัย เพราะอรรถว่านอนเนื่องในสันดาน. กล่าวว่า นิรนุสยา ท่านกล่าวว่า นานุสยา. มีความอย่างเดียวกันว่าไม่มีอนุสัย.
               ในบทนี้ พึงทราบว่าไม่มีกิเลสอย่างกลางที่ถึงความครอบงำ.
               จริงอยู่ วิญญาณจริยา ท่านมิได้กล่าวถึงอนุสัยที่ละได้แล้ว. พระสารีบุตรเถระเพื่อแสดงถึงทัสนะในระหว่างโดยปริยายว่า วิญญาณจริยาใดมีชื่อว่า นีราคา เป็นต้น. วิญญาณจริยานั้นเป็นอันชื่อว่าพ้นแล้วจากราคะเป็นต้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า ราควิปฺยุตฺตา - พ้นแล้วจากราคะ.
               อนึ่ง เพื่อเห็นความที่จิตพ้นจากกิเลสเหล่าอื่นอีก จึงกล่าวว่า กุสเลหิ กมฺเมหิ เป็นอาทิ. กุศลนั่นแหละเป็นกรรมไม่มีโทษ เพราะไม่มีโทษมีราคะเป็นต้น.
               ชื่อว่า สุกฺกานิ - กรรมขาว เพราะประกอบด้วยหิริโอตตัปปะอันทำความเป็นผู้บริสุทธิ์.
               ชื่อว่า สุขุทฺรยานิ เพราะอรรถว่ามีสุขเกิดขึ้น เพราะมีสุขเป็นไป.
               อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สุขุทฺรยานิ เพราะอรรถว่ามีสุขเกิดขึ้นเป็นกำไร เพราะมีสุขเป็นวิบาก. พึงประกอบอกุสลโดยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว.
               บทว่า วิญฺญาเต จรติ - ประพฤติในอารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว.
               ความว่า อารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยความรู้ชัด ชื่อว่าวิญญาตะ ในอารมณ์ที่รู้แจ้งแล้วนั้น.
               ท่านอธิบายไว้อย่างไร.
               ท่านอธิบายไว้ว่า ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะประพฤติในความรู้แจ้งอารมณ์ที่รู้แจ้ง เพราะประกอบด้วยความรู้ชัดดุจผ้าสีเขียว เพราะประกอบด้วยสีเขียว.
               บทว่า วิญฺญาณสฺส เอวรูปา จริยา โหติ - วิญญาณมีความประพฤติเห็นปานนี้.
               ความว่า วิญญาณมีประการดังกล่าวแล้ว เป็นวิญญาณมีความประพฤติดังได้กล่าวแล้ว.
               อนึ่ง ท่านกล่าวโดยโวหารว่า ความประพฤติของวิญญาณ. แต่ไม่มีความประพฤติต่างหากจากวิญญาณ.
               บทว่า ปกติปริสุทฺธมิทํ จิตฺตํ นิกฺกิเลสฏฺเฐน - จิตนี้บริสุทธิ์โดยปรกติ เพราะอรรถว่าไม่มีกิเลส.
               ความว่า จิตมีประการดังกล่าวแล้วนี้ บริสุทธิ์โดยปรกติ เพราะไม่มีกิเลสมีราคะเป็นต้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะอรรถว่าประพฤติเพียงรู้เท่านั้น.
               ปาฐะว่า นิเกฺลสฏฺเฐน ก็มี.
               [๑๖๗] พึงทราบวินิจฉัยใน อญฺญาณจริยา ดังต่อไปนี้.
               บทว่า มนาปิเกสุ - ในรูปอันเป็นที่รัก.
               ความว่า ชื่อว่า มนาปานิ เพราะอรรถว่าเอิบอิ่ม เลื่อมใสในใจ. หรือว่า ยังใจให้เอิบอิ่มให้เจริญ. การยังใจให้เอิบอิ่มนั่นแหละ ชื่อว่า มนาปิกานิ. ในรูปอันเป็นที่เอิบอิ่มนั้น. รูปเหล่านั้นจะเป็นรูปที่น่าปรารถนา หรือไม่น่าปรารถนาก็ตาม. ด้วยอำนาจของศัพท์คือรูปที่น่ารัก. เพราะราคะย่อมไม่เกิดในรูปที่น่าปรารถนาเท่านั้น โทสะก็ย่อมไม่เกิดในรูปที่ไม่น่าปรารถนาเท่านั้น.
               บทว่า ราคสฺส ชวนตฺถาย - เพื่อความแล่นไปแห่งราคะ คือเป็นไปเพื่อความแล่นไปแห่งราคะด้วยอำนาจแห่งสันตติ.
               บทว่า อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา - กิริยาคือความนึกเป็นอัพยากฤต.
               ความว่า มโนธาตุเป็นกิริยา คือความนึกเป็นอัพยากฤตเป็นการกระทำในใจโดยไม่แยบคายในจักขุทวาร.
               บทว่า ราคสฺส ชวนา - ความแล่นไปแห่งราคะ คือราคะเป็นไป ๗ ครั้ง. ราคะนั่นแหละเป็นไปบ่อยๆ.
               บทว่า อญฺญาณจริยา - ประพฤติในอารมณ์ที่ไม่รู้. ท่านอธิบายว่า ประพฤติราคะโดยไม่รู้ เพราะราคะเกิดโดยไม่รู้.
               แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
               บทว่า ตทุภเยน อสมเปกฺขนสฺมึ วตฺถุสฺมึ - ในวัตถุที่มิได้เพ่งเล็งด้วยราคะและโทสะทั้งสองนั้น ได้แก่ ในวัตถุกล่าวคือรูปารมณ์ เว้นจากความเพ่งเล็งด้วยอำนาจแห่งราคะและโทสะ.
               บทว่า โมหสฺส ชวนตฺถาย - เพื่อแล่นไปแห่งโมหะ คือเพื่อแล่นไปแห่งโมหะ ด้วยอำนาจแห่งวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ.
               บทว่า อญฺญาณจริยา คือ ประพฤติเพื่อความไม่รู้ มิใช่เพื่ออย่างอื่น.
               บทมีอาทิว่า วินิพนฺธสฺส - แห่งมานะที่ผูกพันเป็นบทกล่าวถึงสภาพแห่งมานะเป็นต้น.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า วินิพนฺธสฺส ได้แก่ มานะที่ผูกพันแล้วตั้งอยู่ด้วยความเย่อหยิ่ง.
               บทว่า ปรามฏฺฐาย - แห่งทิฏฐิที่ยึดถือ ได้แก่ ทิฏฐิที่ก้าวล่วงความที่รูปเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น แล้วยึดถือความเป็นของเที่ยงเป็นต้นจากฝ่ายอื่น.
               บทว่า วิกฺเขปคตสฺส - แห่งอุทธัจจะที่ถึงความฟุ้งซ่าน คืออุทธัจจะที่ถึงความฟุ้งซ่านไปในรูปารมณ์.
               บทว่า อนิฎฺฐาคตาย - แห่งวิจิกิจฉาที่ไม่ถึงความตกลง คือ ถึงความไม่ตัดสินใจ.
               บทว่า ถามคตสฺส - แห่งอนุสัยถึงความเป็นธรรมมีเรี่ยวแรง คือถึงความมีกำลัง.
               บทว่า ธมฺเมสุ คือ ในธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น หรือเป็นธรรมารมณ์.
               [๑๖๘-๑๗๐] เพราะราคะเป็นต้นย่อมปรากฏด้วยความไม่รู้ ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระเมื่อจะยังความไม่รู้ให้แปลกออกไปด้วยการประกอบกิเลสมีราคะเป็นต้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า สราคา จรติ - ประพฤติมีราคะ.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า สราคา จรติ พึงทราบถึงความประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งโมหะ มานะ ทิฏฐิ มานานุสัย ทิฏฐานุสัย อวิชชานุสัย.
               บทว่า สโทสา จรติ - ประพฤติมีโทสะ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งอวิชชาอนุสัย คือโมหะ.
               บทว่า สโมหา จรติ - ประพฤติมีโมหะ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งราคะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อุทธัจจะและวิจิกิจฉานุสัย.
               บทว่า สมานา จรติ - ประพฤติมีมานะ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งราคะ โมหะ กามราคะ ภวราคะ อวิชชานุสัย.
               บทว่า สทิฏฺฐิ จรติ - ประพฤติมีทิฏฐิ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งราคะ โมหะ กามราคะและอวิชชานุสัย.
               บทว่า สอุทฺธจฺจา จรติ สวิจิกิจฺฉา จรติ - ประพฤติมีอุทธัจจะ ประพฤติมีวิจิกิจฉา ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งโมหะคืออวิชชานุสัย.
               บทว่า สานุสยา จรติ - ประพฤติมีอนุสัย.
               แม้ในบทนี้ก็ควรทำอนุสัยหนึ่งๆ ให้เป็นมูลตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ แล้วประกอบความประพฤติมีอนุสัย ด้วยอำนาจอนุสัยที่เหลือซึ่งได้ในจิตนั้น.
               บทมีอาทิว่า ราคสมฺปยุตฺตา - ประพฤติประกอบด้วยราคะ เป็นคำไวพจน์ของความประพฤติมีราคะเป็นต้นนั่นเอง.
               จริงอยู่ ความประพฤตินั้นนั่นเอง ย่อมเป็นไปกับด้วยราคะเป็นต้นด้วยสามารถการประกอบกัน เพราะเหตุนั้นจึงได้ชื่อทั้งหลายมีอาทิว่า สราคา - มีราคะ. ความประพฤติประกอบด้วยประการทั้งหลายมีการเกิดร่วมกัน ดับร่วมกัน มีวัตถุร่วมกันและอารมณ์ร่วมกัน เสมอด้วยราคะเป็นต้น เพราะเหตุนั้นจึงได้ชื่อทั้งหลายมีอาทิว่า ราคสมฺปยุตฺตา.
               อนึ่ง เพราะความประพฤตินั้นไม่ประกอบด้วยกรรมเป็นกุสลเป็นต้น ประกอบด้วยกรรมเป็นอกุสลเป็นต้น. ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระเพื่อแสดง อญฺญาณจริยา จึงกล่าวบทมีอาทิว่า กุสเลหิ กมฺเมหิ - ด้วยกรรมเป็นกุสล.
               ในบทเหล่านั้น บทว่า อญฺญาเต - ในอารมณ์ที่ไม่รู้ คือ ในอารมณ์ที่ไม่รู้ตามสภาวะที่เป็นจริง เพราะโมหะมีความไม่รู้เป็นลักษณะ.
               บทที่เหลือมีความดังได้กล่าวไว้แล้ว.
               พึงทราบวินิจฉัยในญาณจริยาดังต่อไปนี้.
               เพราะกิริยาคืออาวัชชนะ - การนึกเป็นอัพยากฤต เป็นปัจจัยในลำดับแห่งวิวัฏฏนานุปัสนา - การพิจารณาเห็นความคลายออกเป็นต้นไม่มี. ฉะนั้น เพื่อประโยชน์แก่วิวัฏฏนานุปัสนาเป็นต้นเหล่านั้น ท่านจึงไม่กล่าวถึงกิริยาคือการนึกเป็นอัพยากฤต กล่าววิวัฏฏนานุปัสสนาเป็นต้นเท่านั้น.
               จริงอยู่ การนึกย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่อนุโลมญาณเท่านั้น จากนั้นท่านกล่าวถึงวิวัฏฏนานุปัสนา มรรคและผล.
               อนึ่ง ในบทว่า ผลสมาปตฺติ นี้ ญาณจริยาจะเกิดในลำดับมรรคก็ตาม เกิดในลำดับผลก็ตาม. ท่านประสงค์เอาแม้ทั้งสองอย่าง.
               ในบทมีอาทิว่า นีราคา จรติ - ประพฤติไม่มีราคะ.
               พึงทราบความไม่มีราคะเป็นต้น ด้วยการกำจัดราคะเป็นต้น. โดยอรรถเพียงความไม่มีราคะเป็นต้นในวิญญาณจริยา.
               บทว่า ญาเต - ในอารมณ์ที่รู้ คือในอารมณ์ที่รู้ตามความเป็นจริง.
               พระสารีบุตรเถระแสดงถึงความผสมกันและกันของจริยา ๓ ด้วยบทมีอาทิว่า อญฺญา วิญฺญาณจริยา. เพราะวิญญาณจริยามีอเหตุกจิตเกิดขึ้นด้วยสามารถเพียงทำหน้าที่รู้. อัญญาณจริยาด้วยสามารถอกุสลจิตเกิดขึ้น ๑๒ ดวง มีหน้าที่ไม่รู้. ญาณจริยาด้วยสามารถแห่งวิปัสสนา มรรค ผล ทำหน้าที่รู้โดยพิเศษ.
               พึงทราบว่า จริยาเหล่านี้ผสมกันและกัน มีสเหตุกามาวจร เป็นกิริยากุศล เว้นวิปัสสนา มีสเหตุกกามาวจรเป็นวิบาก และมีรูปาวจรกุศล อรูปาวจรกุศล เป็นอัพยากฤต พ้นจากจริยา ๓.
               พึงทราบว่า ปัจจเวกขณญาณของพระเสกขะ อเสกขะ เป็นการพิจารณานิพพาน มรรค ผล เพราะท่านแสดงญาณจริยาอันเป็นวิวัฏฏนานุปัสนา มีนิพพานเป็นอารมณ์ ท่านสงเคราะห์เข้าในญาณจริยา. เพราะจริยาแม้เหล่านั้นทำหน้าที่ของญาณโดยพิเศษด้วยประการฉะนี้.

               จบอรรถกถาจริยานานัตตญาณนิทเทส               
               -----------------------------------------------------               

.. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา จริยานานัตตญาณนิทเทส จบ.
อ่านอรรถกถา 31 / 0อ่านอรรถกถา 31 / 163อรรถกถา เล่มที่ 31 ข้อ 165อ่านอรรถกถา 31 / 171อ่านอรรถกถา 31 / 737
อ่านเนื้อความในพระไตรปิฎก
https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=31&A=1912&Z=2028
อ่านอรรถกถาภาษาบาลีอักษรไทย
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_th.php?B=47&A=6862
The Pali Atthakatha in Roman
https://84000.org/tipitaka/atthapali/read_rm.php?B=47&A=6862
- -- ---- ----------------------------------------------------------------------------
ดาวน์โหลด โปรแกรมพระไตรปิฎก
บันทึก  ๑๓  สิงหาคม  พ.ศ.  ๒๕๕๐
หากพบข้อผิดพลาด กรุณาแจ้งได้ที่ [email protected]

สีพื้นหลัง :