บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
ในบทมีอาทิว่า วิญฺญาณจริยา มีความดังต่อไปนี้ ชื่อว่าจริยา๑- เพราะอรรถว่าประพฤติในอารมณ์. ____________________________ ๑- อารมฺมเณ จรตีติ จริยา. ชื่อว่าจริยา เพราะอรรถว่าท่องเที่ยวไปในอารมณ์. จริยาคือวิญญาณ ชื่อว่าวิญญาณจริยา. ชื่อว่าอัญญาณจริยา เพราะอรรถว่าประพฤติด้วยความไม่รู้. หรือประพฤติเพราะความไม่รู้, หรือประพฤติในอารมณ์ที่ไม่รู้, หรือประพฤติซึ่งความไม่รู้. ชื่อว่าญาณจริยา เพราะอรรถว่าจริยาคือญาณ, หรือการประพฤติด้วยญาณ, หรือประพฤติเพราะญาณ, หรือประพฤติในอารมณ์ที่รู้แล้ว, หรือประพฤติซึ่งความรู้. บทว่า ทสฺสนตฺถาย - เพื่อต้องการเห็น คือเป็นไปเพื่อต้องการเห็นรูป. บทว่า อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา - กิริยาคือความนึกเป็นอัพยากฤต คือ ชื่อว่าอาวัช ชื่อว่ากิริยา เพราะอรรถว่าเป็นเพียงการกระทำโดยความไม่มีวิบาก. ชื่อว่าอัพยากฤต เพราะอรรถว่าพยากรณ์ไม่ได้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศล. บทว่า ทสฺสนฏฺโฐ - เป็นแต่เพียงเห็น. ชื่อว่า ทสฺสนํ - เพราะอรรถว่าเป็นเหตุเห็น หรือเห็นเอง หรือเป็นแต่เพียงเห็นรูปนั้น. อรรถะคือการเห็น ชื่อว่า ทสฺสนฏฺโฐ. บทว่า จกฺขุวิญฺญาณํ - จักขุวิญญาณ ได้แก่ กุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก. บทว่า ทิฏฺฐตฺตา - เพราะได้เห็นแล้ว คือ เพราะได้เห็นรูปารมณ์ด้วยจักขุวิญญาณ เพราะไม่มีการรับอารมณ์ที่ไม่เห็น. บทว่า อภินิโรปนา วิปากมโนธาตุ - มโนธาตุอันเป็นวิบากที่ขึ้นสู่อารมณ์. ชื่อว่า อภินิโรปนา เพราะอรรถว่ายกขึ้นสู่อารมณ์ที่เห็นแล้ว. สัมปฏิจฉนมโนธาตุเป็นวิบากทั้งสอง. บทว่า อภินิโรปิตตฺตา - เพราะขึ้นแล้ว คือเพราะขึ้นสู่รูปารมณ์. บทว่า วิปากมโนวิญฺญาณธาตุ - มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก คือสันตีรณมโนวิญญาณธาตุ พิจารณาอารมณ์เป็นวิบากทั้งสอง. แม้ในโสตทวารเป็นต้นก็มีนัยนี้ แม้เมื่อท่านไม่กล่าวถึงโวฏฐัพพนะ - การกำหนดอารมณ์ ในลำดับสันตีรณะ - การพิจารณาอารมณ์ก็พึงถือเอาว่าย่อมได้ เพราะพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้แล้ว. บทว่า วิชานนตฺถาย - เพื่อต้องการรู้แจ้ง คือเพื่อต้องการรู้แจ้งธรรมารมณ์ และอารมณ์มีรูปเป็นต้น. บทว่า อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา - กิริยาคือความนึกเป็นอัพยากฤต ได้แก่ จิตอันเป็นมโนทวาราวัชชนะ. บทว่า วิชานนฏฺโฐ - เป็นแต่เพียงรู้แจ้ง. ความว่า การรู้แจ้งอารมณ์ด้วยสามารถจิตแล่นไป ในลำดับอารมณ์นั้นเป็นอรรถ มิใช่อื่น. เพราะท่านกล่าวถึงชวนจิตเป็นอกุศล และชวนจิตอันเป็นมรรคผลแห่งวิปัสสนาไว้ต่างหากแล้วในเบื้องหน้า ในที่นี้ควรถือเอาชวนจิตที่เหลือ. แต่ควรถือเอาชวนจิตที่ให้เกิดความร่าเริงจากคำมีอาทิว่า๒- ชื่อว่าวิญญาณ เพราะท่านกล่าวอเหตุกจิตไว้แล้วในทวาร ๖ พึงทราบว่า อเหตุกจิต ๑๘ คือ อาวัชชจิต ๒ ทวิปัญจวิญญาณจิต คือวิญญาณ ๕ อย่างละ ๒ สัมปฏิจฉนจิต ๒ สันตีรณจิต ๓ หสิตุปปาทจิต - จิตให้เกิดความร่าเริง ๑ ว่าเป็นวิญญาณจริยา. ____________________________ ๒- ขุ. ป. เล่ม ๓๑/ข้อ ๑๖๖ [๑๖๖] บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเพื่อจะแสดงว่า ที่ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะอรรถว่าเพียงรู้แจ้งอารมณ์ จึงกล่าวบทมีอาทิว่า นีราคา จรติ - ประพฤติไม่มีราคะ. ความว่า วิญญาณย่อมถึงระหว่างการตั้งลงในการประกอบด้วยราคะเป็นต้น และการประกอบด้วยศรัทธาเป็นต้น. เมื่อไม่มีการประกอบเหล่านั้น วิญญาณย่อมตั้งอยู่ในที่ตั้งของตน. เพราะฉะนั้น พระสารีบุตรเถระย่อมแสดงเพียงกิจของวิญญาณแห่งวิญญาณที่ท่าน ชื่อว่า นีราคา เพราะอรรถว่าประพฤติไม่มีราคะ. อาจารย์บางพวกกล่าวทำเป็นรัสสะว่า นิราคา. อนึ่ง คนมีราคะด้วยความกำหนัด. มีโทสะด้วยการประทุษร้าย. มีโมหะด้วยการหลง. มีมานะด้วยการถือตัว. มีทิฏฐิด้วยความเห็นวิปริต. ความเป็นผู้ฟุ้งซ่านหรือความเป็นผู้ไม่สงบ ชื่อว่าอุทธัจจะ. วิจิกิจฉา ชื่อว่าอนุสัย เพราะอรรถว่านอนเนื่องในสันดาน. กล่าวว่า นิรนุสยา ท่าน ในบทนี้ พึงทราบว่าไม่มีกิเลสอย่างกลางที่ถึงความครอบงำ. จริงอยู่ วิญญาณจริยา ท่านมิได้กล่าวถึงอนุสัยที่ละได้แล้ว. พระสารีบุตรเถระเพื่อแสดงถึงทัสนะในระหว่างโดยปริยายว่า วิญญาณจริยาใดมีชื่อว่า นีราคา เป็นต้น. วิญญาณจริยานั้นเป็นอันชื่อว่าพ้นแล้วจากราคะเป็นต้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า ราควิปฺ อนึ่ง เพื่อเห็นความที่จิตพ้นจากกิเลสเหล่าอื่นอีก จึงกล่าวว่า กุสเลหิ กมฺเมหิ เป็นอาทิ. กุศลนั่นแหละเป็นกรรมไม่มีโทษ เพราะไม่มีโทษมีราคะเป็นต้น. ชื่อว่า สุกฺกานิ - กรรมขาว เพราะประกอบด้วยหิริโอตตัปปะอันทำความเป็นผู้บริสุทธิ์. ชื่อว่า สุขุทฺรยานิ เพราะอรรถว่ามีสุขเกิดขึ้น เพราะมีสุขเป็นไป. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สุขุทฺรยานิ เพราะอรรถว่ามีสุขเกิดขึ้นเป็นกำไร เพราะมีสุขเป็นวิบาก. พึงประกอบอกุสลโดยตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว. บทว่า วิญฺญาเต จรติ - ประพฤติในอารมณ์ที่รู้แจ้งแล้ว. ความว่า อารมณ์ที่รู้แจ้งด้วยความรู้ชัด ชื่อว่าวิญญาตะ ในอารมณ์ที่รู้แจ้งแล้วนั้น. ท่านอธิบายไว้อย่างไร. ท่านอธิบายไว้ว่า ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะประพฤติในความรู้แจ้งอารมณ์ที่รู้แจ้ง เพราะประกอบด้วยความรู้ชัดดุจผ้าสีเขียว เพราะประกอบด้วยสีเขียว. บทว่า วิญฺญาณสฺส เอวรูปา จริยา โหติ - วิญญาณมีความประพฤติเห็นปานนี้. ความว่า วิญญาณมีประการดังกล่าวแล้ว เป็นวิญญาณมีความประพฤติดังได้กล่าวแล้ว. อนึ่ง ท่านกล่าวโดยโวหารว่า ความประพฤติของวิญญาณ. แต่ไม่มีความประพฤติต่าง บทว่า ปกติปริสุทฺธมิทํ จิตฺตํ นิกฺกิเลสฏฺเฐน - จิตนี้บริสุทธิ์โดยปรกติ เพราะอรรถว่าไม่มีกิเลส. ความว่า จิตมีประการดังกล่าวแล้วนี้ บริสุทธิ์โดยปรกติ เพราะไม่มีกิเลสมีราคะเป็นต้น. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า ชื่อว่าวิญญาณจริยา เพราะอรรถว่าประพฤติเพียงรู้เท่านั้น. ปาฐะว่า นิเกฺลสฏฺเฐน ก็มี. [๑๖๗] พึงทราบวินิจฉัยใน อญฺญาณจริยา ดังต่อไปนี้. บทว่า มนาปิเกสุ - ในรูปอันเป็นที่รัก. ความว่า ชื่อว่า มนาปานิ เพราะอรรถว่าเอิบอิ่ม เลื่อมใสในใจ. หรือว่า ยังใจให้เอิบอิ่มให้เจริญ. การยังใจให้เอิบอิ่มนั่นแหละ ชื่อว่า มนาปิกานิ. ในรูปอันเป็นที่เอิบอิ่มนั้น. รูปเหล่านั้นจะเป็นรูปที่น่าปรารถนา หรือไม่น่าปรารถนาก็ตาม. ด้วยอำนาจของศัพท์คือรูปที่น่ารัก. เพราะราคะย่อมไม่เกิดในรูปที่น่าปรารถนาเท่านั้น โทสะก็ย่อมไม่เกิดในรูปที่ไม่น่าปรารถนาเท่านั้น. บทว่า ราคสฺส ชวนตฺถาย - เพื่อความแล่นไปแห่งราคะ คือเป็นไปเพื่อความ บทว่า อาวชฺชนกิริยาพฺยากตา - กิริยาคือความนึกเป็นอัพยากฤต. ความว่า มโนธาตุเป็นกิริยา คือความนึกเป็นอัพยากฤตเป็นการกระทำในใจโดยไม่แยบคายในจักขุทวาร. บทว่า ราคสฺส ชวนา - ความแล่นไปแห่งราคะ คือราคะเป็นไป ๗ ครั้ง. ราคะนั่นแหละเป็นไปบ่อยๆ. บทว่า อญฺญาณจริยา - ประพฤติในอารมณ์ที่ไม่รู้. ท่าน แม้ในบทที่เหลือก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า ตทุภเยน อสมเปกฺขนสฺมึ วตฺถุสฺมึ - ในวัตถุที่มิได้เพ่งเล็งด้วยราคะและโทสะทั้งสองนั้น ได้แก่ ในวัตถุกล่าวคือรูปารมณ์ เว้นจากความเพ่งเล็งด้วยอำนาจแห่งราคะและโทสะ. บทว่า โมหสฺส ชวนตฺถาย - เพื่อแล่นไปแห่งโมหะ คือเพื่อแล่นไปแห่งโมหะ ด้วยอำนาจแห่งวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ. บทว่า อญฺญาณจริยา คือ ประพฤติเพื่อความไม่รู้ มิใช่เพื่ออย่างอื่น. บทมีอาทิว่า วินิพนฺธสฺส - แห่งมานะที่ผูกพันเป็นบทกล่าวถึงสภาพแห่งมานะเป็นต้น. ในบทเหล่านั้น บทว่า วินิพนฺธสฺส ได้แก่ มานะที่ผูกพันแล้วตั้งอยู่ด้วยความเย่อหยิ่ง. บทว่า ปรามฏฺฐาย - แห่งทิฏฐิที่ยึดถือ ได้แก่ ทิฏฐิที่ก้าวล่วงความที่รูปเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้น แล้วยึดถือความเป็นของเที่ยงเป็นต้นจากฝ่ายอื่น. บทว่า วิกฺเขปคตสฺส - แห่งอุทธัจจะที่ถึงความฟุ้งซ่าน คืออุทธัจจะที่ถึงความฟุ้งซ่านไปในรูปารมณ์. บทว่า อนิฎฺฐาคตาย - แห่งวิจิกิจฉาที่ไม่ถึงความตกลง คือ ถึงความไม่ตัดสินใจ. บทว่า ถามคตสฺส - แห่งอนุสัยถึงความเป็นธรรมมีเรี่ยวแรง คือถึงความมีกำลัง. บทว่า ธมฺเมสุ คือ ในธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น หรือเป็นธรรมารมณ์. [๑๖๘-๑๗๐] เพราะราคะเป็นต้นย่อมปรากฏด้วยความไม่รู้ ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระเมื่อจะยังความไม่รู้ให้แปลกออกไปด้วยการประกอบกิเลสมีราคะเป็นต้น จึงกล่าวบทมีอาทิว่า สราคา จรติ - ประพฤติมีราคะ. ในบทเหล่านั้น บทว่า สราคา จรติ พึงทราบถึงความประพฤติด้วยการแล่นไป บทว่า สโทสา จรติ - ประพฤติมีโทสะ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไป บทว่า สโมหา จรติ - ประพฤติมีโมหะ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งราคะ โทสะ มานะ ทิฏฐิ อุทธัจจะและวิจิกิจฉานุสัย. บทว่า สมานา จรติ - ประพฤติมีมานะ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งราคะ โมหะ กามราคะ ภวราคะ อวิชชานุสัย. บทว่า สทิฏฺฐิ จรติ - ประพฤติมีทิฏฐิ ได้แก่ ประพฤติด้วยการแล่นไปแห่งราคะ โมหะ กามราคะและอวิชชานุสัย. บทว่า สอุทฺธจฺจา จรติ สวิจิกิจฺฉา จรติ - ประพฤติมีอุทธัจจะ ประพฤติมีวิจิกิจ บทว่า สานุสยา จรติ - ประพฤติมีอนุสัย. แม้ในบทนี้ก็ควรทำอนุสัยหนึ่งๆ ให้เป็นมูลตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ แล้วประกอบความประพฤติมีอนุสัย ด้วยอำนาจอนุสัยที่เหลือซึ่งได้ในจิตนั้น. บทมีอาทิว่า ราคสมฺปยุตฺตา - ประพฤติประกอบด้วยราคะ เป็นคำไวพจน์ของความประพฤติมีราคะเป็นต้นนั่นเอง. จริงอยู่ ความประพฤตินั้นนั่นเอง ย่อมเป็นไปกับด้วยราคะเป็นต้นด้วยสามารถการประกอบกัน เพราะเหตุนั้นจึงได้ชื่อทั้งหลายมีอาทิว่า สราคา - มีราคะ. ความประพฤติประกอบด้วยประการทั้งหลายมีการเกิดร่วมกัน ดับร่วมกัน มีวัตถุร่วมกันและอารมณ์ร่วมกัน เสมอด้วยราคะเป็นต้น เพราะเหตุนั้นจึงได้ชื่อทั้งหลายมีอาทิว่า ราคสมฺปยุตฺตา. อนึ่ง เพราะความประพฤตินั้นไม่ประกอบด้วยกรรมเป็นกุสลเป็นต้น ประกอบด้วยกรรมเป็นอกุสลเป็นต้น. ฉะนั้น พระสารีบุตรเถระเพื่อแสดง อญฺญาณจริยา จึงกล่าวบท ในบทเหล่านั้น บทว่า อญฺญาเต - ในอารมณ์ที่ไม่รู้ คือ ในอารมณ์ที่ไม่รู้ตามสภาวะที่เป็นจริง เพราะโมหะมีความไม่รู้เป็นลักษณะ. บทที่เหลือมีความดังได้กล่าวไว้แล้ว. พึงทราบวินิจฉัยในญาณจริยาดังต่อไปนี้. เพราะกิริยาคืออาวัชชนะ - การนึกเป็นอัพยากฤต เป็นปัจจัยในลำดับแห่งวิวัฏฏ จริงอยู่ การนึกย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่อนุโลมญาณเท่านั้น จากนั้น อนึ่ง ในบทว่า ผลสมาปตฺติ นี้ ญาณจริยาจะเกิดในลำดับมรรคก็ตาม เกิดในลำดับผลก็ตาม. ท่าน ในบทมีอาทิว่า นีราคา จรติ - ประพฤติไม่มีราคะ. พึงทราบความไม่มีราคะเป็นต้น ด้วยการกำจัดราคะเป็นต้น. โดยอรรถเพียงความไม่มีราคะเป็นต้น บทว่า ญาเต - ในอารมณ์ที่รู้ คือในอารมณ์ที่รู้ตามความเป็นจริง. พระสารีบุตรเถระแสดงถึงความผสมกันและกันของจริยา ๓ ด้วยบทมีอาทิว่า อญฺญา วิญฺญาณจริยา. เพราะวิญญาณจริยามีอเหตุกจิตเกิดขึ้นด้วยสามารถเพียง พึงทราบว่า จริยาเหล่านี้ผสมกันและกัน มี พึงทราบว่า ปัจจเวกขณญาณของพระเสกขะ อเสกขะ เป็นการพิจารณานิพพาน มรรค ผล เพราะท่านแสดงญาณจริยาอันเป็นวิวัฏฏ จบอรรถกถาจริยานานัตตญาณนิทเทส ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา จริยานานัตตญาณนิทเทส จบ. |