บทนำ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ค้นพระไตรปิฎก ชาดก หนังสือธรรมะ |
บทว่า ภูมิโย - ภูมิทั้งหลาย ได้แก่ ภาคหรือปริจเฉท. ในบทว่า กามาวจรา นี้ได้แก่ กาม ๒ อย่างคือ กิเลสกาม ๑ วัตถุกาม ๑. ฉันทราคะเป็นกิเลสกาม. วัฏฏะเป็นไปในภูมิ ๓ เป็นวัตถุกาม. กิเลสกามชื่อว่ากาม เพราะอรรถว่าให้ใคร่. วัตถุกามชื่อว่ากาม เพราะอรรถว่าอันบุคคลใคร่. กาม ๒ อย่างนั้นเคลื่อนไปในประเทศใดด้วยความเป็นไป. ประเทศนั้นชื่อว่ากามาวจร เพราะอรรถว่าเป็นที่เคลื่อนไปแห่งกาม. อนึ่ง ประเทศนั้นเป็นกามาวจร ๑๑ คือ อบาย ๔ มนุษยโลก ๑ และเทวโลก ๖. เหมือนอย่างว่า บุรุษพร้อมด้วยพ่อค้าเกวียนท่องเที่ยวไปในประเทศใด ประเทศนั้นแม้เมื่อมีสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้าเหล่าอื่นท่องเที่ยวไป ท่านก็เรียกว่า สสัตถา ท่านกล่าวว่ากาม เพราะลบบทหลัง เหมือนรูปภพท่านกล่าวว่ารูปฉะนั้น. ธรรมอย่างหนึ่งๆ อันเนื่องด้วยกามนั้น ชื่อว่ากามาวจร เพราะเคลื่อนไปในกามอันได้แก่ประเทศ ๑ อย่างนี้. แม้ว่า ธรรมบางอย่างในกามาวจรนี้เคลื่อนไปในรูปภพและอรูปภพก็จริง ถึงดังนั้น แม้ธรรมเหล่านั้นเคลื่อนไปในที่อื่น ก็พึงทราบว่าเป็นกามาวจรโดยแท้ เหมือนอย่างว่า ช้างได้ชื่อว่าสังคามาวจร เพราะท่องเที่ยวไปในสงคราม แม้เที่ยวไปในนครท่านก็กล่าวว่าสังคามาวจร - ท่องเที่ยวไปในสงครามเหมือนกัน. สัตว์ทั้งหลายเที่ยวไปบนบกในน้ำ แม้อยู่ในที่มิใช่บกและมิใช่น้ำ ท่านกล่าวว่า สัตว์บก สัตว์น้ำ เหมือนกัน ฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ากามาวจร เพราะอรรถว่ากามเคลื่อนไปในธรรมทั้งหลายมีประการดังกล่าวแล้วเหล่านี้ ด้วยการทำเป็นอารมณ์. อนึ่ง กามนั้นแม้เคลื่อนไปในรูปาวจรธรรมและอรูปาวจรธรรมก็จริง ถึงดังนั้น พึงทราบข้อเปรียบเทียบดังนี้. เหมือนอย่างว่า เมื่อกล่าวว่า ชื่อว่าลูกวัว เพราะร้อง. ชื่อว่าควาย เพราะนอนบนแผ่นดิน. สัตว์จำพวกไม่ร้อง หรือจำพวกนอนบนแผ่นดิน ชื่อนั้นย่อมมีแก่สัตว์ทั้งปวง ฉะนั้น. [๑๗๓] ในบทนี้ท่านเพ่งถึงภูมิศัพท์ กล่าวทำธรรมเหล่านั้นทั้งหมดให้เป็นหมวดเดียวกันแล้ว จึงทำให้เป็นอิตถีลิงค์ว่า กามาวจรา. รูปภพเป็นรูปในบทมีอาทิว่า รูปาวจรา. ชื่อว่ารูปาวจร เพราะท่องเที่ยวไปในรูปนั้น. [๑๗๔] อรูปภพเป็นอรูป. ชื่อว่า อรูปาวจรา เพราะท่องเที่ยวไปในอรูปภูมินั้น. [๑๗๕] ชื่อว่า ปริยาปนฺนา เพราะอรรถว่านับเนื่องคือหยั่งลงภายใน ในเตภูมิก พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งภูมิมีกามาวจรภูมิเป็นต้นดังต่อไปนี้. บทว่า เหฏฺฐโต - ข้างล่าง คือโดยส่วนล่าง. บทว่า อวีจินิรยํ - อเวจีนรก ชื่ออวีจิ เพราะอรรถว่าคลื่นแห่งเปลวไฟแห่งสัตว์ อนึ่ง ชื่อว่านิรยะ เพราะอรรถว่าไม่มีความยินดี. บทว่า ปริยนฺตํ กริตฺวา - กระทำเป็นที่สุด คือกระทำนรกกล่าวคืออเวจีนั้นให้เป็นที่สุด. บทว่า อุปริโต - ข้างบน คือ โดยส่วนบน. บทว่า ปรนิมฺมิตวสวตฺตี เทเว - เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี คือ เทวดาที่ได้ชื่ออย่างนี้ เพราะยังอำนาจให้เป็นไปในกามที่ผู้อื่นเนรมิตให้. บทว่า อนฺโต กริตฺวา - กระทำในภายใน คือใส่ไว้ในภายใน. บทว่า ยํ เอตสฺมึ อนฺตเร - ในระหว่างนี้ คือในโอกาสนี้. อนึ่ง บทว่า ยํ เป็นลิงควิปลาส. บทว่า เอตฺถาวจรา - ท่องเที่ยวไปในโอกาสนี้. ความว่า ด้วยบทนี้ เพราะแม้ขันธ์เป็นต้นเหล่าอื่นเที่ยวไปในโอกาสนี้บางครั้ง โดยเกิดขึ้นในที่บางแห่ง ฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า อวจรา เพื่อไม่สงเคราะห์ขันธ์เป็นต้นเหล่านั้น. ด้วยเหตุนั้น ขันธ์เป็นต้นเหล่าใดหยั่งลงในโอกาสนี้ เที่ยวไปโดยเกิดในที่ทุกหนทุกแห่งและในกาลทุกเมื่อ. อนึ่ง เที่ยวไปในส่วนเบื้องล่าง โดยความเป็นไปหมายถึงเกิดภายใต้อเวจีนรก. ย่อมเป็นอันทำการสงเคราะห์ขันธ์เป็นต้นเหล่านั้น. เพราะขันธ์เป็นต้นเหล่านั้นชื่อว่าอวจรา เพราะหยั่งลงเที่ยวไป. และเที่ยวไปในส่วนเบื้องล่าง. บทว่า เอตฺถ ปริยาปนฺนา - อันนับเนื่องในโอกาสนี้. ก็ด้วยบทนี้ เพราะขันธ์เป็นต้นเหล่านี้ท่องเที่ยวไปในโอกาสนี้ ชื่อว่าย่อมท่องเที่ยวไปแม้ในโอกาสอื่น. แต่ไม่นับเนื่องในโอกาสนั้น. ฉะนั้น เมื่อขันธ์เป็นต้นเหล่านั้นท่องเที่ยวไปแม้ในที่อื่น ย่อมเป็นอันท่านกำหนดเอา. บัดนี้ พระสารีบุตรเถระเมื่อจะแสดงธรรมอันนับเนื่องในโอกาสนี้ โดยความเป็นปัจจัยแห่งความว่างจากกอง และโดยความเป็นจริง จึงกล่าวว่า ขนฺธธาตุอายตนา เป็นอาทิ. บทว่า พฺรหฺมโลกํ - พรหมโลก คือ ฐานของพรหมอันได้แก่ภูมิของปฐมฌาน. บทว่า อกนิฏฺเฐ - เทพชั้นอกนิฏฐะ คือ มิใช่กนิฏฐะ เพราะอรรถว่าสูงสุด. บทว่า สมาปนฺนสฺส คือ เข้าสมาบัติ. ด้วยบทนี้ท่านกล่าวถึงกุศลฌาน. บทว่า อุปฺปนฺนสฺส คือ เกิดในพรหมโลกด้วยอำนาจวิบาก. ด้วยบทนี้ ท่านกล่าวถึง วิปากฌาน. บทว่า ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหาริสฺส - ของท่านผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน ได้แก่ ธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบัน คือในอัตภาพที่ประจักษ์ ชื่อว่า ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหาโร. ชื่อว่า ทิฏฺฐธมฺมสุขวิหารี เพราะอรรถว่ามีทิฏฐธรรมสุขวิหารธรรมนั้น. ได้แก่พระอรหันต์. ของท่านผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เป็นสุขในปัจจุบันนั้น. ด้วยบทนั้น ท่านกล่าวถึง กิริยาญาณ. บทว่า เจตสิกา ได้แก่ ธรรมที่เกิดในจิต. อธิบายว่า ธรรมสัมปยุตด้วยจิต. บทว่า อากาสานญฺจายตนูปเค ได้แก่ เทวดาผู้เข้าถึงอากาสานัญจายตนภพ. แม้ในบทที่สองก็มีนัยนี้เหมือนกัน. บทว่า มคฺคา ได้แก่ อริยมรรค ๔. บทว่า มคฺคผลานิ ได้แก่ ผลของอริยมรรค ๔. บทว่า อสงฺขตา จ ธาตุ - อสังขตธาตุ คือ นิพพานธาตุที่ปัจจัยมิได้ตกแต่ง. [๑๗๖] บทว่า อปราปิ จตสฺโส ภูมิโย - ภูมิ ๔ อีกประการหนึ่ง พึงทราบด้วยสามารถจตุกะหนึ่งๆ. บทว่า จตฺตาโร สติปฏฺฐานา - สติปัฏฐาน ๔ ได้แก่ กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน. มีอธิบายดังนี้ ชื่อว่า ปฏฺฐานํ เพราะอรรถว่าตั้งไว้. ความว่า เข้าไปตั้งไว้ คือหลั่งไหลแล่นเป็นไป. สตินั่นแหละตั้งไว้ ชื่อว่าสติปัฏฐาน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า สติ เพราะอรรถว่าความระลึก. ชื่อว่า ปฏฺฐานํ เพราะอรรถว่าเข้าไปตั้งไว้. สตินั้นด้วยเป็นปัฏฐาน คือการเข้าไปตั้งไว้ด้วย ชื่อว่าสติ บทว่า จตฺตาโร สมฺมปฺปธานา - สัมมัปปธาน ๔ คือ ทำความเพียรเพื่อไม่ให้ ชื่อว่าปธาน เพราะอรรถว่าเป็นเหตุตั้งไว้ คือพยายาม. บทนี้เป็นชื่อของความเพียร. บทว่า สมฺมปฺปธานํ คือ เพียรไม่วิปริต เพียรตามเหตุ เพียรด้วยอุบาย เพียรโดยแยบคาย, ความเพียรอย่างเดียวเท่านั้นท่านทำเป็น ๔ ส่วน ด้วยสามารถแห่งกิจจึงกล่าวว่า สมฺมปฺปธานา. บทว่า จตฺตาโร อิทฺธิปาทา - อิทธิบาท ๔ ได้แก่ ฉันทะ วีริยะ จิตตะ วีมังสา. ความของบทนั้นได้กล่าวไว้แล้ว. บทว่า จตฺตาริ ฌานานิ - ฌาน ๔ ได้แก่ ปฐมฌานมีองค์ ๕ คือ วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา. ทุติย องค์เหล่านี้ ท่านกล่าวว่าฌาน เพราะอรรถว่าเข้าไปเพ่งอารมณ์. บทว่า จตสฺโส อปฺปมญฺญาโย - อัปปมัญญา ๔ ได้แก่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา. ชื่อว่าอัปปมัญญา ด้วยการแผ่ไปไม่มีประมาณ. จริงอยู่ อัปปมัญญาเหล่านั้น ย่อมแผ่ไปยังสัตว์ทั้งหลายหาประมาณมิได้ด้วยอำนาจแห่งอารมณ์. หรือว่าแผ่ไปด้วยอำนาจการ แผ่ไปโดยไม่มีเหลือแม้สัตว์ผู้เดียว เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อปฺปมญฺญาโย ด้วยอำนาจการแผ่ไปไม่มีประมาณ. บทว่า จตสฺโส อรูปสมาปตฺติโย - อรูปสมาบัติ ๔ ได้แก่ อากาสานัญจายตนสมาบัติ วิญญาณัญจายตนสมาบัติ อากิญจัญญายตนสมาบัติ เนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ. บทว่า จตสฺโส ปฏิสมฺภิทา - ปฏิสัมภิทา ๔ มีความดังได้กล่าวไว้แล้ว. บทว่า จตสฺโส ปฏิปทา - ปฏิปทา ๔ ได้แก่ ปฏิปทา ๔ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๑- ทุกฺขาปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา - ปฏิบัติลำบาก รู้ช้า. ทุกฺขาปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา - ปฏิบัติลำบาก รู้เร็ว. สุขาปฏิปทา ทนฺธาภิญฺญา - ปฏิบัติสบาย รู้ช้า. สุขาปฏิปทา ขิปฺปาภิญฺญา - ปฏิบัติสบาย รู้เร็ว. ____________________________ ๑- ที. ปา. เล่ม ๑๑/ข้อ ๘๒ บทว่า จตฺตาริ อารมฺมณานิ - อารมณ์ ๔ ได้แก่ อารมณ์ ๔ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ปริตฺตํ ปริตฺตารมฺมณํ - มีกำลังน้อย มีอารมณ์เล็กน้อย ๑ ปริตฺตํ อปฺปมาณารมฺมณํ - มีกำลังน้อย มีอารมณ์ไพบูลย์ ๑ อปฺปมาณํ ปริตฺตารมฺมณํ - มีกำลังมาก มีอารมณ์เล็กน้อย ๑ อปฺปมาณํ อปฺปมาณารมฺมณํ - มีกำลังมาก มีอารมณ์ไพบูลย์ ๑.#- ____________________________ #- มีกำลังน้อย ได้แก่ฌานที่ไม่คล่องแคล่ว ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดฌานที่สูงขึ้นไป มีกำลังมาก ได้แก่ฌานที่คล่องแคล่ว เป็นปัจจัยให้เกิดฌานสูงขึ้นไป อารมณ์เล็กน้อย ได้แก่ฌานที่มีอารมณ์ที่ขยายไม่ได้ อารมณ์ไพบูลย์ ได้แก่ฌานที่มีอารมณ์ที่ขยายได้ ใน อภิ. สํ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๑๖๗-๑๗๑. ____________________________ พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงฌานมีอารมณ์ด้วยอารมณ์ทั้งหลาย โดยไม่ตั้งใจแน่วแน่ กำหนดอารมณ์มีกสิณเป็นต้น. บทว่า จตฺตาโร อริยวํสา - อริยวงศ์ ๔. ความว่า พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวกของ วงศ์ของพระอริยะเหล่านั้นเป็นอย่างไร? ธรรม ๔ เหล่านี้ คือ สันโดษด้วยจีวร ๑. สันโดษด้วยบิณฑบาต ๑. สันโดษด้วยเสนาสนะ ๑. ความยินดีในภาวนา ๑. เมื่อกล่าวถึงสันโดษด้วยบิณฑบาต ท่านกล่าวถึงสันโดษด้วยคิลานปัจจัย เพราะภิกษุใดสันโดษในบิณฑบาต. ภิกษุนั้นจักไม่สันโดษในคิลานปัจจัยได้อย่างไร. บทว่า จตฺตาริ สงฺคหวตฺถูนิ - สังคหวัตถุ ๔##- ได้แก่ สังคหวัตถุ ๔ เหล่านี้ คือ ทาน ๑. เปยยวัชชะ ๑. อัตถจริยะ ๑. สมานัตตตา ๑. เป็นเหตุสงเคราะห์ชน ๔ เหล่านี้. ____________________________ ##- องฺ. จตุกฺก เล่ม ๒๑/ข้อ ๓๒ บทว่า ทานํ ได้แก่ การให้ตามสมควร. บทว่า เปยฺยวชฺชํ ได้แก่ พูดน่ารักตามสมควร. บทว่า อตฺถจริยา ได้แก่ การทำความเจริญ ด้วยทำกิจที่ควรทำในที่นั้นๆ และด้วยการสั่งสอนสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ. บทว่า สมานตฺตตา - ความเป็นผู้มีตนเสมอ คือมีความเสมอไม่ถือตัว. อธิบายว่า มีประมาณตน คิดประมาณตน. ชื่อว่า สมานตฺโต เพราะอรรถว่ามีตนเสมอคนอื่น. ความเป็นผู้มีตนเสมอ ชื่อว่าสมานัตตตา. อธิบายว่า การคิดประมาณตนว่า ผู้นี้เลวกว่าเรา ผู้นี้เสมอเรา. ผู้นี้ดีกว่าเราแล้วประพฤติ คือทำตามสมควรแก่บุคคลนั้น. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ความเป็นผู้ร่วมสุขร่วมทุกข์ ชื่อว่าสมานัตตตา. ในบทว่า จตฺตาริ จกฺกานิ - จักร ๔ นี้ ได้แก่ ชื่อว่าจักรมี ๕ อย่าง คือ จักรทำด้วยไม้ ๑ จักรทำด้วยแก้ว ๑ จักรคือธรรม ๑ จักรคืออิริยาบถ ๑ จักรคือสมบัติ ๑. จักรทำด้วยไม้ ในบทว่า๒- ข้าแต่เทวะ จักรนั้นสำเร็จแล้ว ๖ เดือนหย่อน ๖ คืน. จักรทำด้วยแก้ว ในบทว่า๓- กำหนดเอาโดยยังจักรให้หมุนไป. จักรคือธรรม ในบทว่า๔- จักรอันเราให้เป็นไปแล้ว. จักรคืออิริยาบถ ในบทว่า๕- สรีรยนต์มีจักร ๔ มีทวาร ๙. คำว่า๖- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักร ๔ อย่างเหล่านี้, จักร ๔ ย่อมเป็นไปแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้มาประชุมพร้อมกันแล้ว, จักร ๔ อย่างคืออะไร? คือ ปฏิรูปเทสวาสะ ๑ สัปปุริสาปัสสยะ ๑ อัตตสัมมาปณิธิ ๑ บุพเพกตปุญญตา ๑. นี้ชื่อว่าจักรคือสมบัติ. ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาจักรคือสมบัตินั่นเอง. ____________________________ ๒- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๔๕๔ ๓- ขุ. ชา. ๒๗/๑๗๙๑ ๔- ขุ. สุ. ๒๕/๓๗๗ ๕- สํ. ส. ๑๕/๗๔ ๖- องฺ. จตฺตก. ๒๑/๓๑ ในบทเหล่านั้นบทว่า ปฏิรูปเทสวาโส - อยู่ในประเทศอันสมควร ได้แก่ บริษัท ๔ ปรากฏในประเทศใด. อยู่ในประเทศอันสมควรเห็นปานนั้น. บทว่า สปฺปุริสาปสฺสโย - อาศัยสัตบุรุษ ได้แก่ พึง เสพ คบสัตบุรุษมีพระ บทว่า อตฺตสมฺมาปณิธิ - ตั้งตนไว้ชอบ การตั้งตนไว้ชอบ. หากว่าครั้งก่อนเป็นผู้ไม่มีศรัทธาเป็นต้น ละความไม่มีศรัทธาเป็นต้นนั้น แล้วตั้งอยู่ในศรัทธาเป็นต้น. บทว่า ปุพฺเพ จ กตปุญฺญตา - ความเป็นผู้ทำบุญไว้ในกาลก่อน ได้แก่ ความเป็นผู้สะสมกุศลไว้ในกาลก่อน. นี้เป็นข้อกำหนดในบทนี้. กุศลกรรมที่ทำด้วยจิตสัมปยุตด้วยญาณ กุศลนั้นนั่นแหละย่อมนำบุรุษนั้นเข้าไปในประเทศอันสมควร ให้คบสัตบุรุษ บุคคลนั้นนั่นแหละ ย่อมตั้งตนไว้ชอบ. บทว่า จตฺตาริ ธมฺมปทานิ - ธรรมบท ๔ ได้แก่ ส่วนแห่งธรรม ๔. ธรรมบท ๔ คืออะไร? คือ อนภิชฌา ๑ อัพยาปาทะ ๑ สัมมาสติ ๑ สัมมาสมาธิ ๑ ความไม่โลภก็ดี การบรรลุฌาน วิปัสสนา มรรค ผล นิพพาน ด้วยอำนาจ ความไม่โกรธก็ดี การบรรลุฌานเป็นต้น ด้วยเมตตาเป็นหลักก็ดี ชื่อว่า การตั้งสติไว้ชอบก็ดี การบรรลุฌานเป็นต้น ด้วยสติเป็นหลักก็ดี ชื่อว่า สมาบัติ ๘ ก็ดี การบรรลุฌานเป็นต้น ด้วยสมาบัติ ๘ เป็นหลักก็ดี ชื่อว่า อีกอย่างหนึ่ง การบรรลุเป็นต้น ด้วยอำนาจอสุภะ ๑๐ ชื่อว่าธรรมบทคือ บทว่า อิมา จตสฺโส ภูมิโย- ภูมิ ๔ เหล่านี้พึงประกอบบทหนึ่งๆ ด้วยสามารถ จบอรรถกถาภูมินานัตตญาณนิทเทส ----------------------------------------------------- .. อรรถกถา ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค มหาวรรค ๑. ญาณกถา ภูมินานัตตญาณนิทเทส จบ. |